บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 526 พลังอำนาจของทูตเซียน
บทที่ 526 พลังอำนาจของทูตเซียน
การมาถึงของเหล่าเซียนสวรรค์สร้างการสั่นสะท้านไปทั่วเมือง เพราะนี่ยังเป็นตัวบ่งชี้ว่าการทดสอบสุดท้ายในสมรภูมิบรรพกาลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติจากหลากหลายราชวงศ์รู้สึกตื่นเต้นรอคอย พวกเขาบ่มเพาะอย่างอุตสาหะยิ่งขึ้นจนแทบไม่ได้ออกจากที่พักและใช้เวลาทุกอึดใจให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อบ่มเพาะ
สิ่งนี้ทำให้เส้นทางในเมืองบรรพกาลดูรกร้างยิ่งขึ้นไปอีก
ทว่าก็ยังมีกลุ่มผู้บ่มเพาะสองสามคนที่ยืนอยู่หน้าศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามที่ใจกลางเมือง
พวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองบรรพกาล และมาเพื่อวัดระดับพลังของพวกเขา
“อันดับหนึ่งคือเฉินซีจริง ๆ หรือ!? ไม่ใช่ว่าเขามาจากราชวงศ์ซ่งหรอกหรือ? คนอย่างเขาประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“จริงด้วย ในอดีต ที่หนึ่งมักถูกราชวงศ์ระดับสูงสุดหรือตระกูลโบราณอันทรงเกียรติยึดครอง แต่รอบนี้ที่หนึ่งกลับตกเป็นของศิษย์แห่งราชวงศ์ระดับกลางได้อย่างไร?”
“มันแปลกเสียจริง พวกเจ้าทุกคนเห็นยี่สิบอันดับแรกแล้วหรือยัง ในอันดับมีคนจากราชวงศ์ซ่งถึงห้าคน มันจะไม่ท้าทายสวรรค์ไปหน่อยหรือที่คนของราชวงศ์ระดับกลางจะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้…?”
ผู้บ่มเพาะที่เพิ่งเข้ามาในเมืองรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งและเริ่มนึกสงสัยขณะจ้องมองรายชื่อศิษย์จากราชวงศ์ซ่งจำนวนมากบนศิลาจารึก
“ราชวงศ์ซ่ง…” มีร่างสูงวิ่งเข้ามาจากระยะไกล เขาสวมเสื้อขนนก มีมงกุฎรูปดาวบนศีรษะ ดวงตาเต็มไปด้วยวงแสงมากมาย และเป็นผู้ดูราวกับภาพลวงตา ลึกลับ เต็มไปด้วยปราณเซียน
สิ่งที่มาพร้อมกับเขาคือกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนน้ำหวาน ทำให้จิตวิญญาณผ่อนคลายและรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ยิ่งกว่านั้น พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ดูจะสงบลง ทุกมุมเมืองเผยให้เห็นถึงสันติสุข ความสงบเสงี่ยมและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงก็ล้วนมองไปข้างหลังด้วยความประหลาดใจ ทว่าพวกเขากลับรู้สึกผิดหวังเพราะไม่มีร่างอันยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่ในสายตา
แม้จะบอกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง แต่ผู้นั้นก็เป็นเพียงชายหนุ่มรูปงามในชุดขนนกและมงกุฎรูปดาวที่กำลังเดินมาหาพวกเขา ซึ่งดูเหมือนพหูสูตที่มากพรสวรรค์จากครอบครัวที่ยากจนในโลกเบื้องล่าง และการบ่มเพาะของคนคนนี้ก็ดูธรรมดา ไม่น่าเกรงขามแม้แต่น้อย
เขาก้าวผ่านไปอย่างช้า ๆ ไม่เผยรัศมีอันทรงพลังใด ๆ ทำให้ดูเหมือนคนสามัญทั่วไป คนเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วเมืองบรรพกาล
ทว่าการเปลี่ยนแปลงภายในพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมาคู่กับกลิ่นหอมสดชื่นที่ทำให้จิตและวิญญาณผ่อนคลายนี้มาได้อย่างไรกัน?
