บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 523 การขัดเกลาสมบัติ
บทที่ 523 การขัดเกลาสมบัติ
ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจถึงสิ่งที่วิปลาสหลิ่วกล่าวถึงปิงซื่อเทียนว่าเป็น ‘ศัตรูหัวใจ’ ของเขา
เมื่อไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันช่างไร้สาระเสียจริง ศิษย์น้องของชิงซิ่วอี้ในชาติก่อนกลับกลายมาเป็นเซียนสวรรค์และครั้งหนึ่งเขาเคยไล่ตามนางอย่างบ้าคลั่ง แต่ในช่วงชีวิตนี้ ชิงซิ่วอี้ได้กลายเป็นผู้หญิงของเขาแทน อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา…
ตอนนี้ปิงซื่อเทียนกำลังจะมาถึงเมืองบรรพกาลในไม่ช้าและคงได้พบกับชิงซิ่วอี้อย่างแน่นอน ดังนั้นความหายนะแบบไหนจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง?
ปิงซื่อเทียนจะยังมีชิงซิ่วอี้อยู่ในใจหรือไม่?
แล้วสำหรับชิงซิ่วอี้ ปิงซื่อเทียนจะอยู่ในตำแหน่งใดในใจของนาง?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความรู้สึกที่ซับซ้อนก็บังเกิดขึ้นในใจของเฉินซี ในฐานะบุรุษธรรมดาทั่วไป เขาย่อมไม่หวังว่าจะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับชายคนอื่น
“ไอ้หนู อย่าได้ปั้นหน้าบูดบึ้ง หากไม่อยากให้ผู้หญิงของเจ้าถูกคนอื่นแย่งไป ก็อย่าได้ละทิ้งการทุ่มเทฝึกฝนและจงเอาชนะศัตรูหัวใจของเจ้าซะ” วิปลาสหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด“ข้าจะบอกอะไรบางอย่างให้แก่เจ้า ชิงซิ่วอี้หยิ่งยโสเป็นอย่างมากในช่วงชีวิตที่แล้วของนาง และไม่มีบุรุษใดสักคนเดียวที่สามารถเข้าตานางได้ รวมถึงปิงซื่อเทียนเช่นกัน”
“โอ้?” จิตวิญญาณของเฉินซีรู้สึกสดชื่นขึ้น ชิงซิ่วอี้ถึงกับดูแคลนปิงซื่อเทียนจริงหรือ? นางช่างหยิ่งยโสนัก!
“อันที่จริง แม้แต่ข้าก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า เหตุใดคนหยิ่งยโสอย่างชิงซิ่วอี้ถึงมาชอบเด็กโง่อย่างเจ้า และเจ้าก็ได้นางมาโดยไม่ต้องกล่าวอะไรสักคำ เฉกเช่นความรักที่สวรรค์ประทานให้ หากข่าวนี้แพร่กระจายไปยังแดนภวังค์ทมิฬ มันจะทำให้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน” วิปลาสหลิ่วกล่าวชมเชยอย่างไม่รู้จบ
เฉินซีเกาจมูก เขานึกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นของเขากับชิงซิ่วอี้ และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
อันที่จริง อาจกล่าวได้ว่าเขาต้องขอบคุณซางคุนด้วยซ้ำ หากไม่มีซางคุนที่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ แล้วเขาจะก่อความโกลาหลครั้งใหญ่และสามารถเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาของชิงซิ่วอี้ได้อย่างไรกัน?
ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวทั้งหมดจึงดูราวกับว่าถูกกำหนดโดยสวรรค์มาตั้งนานแล้ว มันมีทั้งความไม่พอใจ ความเป็นปรปักษ์และการปะทะกัน ซึ่งก็ซับซ้อนและน่าทึ่ง แต่เมื่อเขานึกถึงในตอนนี้ ทุกอย่างได้กลายเป็นความทรงจำที่งดงาม
“แต่ต้องระวัง ศัตรูหัวใจของเจ้าคนนี้ไม่ใช่รับมือไม่ง่ายนัก และตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าต้องระวัง อย่าได้ทำให้เขารู้สึกเกลียดชังเจ้า เนื่องจากเขายังหลงรักนางอยู่และอาจตั้งใจทำร้ายเจ้าได้” สีหน้าของชายชราเคร่งขรึมในขณะที่เขาเตือนอย่างจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าการเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนผู้เป็นเซียนสวรรค์ ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่เขาเช่นกัน
เฉินซีพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้ว “แต่ในฐานะเซียนสวรรค์ เขาคงไม่กระทำสิ่งที่ไร้ยางอายหรอกใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้คาดเดาได้ยาก เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณมีผู้ใดบ้างที่สามารถหักห้ามใจกับความรักได้?” วิปลาสหลิ่วส่ายหน้าและถอนหายใจ “ดังนั้นเจ้าควรระวังตัวไว้ดีที่สุด แต่เมื่อถึงเวลานั้น หากเกิดความขัดแย้งขึ้นมาจริง ๆ ข้าจะไม่นิ่งเฉยหรือไม่แยแสอย่างแน่นอน”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายชราจะกล่าวคำพูดที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้
เพราะท้ายที่สุด ปิงซื่อเทียนก็เป็นเซียนสวรรค์ที่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภพเซียนอย่างภาคภูมิและเป็นการดำรงอยู่ที่สูงสุด หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้กับเซียนสวรรค์ พวกเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ทว่าวิปลาสหลิ่วกลับกล่าวเช่นนี้แทน ถึงแม้คำพูดของเขาจะดูเหมือนกล่าวอย่างไม่ตั้งใจ แต่เจตนาที่จะปกป้องเฉินซีซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้กลับมั่นคงและแน่วแน่อย่างมาก ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่กล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณ ผู้อาวุโส!”
วิปลาสหลิ่วมาจากนิกายนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของแดนภวังค์ทมิฬ และมีความแข็งแกร่งที่แม้แต่อวิ๋นหลานเซิงซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดก็ยังเกรงกลัว แม้ว่าเขาจะมาที่เมืองบรรพกาลในครั้งนี้เพราะไป๋หว่านฉิงไหว้วาน ด้วยฐานะของเขา เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้และยังสามารถปฏิเสธได้อย่างสิ้นเชิง
และอันที่จริงก็ไม่มีความจำเป็นต้องลดตัวมาเสวนากับผู้เยาว์เช่นเฉินซีเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังคงกล่าวเช่นนี้ แล้วการกระทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้เฉินซีรู้สึกตื้นตันได้อย่างไร?
“ข้าได้บอกไปกี่ครั้งแล้ว? ว่าอย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุโส!”วิปลาสหลิ่วกลอกตาด้วยความขุ่นเคืองและจ้องมองผู้เยาว์ตรงหน้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
เฉินซีเพียงยิ้มและพบว่า แม้ชายชราคนนี้จะมีนิสัยแปลกประหลาดและเลอะเทอะ แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนที่มากด้วยน้ำใจและแสดงออกตามความรู้สึกในหัวใจของเขา
…
เฉินซีกลับไปยังที่พักของเขา มันเป็นบ้านเดี่ยวที่มีลานบ้านและประตูทางเข้าเป็นของตัวเอง ลานบ้านนั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีสะพานเล็ก ๆ ที่พาดผ่านลำธาร ภูเขาจำลองและน้ำพุ อีกทั้งยังมีสวนที่อุดมสมบูรณ์
แต่ลานแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลมาเนิ่นนาน ทำให้มันรกไปด้วยวัชพืชและตะไคร่น้ำ จนถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายโบราณ ดูรกร้างและเงียบสงบ
ลานแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วเมืองบรรพกาล แต่ในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าทุกคนจะครอบครองลานบ้านแบบนี้เป็นของตัวเอง
กอปรกับการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลกำลังใกล้เข้ามา ราชวงศ์ต่าง ๆ ที่สามารถเดินทางมาถึงบรรพกาลได้อย่างปลอดภัย จึงทำให้จำนวนของผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหาที่พักภายในเมืองจึงเป็นเรื่องยาก
ถึงขั้นเกิดเหตุการณ์นองเลือดมากมายเพียงเพื่อแย่งชิงที่อยู่อาศัย
แต่โชคดีที่เฉินซีและคนอื่น ๆ ได้เข้าควบคุมอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือนี้มานานแล้ว และทุกคนมีลานสำหรับบ่มเพาะเป็นของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้
ยิ่งกว่านั้น ด้วยการปรากฏตัวของอวิ๋นหลานเซิงและวิปลาสหลิ่ว ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีคนโง่เขลาคนใดที่กล้าสร้างปัญหาในอาณาเขตแห่งนี้
เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของเขา ในที่สุด จิตใจที่ตึงเครียดมาตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลก็สามารถผ่อนคลายได้ และเขาสัมผัสได้ถึงความสบายใจหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
แต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าประมาทเรื่องนี้ เพราะสำหรับผู้บ่มเพาะ เวลาเพียงหนึ่งเดือนนั้นผ่านไปไวราวกับโกหก และการนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะก็อาจผ่านไปในพริบตา
ดังนั้นเฉินซีจะไม่พยายามทะลวงการบ่มเพาะของเขาในเวลาเช่นนี้ เขาเริ่มจัดเรียงสมบัติและนับกำไรก่อนที่จะขัดเกลายันต์ศัสตราอีกครั้ง
ฟุ่บ!
กองสมบัติขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยแสงหลายสีพลันปรากฏขึ้นในห้องและทำให้ห้องสว่างไสวด้วยสีสันหลากหลาย
ในบรรดาสมบัติเหล่านี้ มีทั้งวัตถุวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณหรือวัตถุหายากต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น คุณสมบัติของพวกมันล้วนไม่ธรรมดาและถูกปกคลุมด้วยกระแสอักขระเต๋า ทำให้พวกมันเป็นสมบัติ ‘ระดับเต๋า’ หากพวกมันปรากฏขึ้นในโลกภายนอก ความล้ำค่าของพวกมันก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยโชคชะตาและไม่อาจไขว่คว้าได้
ยกตัวอย่างเช่น กล้วยไม้สายฟ้าที่เฉินซีได้รับเมื่อมาถึงสมรภูมิบรรพกาล ก็มีอักขระเต๋าอยู่หกกลีบจากทั้งหมดสิบสองกลีบแล้ว หากกลีบทั้งหมดสามารถพัฒนาอักขระเต๋าได้ เขาก็จะใช้มันเป็นวัตถุหลักในการหลอมโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่มีมหาเต๋าแห่งอัสนี!
โดยรวมแล้ว ภายในกองสมบัติขนาดใหญ่นี้ สมบัติแต่ละชิ้นล้วนล้ำค่าเป็นพิเศษและหาได้ยากมาก ซึ่งพวกมันก็ประเมินค่าไม่ได้
สมบัติบางส่วนเหล่านี้ได้มาจากทะเลบรรพกาล บางส่วนชิงมาจากซากศพของศัตรูของเขา และพวกมันก็เป็นสมบัติชั้นยอดที่สามารถยกระดับคุณภาพของยันต์ศัสตราได้ในระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าสมบัติส่วนใหญ่เหล่านี้คือไข่มุกต้นกำเนิด สมบัตินี้คล้ายกับแกนทองคำของผู้บ่มเพาะ ซึ่งได้มาจากการล่าอสูรทะเลที่อยู่ภายในทะเลบรรพกาลและเขาครอบครองมันอยู่หลายหมื่นชิ้น
ไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีแก่นแท้ของการบ่มเพาะของอสูรทะเลเท่านั้น แต่พวกมันยังแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง ทำให้คุณค่าของพวกมันน่าตกตะลึงอย่างมาก
หากใช้ในการหลอมโอสถ สรรพคุณของมันจะเหนือกว่าโอสถเหลวหยกนภา และพวกมันสามารถเรียกได้ว่าเป็นโอสถวิญญาณระดับสวรรค์
หลังจากใช้เวลาไปครึ่งวัน เฉินซีก็จัดเรียงกองสมบัติเสร็จสิ้น
พวกวัสดุที่ใช้ในการขัดเกลายันต์ศัสตราถูกจัดกลุ่มเข้าด้วยกัน
ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมโอสถก็ถูกจัดกลุ่มแยกออกไป
เขาไม่ได้ใช้สมุนไพรวิญญาณหายากและวัตถุวิญญาณบางอย่างชั่วคราว ดังนั้นจึงปลูกพวกมันไว้ภายในป่าบนชั้นที่สองของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ซึ่งแต่เดิมคือมิติสี่สัญลักษณ์ ชายหนุ่มได้สร้างสวนสมุนไพรที่นั่น เนื่องจากมันเต็มไปด้วยปราณพฤกษาที่สอง ทำให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณอย่างยิ่ง
สุดท้ายก็มีเพียงกองไข่มุกต้นกำเนิดจากอสูรทะเลเท่านั้นที่ยังคงวางอยู่เบื้องหน้าของเฉินซี
โอสถทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่ถูกใช้ไปในระหว่างการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวจนหมดไปนานแล้วและจำเป็นต้องเติมมันอย่างเร่งด่วน มิฉะนั้น เมื่อการต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ด้วยการบ่มเพาะในตอนนี้ อัตราการเผาผลาญปราณแท้ที่บ้าคลั่งของเขาก็อาจทำให้มันเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้เพื่อหลอมเป็นโอสถจำนวนหนึ่งชุด
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีสูตรโอสถล้ำค่าอยู่ในความครอบครอง
ดังนั้นสิ่งที่เฉินซีทำได้ก็แค่ขจัดมลทินและจิตสังหารที่อยู่ภายในไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะเติมปราณแท้ของเขา
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากสมรภูมิบรรพกาลไม่เหมือนกับสถานที่อื่นและไม่มีร้านค้าที่ขายโอสถ เว้นแต่ว่าจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลอมโอสถที่มีทักษะสูง มิฉะนั้นก็จะทำได้เพียงเท่านี้
โอม!