ผู้คนไม่อาจหยั่งรู้ได้ พวกเขาส่ายศีรษะตาม ๆ กันและไม่คิดอะไรอีก หลังจากนั้นก็จ้องไปยังศิลาจารึกอีกครั้ง พลางมองไปที่ชื่อของเฉินซีขณะที่สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน
ชายหนุ่มรูปหล่อผู้นี้ยิ้มบางขณะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“หึ พวกเจ้าทุกคนเพิ่งมาถึงใช่หรือไม่? เพราะทุกคนในเมืองบรรพกาลล้วนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเฉินซีกันทั้งนั้น!” ในยามนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์หัวเราะเสียงเบา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มรูปงามหันกลับมาถามด้วยความสนใจ
“เหอะ เห็นได้ชัดว่าเจ้ามาจากราชวงศ์ทั่วไป เป็นกบในกะลาที่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่มาเยือนเมืองบรรพกาลเมื่อไม่นานมานี้” ผู้เยี่ยมยุทธ์หัวเราะเยาะไม่หยุด
ชายหนุ่มรูปงามที่ถูกเยาะเย้ยไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มในขณะที่ซักถาม “โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยบอกบุญให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ สหายเต๋า?”
“ช่างมันเถอะ คงไม่เสียหายอะไรที่จะบอกเจ้า” ผู้เยี่ยมยุทธ์รู้สึกผิดหวังอย่างมากเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่โกรธเคือง เขาเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน เฉินซีเพิ่งมาถึงเมืองบรรพกาล…”
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นคนช่างพูด เขาพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เฉินซีได้ทำมาตลอดตั้งแต่มาถึงเมืองบรรพกาล และเมื่อพูดถึงเรื่องที่น่าตื่นเต้น อีกฝ่ายก็จะยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ส่งน้ำลายสาดกระเซ็นไปทั่ว ราวกับเป็นญาติของเฉินซีอย่างไรอย่างนั้น
กวาดล้างผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์ระดับสูงสุดจำนวนมหาศาล บดขยี้ตระกูลซางด้วยตัวคนเดียว และแม้กระทั่งเอาชนะเจตจำนงแห่งเซียนสวรรค์… รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามเริ่มจางหาย สายตาของเขากลายเป็นล้ำลึกในขณะที่สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะของเขาก็ปะทุออกมา “น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ ข้าไม่คิดไม่ฝันว่า การมาที่นี่ในครั้งนี้จะได้พบชายหนุ่มที่น่าเกรงขามเช่นนี้!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่พอใจอย่างยิ่งกับปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้า เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเผยท่าทีเคารพเหมือนกับตอนที่ตนได้ยินเกี่ยวกับเฉินซีเป็นครั้งแรก จะไปจินตนาการได้อย่างไรว่าเจ้านี่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้?
เขาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “น้องชาย น้ำเสียงของเจ้าฟังดูราวกับเป็นตาเฒ่าชราภาพอย่างไรอย่างนั้น มันค่อนข้างขัดหู หากเจ้าไม่เชื่อละก็ เชิญเข้าไปวัดระดับพลัง และมาดูกันว่าเจ้าจะกดชื่อของเฉินซีลงไปได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มรูปงามยิ้มแฝงความไม่พอใจ
“อย่างที่คาดไว้ เจ้าก็แค่สามัญชนที่ดีแต่ปากเท่านั้น เฮ้อ หนุ่มสาวสมัยนี้หยิ่งผยองเกินไปแล้ว” เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นี้ทำได้แค่กร่าง เขาจึงกล่าวคำห้วน ๆ พร้อมกับเหน็บแนม
ชายหนุ่มดูราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ ทั้งยังไม่สนใจคนที่พูดพล่ามข้าง ๆ ตัวแม้แต่น้อย ในขณะที่เขากวาดสายตาไปยังศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม แสงที่งดงามตระการตาพลันฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้น
ฟิ้ว!
ในอึดใจต่อมา เขาก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาเพื่อมาถึงที่เบื้องหน้าศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม จากนั้นจึงยื่นมือออกไปเพื่อถูชื่อหนึ่งบนแผ่นจารึกที่ถูกขดด้วยแสงสีทอง
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลคล้ายกับท่าทางของเขาในตอนแรก ในขณะที่ความทรงจำซึ่งเหมือนกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากหลั่งไหลไปทั่วร่างกายราวกับได้ย้อนเวลาสู่วัยเยาว์
ในยามนั้น ตัวคนเป็นเพียงดวงแสงส่องสว่าง
จนถึงตอนนี้แสงนั้นก็ไม่เคยจางหายไป
“กล้าดีอย่างไร! ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามเป็นสิ่งที่จับต้องกันได้รึ?!”
“เขากำลังรนหาที่ตายจริง ๆ มีผู้คนนับไม่ถ้วนพยายามสัมผัสศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เคยมีใครประสบความสำเร็จบ้างเล่า?”
“รีบ ๆ ลงมานี่! อย่าได้ดูหมิ่นศิลาศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มทะยานขึ้นไปบนท้องนภาและยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม สีหน้าของทุกคนในที่แห่งนี้กลายเป็นถมึงทึง พวกเขาตะโกนเสียงดัง
ตู้ม!
แสงเย็นยะเยือกยิงออกมาจากดวงตาของชายหนุ่มรูปงามขณะที่เขามองไปยังผู้คนด้านล่าง บัดนี้ ทั้งสวรรค์และโลกกำลังจะตกอยู่ในความมืดมิด โลกทั้งใบถูกปกคลุมด้วยร่มเงา
แรงกดดันอันไร้เทียมทานราวกับท้องฟ้าที่กำลังพังทลายกดลงมาอย่างรุนแรง มันกดลงมายังทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจนพวกเขาต้องคุกเข่าลงเสียงดังตุบ เลือดไหลออกจากทุกรูบนใบหน้าของคนเหล่านั้น และไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก
เพียงพริบตาเดียว ก็สามารถปราบทุกคนที่นี่ได้แล้ว!
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตจุติ ทว่าพวกเขาในตอนนี้ดูราวกับนักโทษที่ถูกคุมขัง อย่าพูดถึงว่าจะดิ้นรนออกไปเลย แค่หายใจก็ยังรู้สึกลำบาก
ความรู้สึกเมื่อถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้นแบบนี้ ทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยรู้สึกอับอายและขุ่นเคือง!
คนพวกนี้เป็นใครกัน?
พวกเขาคือสุดยอดอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิใจจากหลากหลายราชวงศ์ พลังที่ใช้ในการเข้าสู่เมืองบรรพกาลอย่างปลอดภัยได้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่น่าเกรงขาม
เป็นถึงขนาดนี้ จะถูกคนอื่นฉีกหน้ากันได้อย่างไร?
ทว่าเมื่อเห็นดวงตาของชายหนุ่มคนนั้น พวกเขาก็ไม่อาจยับยั้งความหวาดผวาที่เกินคำบรรยายไม่ให้ผุดขึ้นมาในหัวใจได้ จากโทสะและความอับอายในดวงตาของพวกเขาก็พลันกลายเป็นความสิ้นหวังและความหมดหนทาง
หนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นใครกันแน่!?
หรือว่าจะเป็นทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ?
พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร แม้จะใช้สมองคิดเท่าไรก็ตาม ทว่าพวกเขาทราบดีว่าคราวนี้จะต้องเจอปัญหาใหญ่เป็นแน่!
ชายหนุ่มรูปงามหันกลับมากลางอากาศ สายตาของเขามองไปยังชื่อที่ขดเป็นแสงสีทองอีกครั้ง ความเย็นยะเยือกในดวงตาของเขาเปลี่ยนความอ่อนโยนในทันที
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ใช้นิ้วสัมผัสชื่อนั้นอีกแล้ว เหมือนจะกลัวอยู่ลึก ๆ ว่าการกระทำของเขาจะเป็นการดูหมิ่นเจ้าของชื่อ
เขาเพียงแค่มองมันอย่างเงียบงันพลางยกยิ้มที่มุมปาก
“ศิษย์พี่หญิง… ครั้งนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้พี่จากข้าไปอย่างแน่นอน” เวลาผ่านไปเท่าใดก็ไม่อาจทราบ เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มรูปงามนั้นบางราวกับใบมีด นัยน์ตาของเขาถูกแทนที่ด้วยแสงแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชน
“ท่านเซียน!”
“ปรากฏว่าท่านอยู่ที่นี่สินะ”
“พวกเราต้องการให้ท่านเป็นประธานในบททดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลขอรับ!”