ยันต์ศัสตราทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่เตาหลอมสีแดงเข้มลอยออกมาจากพื้นผิวของมัน เตาหลอมถูกปกคลุมด้วยประกายไฟและอักขระยันต์ อีกทั้งยังเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่ดูเหมือนจะสามารถหลอมทุกสรรพสิ่งในโลกได้
เตาหลอมใบนี้ถูกเรียกว่า เตาหลอมเปลวเพลิงสุญตา มันถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์จากอักขระยันต์แห่งไฟหลายพันชนิด มันอุบัติขึ้นจากยันต์เทวะไฟโลกันตร์ และไม่ใช่เตาหลอมที่มีอยู่จริง แต่ประสิทธิภาพของมันก็เหนือกว่าเตาหลอมที่มีอยู่จริงมาก และเมื่อใช้หลอมวัตถุต่าง ๆ มันอาจทำให้เกิดผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึง
นี่คือผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ของยันต์เทวะ
มียันต์เทวะห้าแผ่นที่ถูกจารึกไว้ภายในยันต์ศัสตรา ซึ่งแต่ละแผ่นก็เป็นเหมือนคลังสมบัติที่ไม่รู้จักหมดสิ้น อีกทั้งพวกมันก็มีประโยชน์ต่อการใช้งานอย่างมากมายและยังครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ
เตาหลอมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในขณะที่เปลวไฟหมุนวนไปรอบ ๆ และอักขระยันต์เป็นดั่งลำแสงที่สาดส่องห้องให้สว่างไสว
ด้วยการสะบัดนิ้วของเฉินซี ไข่มุกต้นกำเนิดจำนวนมากก็ลอยขึ้น จากนั้นมลทินและจิตสังหารที่อยู่ภายในก็ค่อย ๆ ถูกขจัดไปทีละนิด ทำให้พวกมันกลายเป็นผลึกที่ใสและโปร่งแสง
สามวันต่อมา กลิ่นหอมเข้มข้นและสดชื่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์และเข้มข้นเช่นนี้ สามารถทำให้คนธรรมดามีภูมิคุ้มกันต่อพิษและทำให้อายุขัยของพวกเขาเพิ่มขึ้นจากการสูดดมกลิ่นอายเหล่านี้เข้าไป
ขณะที่ได้กลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้าจมูก มุมปากของเฉินซีก็อดระบายยิ้มไม่ได้ เขายื่นมือออกไปสร้างผนึก จนทำให้เตาหลอมเปลวเพลิงสุญตาเปล่งเสียงก่อนจะหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน
หลังจากนั้น สายน้ำที่ราวกับแม่น้ำแห่งดวงดาวก็พุ่งออกมาจากเตาหลอม ซึ่งหากสังเกตดูดี ๆ ก็จะสังเกตได้ว่า ลำธารนั้นทำมาจากไข่มุกต้นกำเนิดจำนวนมากที่มีลักษณะเป็นผลึกโปร่งแสงและเปล่งประกายอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้พวกมันยังเปล่งเสียงจังหวะที่คล้ายกับการเต้นของหัวใจราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา
ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ เฉินซีได้เก็บไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับยาเม็ดจิตวิญญาณไว้ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และการนับคร่าว ๆ ก็พบว่ามันมีอยู่มากกว่าสี่หมื่นเม็ด ดังนั้นจึงเพียงพอในการใช้ จนกว่าการทดสอบสุดท้ายจะสิ้นสุดลง
“เอาล่ะ! ต่อไปก็ถึงเวลาขัดเกลายันต์ศัสตรา หากคุณภาพของมันเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แล้วจะแข็งแกร่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะหรือไม่?” เฉินซียืดตัวด้วยความเมื่อยล้า แต่ดวงตาของเขากลับส่องประกายและเต็มไปด้วยความคาดหวัง