ในขณะนี้ มีคลื่นเสียงดังขึ้นจากระยะไกล จากนั้นร่างนับสิบที่สาดส่องราวกับดวงอาทิตย์ก็พุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ ท่าทางที่สง่างามของพวกเขาแผ่ขยายออกไปจนปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก
ภาพนี้ทำให้ผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตกใจจนรู้สึกงุนงงและขนลุกขนพอง
สวรรค์!
เหตุใดบรรดาทูตจากแดนภวังค์ทมิฬถึงมาที่นี่?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือทูตเหล่านี้ยืนอยู่รอบข้างด้วยความเคารพ ขณะที่มองขึ้นไปยังชายหนุ่มรูปงามที่เหาะอยู่กลางอากาศด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความยำเกรง!
ทูตเซียน ปิงซื่อเทียน!?
ความคิดแวบผ่านจิตใจของทุกคนราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าในทันที เพราะนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเพิ่งดูหมิ่นเซียนสวรรค์ไปอย่างหนักจนรู้สึกอยากจะปลิดชีพตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยเยาะเย้ยปิงซื่อเทียน เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าตบหน้าตัวเองนับพันครั้งด้วยรู้สึกผิดอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้
“พวกเจ้ามาครบแล้วสินะ” ในขณะเดียวกัน สีหน้าของชายหนุ่มก็กลับมาเป็นปกติ เขาเดินลงมาจากอากาศ
เมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เป็นดั่งดวงตะวันจำนวนมหาศาลที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ปิงซื่อเทียนนั้นดูสามัญมาก ทว่าเป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาดูพิเศษกว่าใคร
เขาคือผู้สำรวจมหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลกจนรู้ลึกรู้จริง ก่อนกลับคืนสู่ความเรียบง่าย
“สวัสดีขอรับ ท่านเซียน!” ทูตมากกว่าสิบคนถอนกลิ่นอายออกไป พวกเขาดูเหมือนหนูที่เจอกับแมว ทำการโค้งคำนับด้วยความเคารพ
หากคนอื่นได้เห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องอ้าปากค้างเป็นแน่
เพราะอย่างไร ทูตเหล่านี้ก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจากกองกำลังต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขามีสถานะที่น่านับถืออย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้พวกเขาต่างโค้งคำนับชายหนุ่มรูปงามโดยพร้อมเพรียง การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกละอายใจใด ๆ เห็นแล้วจะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?
ทว่านี่เป็นเรื่องปกติยิ่ง
เพราะเซียนสวรรค์ก็คือเซียนอย่างแท้จริง แม้ว่าขอบเขตเซียนปฐพีจะมีคำว่าเซียน ทว่าพละกำลังของพวกเขาเพิ่งมาถึงจุดสูงสุดของแดนมนุษย์ จึงไม่ถือว่าเป็นเซียนแห่งแดนเซียนอย่างแท้จริง
มีเพียงเซียนสวรรค์เท่านั้นที่คู่ควรกับแดนเซียนและสวรรค์!
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นราวฟ้ากับเหว อยู่กันคนละระดับโดยสิ้นเชิง
“ข้าต้องรบกวนให้ทุกคนปฏิบัติงานอย่างสามัคคีสิบห้าวันนับจากนี้เพื่อพร้อมรับคำสั่งในเมืองบรรพกาลและเริ่มบททดสอบสุดท้าย” ปิงซื่อเทียนยืนตระหง่าน ดวงตาที่เต็มไปด้วยดาราของเขาค่อย ๆ กวาดมองทุกคน เขาทราบทันทีว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงเดินทางมาที่นี่ จากนั้นจึงโบกมือโดยตรง “การทดสอบในครั้งนี้ไม่เหมือนกับปกติ จะไม่มีการคัดเลือกตามอันดับ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากเหตุฉับพลันที่จะเกิดขึ้นในสมรภูมิบรรพกาลได้ พวกเขาก็จะมีคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงจะรู้เหตุผลเบื้องหลังนี้อย่างชัดเจนแล้ว ข้าจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่จำเป็น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาทูตต่างมีความเห็นพ้องต้องกัน
“ศิษย์น้องอวิ๋น ไปกันเถอะ” ปิงซื่อเทียนทอดสายตาไปยังอวิ๋นหลานเซิงที่มาพร้อมกับเส้นผมสีขาวราวกับหิมะด้านล่าง เจ้าตัวยิ้มที่มุมปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่อารมณ์ซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยของความคาดหวัง