บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 545 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม
บทที่ 545 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นมากมายในวันนี้
ในฐานะที่เป็นเซียนสวรรค์สูงสุด ปิงซื่อเทียนกลับล่วงเกินผู้ละทิ้งสวรรค์วิปลาสหลิ่ว มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จากแดนไร้นาม และหวงเหมยเวิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก เพียงเพื่อลงโทษเฉินซี
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนนี้ แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งกว่าปิงซื่อเทียน นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นจะมีใครคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมา
ดังนั้นภายใต้คำสั่งของปิงซื่อเทียน จึงไม่มีนิกายใดที่ยินดีรับเฉินซีและพวก!
ทว่าในตอนนี้ทุกอย่างได้กลับตาลปัตร
วิปลาสหลิ่วต้องการพาเฉินซีไป มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ต้องการพาเจิ้นหลิวชิงไป และหวงเหมยเวิงต้องการพาทั้งหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวไปด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต่าง ๆ ตกใจจนหัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน แม้แต่ทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ยังตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
นิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่วิปลาสหลิ่วสังกัดอยู่ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนชั้นนำของแดนภวังค์ทมิฬ และยังมีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสามนิกายกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเทียบได้กับนิกายจรดนภา หอกระบี่สยบดวงใจ นิกายวิถีกระแสสวรรค์และนิกายเซียนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน
ในขณะที่นิกายที่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และหวงเหมยเวิงจากมานั้น ลึกลับและเก่าแก่ยิ่งกว่านิกายเซียนทั้งสิบ อีกทั้งยังเป็นนิกายที่แยกตัวออกมาอยู่อย่างสันโดษและมีเพียงคำเล่าขานที่เป็นตำนานเท่านั้น
นิกายดังกล่าวแทบจะไม่มีผู้สืบทอด แต่ตราบใดที่ผู้สืบทอดปรากฏขึ้น ก็จะเป็นผู้นำที่กวาดล้างไปทั่วฟ้าดิน มากด้วยอิทธิฤทธิ์ที่สามารถเรียกลมเรียกฝน และสามารถดูแคลนโลกทั้งใบด้วยพลังอำนาจที่ท่วมท้น!
ตัวอย่างเช่น มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานจนนับไม่ถ้วน และมีคำล่ำลือกันว่าเขาสามารถสังหารเซียนสวรรค์ด้วยมือเปล่า!
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ซ่งกลับได้รับโอกาสให้เป็นศิษย์ของนิกายสันโดษเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ แม้แต่ทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อารมณ์ของปิงซื่อเทียนนั้นขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของเขากลายเป็นไม่น่าดูและมืดมนถึงขีดสุด
เดิมทีคิดว่าอาศัยเพียงตัวตนของเขา แค่ดำเนินแผนการเล็กน้อย ๆ ก็สามารถทำให้เฉินซีต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า สถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้!
วิปลาสหลิ่วไม่เพียงแต่เอ่ยถามเขาอย่างจองหองเท่านั้น แม้แต่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และหวงเหมยเวิงก็ยังปฏิบัติต่อเขาราวกับมดปลวก
ปิงซื่อเทียนซึ่งเป็นเซียนสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่และได้รับความเคารพเสมอไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม เขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น จนเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนอดกลั้นไปก่อน เพราะตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์หรือหวงเหมยเวิง ก็สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นไม่ว่าจะขุ่นเคืองสักแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าที่จะผลีผลาม และความรู้สึกเศร้าสลดอย่างยิ่งนั้นทำให้เขาแทบกระอักเลือดออกมา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทุกคนจะได้สติกลับคืนมา เสียงที่ยิ่งใหญ่สองเสียงก็ดังก้องจากขอบฟ้าอันไกลโพ้นอีกครั้ง ซึ่งทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านเป็นอย่างมากและรู้สึกหายใจไม่ออกในทันที
มีผู้ยิ่งใหญ่กำลังมามากขึ้น!
หรือว่าพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อรับศิษย์ของราชวงศ์ซ่งอีก? …พวกเขาคงไม่มาเพื่อศิษย์ของราชวงศ์ซ่งอีกแล้วใช่หรือไม่?
สีหน้าของทุกคนแข็งทื่อขณะที่จ้องมองไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้นอย่างว่างเปล่า เนื่องจากมีลำแสงศักดิ์สิทธิ์สองสายกำลังพุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้าเข้ามา จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากที่นั่น
ฟุ่บ!
“โอ้ ข้ามาถึงแล้ว ข้าถูกชี้นำโดยโชคชะตา มันเป็นโลกใบเล็กจริง ๆ”
ลำแสงส่องประกายเจิดจ้า ก่อนจะมีหลวงจีนซึ่งสวมจีวรที่ขาดรุ่งริ่ง รองเท้าแตะฟาง และถือลูกประคำที่ทำจากไม้ผุ ๆ ธรรมดาทั่วไป ก้าวออกมา
การแต่งกายของหลวงจีนรูปนี้เหมือนกับหลวงจีนพเนจรที่เดินบิณฑบาตอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ดวงตาของเขากลับใสกระจ่างและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ในขณะที่หว่างคิ้วก็มีแสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาอย่างจาง ๆ และร่างกายของเขาก็สะอาดหมดจด ถึงแม้ว่าจะห่มจีวรที่ขาดรุ่งริ่ง แต่เขาก็ไม่ได้เปล่งกลิ่นอายอันมีมลทินออกมา และดูราวกับเป็นดอกบัวที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางโลกอันโสมม
เมื่อเห็นหลวงจีนรูปนี้ในแวบแรก ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงภูมิปัญญาอันลึกล้ำและลึกซึ้ง อีกฝ่ายเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่รอบรู้ทุกสิ่ง อีกทั้งยังมีสติปัญญาที่ลึกล้ำราวกับมหาสมุทร
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้พบกับคนจากนิกายพุทธ เมื่อเขามองดูหลวงจีนรูปนี้จากระยะไกล ชายหนุ่มพลันสังเกตเห็นกระแสพลังงานแปลก ๆ ที่กว้างใหญ่ สว่างไสวและบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่รอบ ๆ กายของเขา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังแห่งพุทธะ
ในทางกลับกัน สีหน้าของทูตกลับตกตะลึงเมื่อเห็นหลวงจีนรูปนี้ เหตุผลนั้นง่ายดายมาก แม้ว่าจะอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ แต่เหล่าสาวกของนิกายพุทธก็ไม่ได้ปรากฏตัวในโลกมานานแสนนานแล้ว และผู้คนก็เกือบลืมการมีอยู่ของนิกายพุทธไปแล้ว ดังนั้นใครจะคาดคิดได้ว่า พวกเขาจะได้พบกับสาวกของนิกายพุทธในสมรภูมิบรรพกาล?
ยิ่งไปกว่านั้น พลังของหลวงจีนรูปนี้ดูจะแข็งแกร่งมาก!
“หลวงจีนฉผัสสะแห่งวัดป่าธยานะ? เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ หรือว่าการที่สามภพกำลังจะเกิดกลียุค ทำให้นิกายพุทธของท่านไม่อาจนิ่งเฉยได้?” หวงเหมยเวิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ในเมื่อผู้มีคุณมาที่นี่ หลวงจีนน้อยรูปนี้ก็ย่อมมาได้เช่นกัน การจากมาและการจากไปเป็นเรื่องน่าพิศวงของฟ้าดิน ไยต้องถามถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยเล่า?” หลวงจีนฉผัสสะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉผัสสะ? นามธรรมนี้ช่างน่าสนใจ มันตั้งขึ้นโดยยึดจากสัมผัสทั้งหก อันได้แก่ มองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และนึกคิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกซึ้งของประสาทสัมผัสทั้งหกและการหลุดพ้นจากความปรารถนาของมัน คงไม่ใช่มหาเต๋าที่เจ้าใฝ่หามาตลอดชีวิตใช่หรือไม่?” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ดูจะคิดอะไรบางอย่างได้ จากนั้นจึงหัวเราะออกมาดังสนั่น
“ผู้มีคุณนั้นปราดเปรื่องจริง ๆ สรรพสิ่งล้วนได้รับการชี้นำจากโชคชะตา เหตุใดประสกถึงไม่กลับไปพร้อมกับอาตมา จะได้ศึกษาคัมภีร์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกซึ้งของพุทธศาสนา ประสกจะได้บรรลุเป็นอรหันต์ในไม่ช้า?”
“ไร้สาระ ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่า เหล่าสาวกของนิกายพุทธนั้นมีวาจาที่เฉียบแหลมและเหนือล้ำยิ่งกว่าใคร ๆ แล้วข้าจะโดนเจ้าหลอกได้อย่างไร” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จ้องมองที่ฉผัสสะและส่ายศีรษะ
“ลาหัวล้านคนนี้เอาแต่กล่าววาจาผายลม เหอะ มันช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!” ในขณะนี้ แสงอีกสายหนึ่งก็มาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่แสงสว่างวาบ ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากภายในนั้น
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ กระดูกสันหลังตั้งตรง เบ้าตาของเขาลึกและเต็มไปด้วยความลึกล้ำ ใบหน้าของเขาเรียบเนียนราวกับถูกสกัดออกจากศิลา ทำให้เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ผมสีดำขลับดกหนาที่ปกคลุมอยู่บนศีรษะก็ปลิวไสวไปตามสายลม ในขณะที่กลิ่นอายของการเข่นฆ่าและคุกคามได้แผ่ออกมาอย่างท่วมท้น ขณะที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
เหนือสิ่งอื่นใด ร่างกายของคนผู้นี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่บริสุทธ์และเย็นยะเยือก อีกทั้งยังบันดาลให้เกิดเป็นภาพหลอนของปีศาจ ยักษา อสูร โครงกระดูกและปรากฏการณ์อันน่าสยดสยองอื่น ๆ อย่างนับไม่ถ้วน ทำให้เขาดูเหมือนกับปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งผุดขึ้นมาจากขุมนรก
หัวใจของทุกคนสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง
นี่… คือผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายอสูร!
‘เหล่าสาวกของนิกายมารล้วนโหดเหี้ยมและชั่วร้าย แต่ปราณปีศาจที่เขาแผ่ซ่านออกมากลับบริสุทธ์เป็นอย่างมาก ข้าสงสัยนักว่าเขาบ่มเพาะมันได้อย่างไร…’ เฉินซีรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ
ในขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้นที่สงสัย คนอื่น ๆ ต่างก็สงสัยอยู่ในใจเช่นกัน แต่ยังไม่กล้าที่จะกล่าวออกมา
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะมีผู้ยิ่งใหญ่อยู่มากมายในปัจจุบัน และพวกเขาก็น่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ หวงเหมยเวิง ฉผัสสะ และผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายอสูรที่เพิ่งมาถึง ล้วนมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง และทุกคนก็มีจุดแข็งที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งแม้แต่ปิงซื่อเทียนก็ไม่กล้าที่จะขัดจังหวะเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา ดังนั้นผู้เยาว์เหล่านี้จะกล้าเปิดปากของพวกเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปถึงระดับนี้ ก็ทำให้เฉินซีสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขารู้ว่า ตัวเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของหม้อหยกเพื่อต่อสู้กับปิงซื่อเทียนอย่างสิ้นหวังอีกต่อไป ชายหนุ่มเพียงแค่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นและรอโอกาสที่จะลงมือเท่านั้น…
“ฟางจ่านเหมยแห่งนิกายอสูรสวรรค์แรกกำเนิด! ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าปีศาจเช่นเจ้าจะมาที่นี่เช่นกัน ข้าอยากจะต่อสู้กับเจ้ามาหลายพันปีแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเจ้าเลย เมื่อโชคชะตานำพาเรามาพบกัน เช่นนี้มาต่อสู้กันเถอะ!!” ในขณะนี้ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์หัวเราะดังสนั่นไปยังท้องฟ้า ในขณะที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาก็พลุ่งพล่านอย่างดุเดือด และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะต่อสู้
“ฟางจ่านเหมย!”
สีหน้าของเหล่าทูตกลับตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อนี้ และแม้แต่ดวงตาของปิงซื่อเทียนก็พลันหรี่ลง ซึ่งเผยให้เห็นถึงความกลัวอย่างสุดซึ้งอยู่ภายใน
คนผู้นี้เป็นบุคคลที่มีพลังฝีมือโดดเด่นที่สุดของนิกายอสูร เขาทำให้แดนภวังค์ทมิฬต้องสั่นคลอนไปทั่วทุกหนทุกแห่งและมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกมานานนม แต่หลังจากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในเวลานั้น สิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬ และทุกคนคาดเดาว่าเขาคงได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์และขึ้นสู่ภพเซียนไปตั้งนานแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน!
“อยากจะสู้กับข้าหรือ? ไปถามอาจารย์ของเจ้าก่อนว่า เขาตกลงหรือไม่!” ฟางจ่านเหมยมองไปยังมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้กังวล
สีหน้าของผู้ฟังแข็งทื่อเมื่ออาจารย์ของเขาถูกกล่าวถึง เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหมดหนทาง และไม่มีความปรารถนาที่จะต่อสู้อีกต่อไป
“เจ้าอ้วนน้อย รีบมากับอาตมาเถอะ เหล่าลาหัวโล้นในวัดป่าธยานะกำลังรอเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ” ในอีกด้านหนึ่ง จู่ ๆ ฉผัสสะก็มาถึงด้านข้างของหลิงอวี๋ จากนั้นจ้องมองหลิงอวี๋จากหัวจรดเท้าและค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ก็อดคิดในใจไม่ได้
มันเป็นแบบนี้จริง ๆ
พวกเขาตกตะลึงจนชินชากับสิ่งมากมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดังนั้น ตอนนี้จึงดูสงบลงมาก
“ข้าหรือ?” หลิงอวี๋ประหลาดใจ เขาเกาหัวก่อนจะถามด้วยสีหน้าที่ซื่อตรง “ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคนอื่นหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ว่าข้าจะจำใครผิดก็ตาม แต่ก็ไม่มีวันที่ข้าจะจำเจ้าผิดอย่างแน่นอน” ฉผัสสะดูเหมือนจะอดทนอย่างยิ่งในขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแน่ใจหรือ?”
“ใช่แล้ว”
“จริง ๆ หรือ?”
“ใช่แล้ว”
“ท่านไม่ได้จำผิดจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้จำผิดจริง ๆ”
“แต่ข้า…”
“สารเลวน้อย! เจ้าพอได้แล้วหรือยัง!?”
ป้าบ!
ในที่สุดหลวงจีนผู้อ่อนโยนก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจึงยกมือขึ้นและทุบหลิงอวี๋ ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าหนู แม้ว่าเหล่าสาวกของนิกายพุทธล้วนเป็นคนช่างพูด แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่เป็นคนช่างพูดเหมือนกับเจ้า เจ้าสารเลวน้อย เจ้ามันผิดปกติอย่างแท้จริง!”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ หวงเหมยเวิง และฟางจ่านเหมย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นฉากนี้ เพราะหลิงอวี๋นั้นผิดปกติอย่างที่เห็นจริง ๆ เขาสามารถกล่าวคำยืดยาวเสียจนฉผัสสะไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็แย้มยิ้มถึงใบหูเช่นกัน เพราะล้วนรับรู้ได้ว่า ฉผัสสะมีความตั้งใจที่รับหลิงอวี๋เป็นศิษย์ของวัดป่าธยานะจริง ๆ
มีเพียงปิงซื่อเทียนเท่านั้นที่ยังมีสีหน้ามืดมนและไร้อารมณ์ เพราะผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ซ่งอีกคนกลับถูกกองกำลังใหญ่ของนิกายพุทธรับตัวเป็นศิษย์ จึงทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวและเคืองโกรธมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นฟางจ่านเหมยก็เลือกฟ่านอวิ๋นหลานมาเป็นศิษย์
ฟ่านอวิ๋นหลานดูจะไม่แปลกใจ และนางก็รับโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้อย่างใจเย็น
เฉินซีก็ไม่แปลกใจเช่นกัน เพราะเมื่อนานมาแล้ว เขาเคยได้ยินจากศิษย์พี่หญิงที่ชอบปลอมตัวเป็นบุรุษว่า ฟ่านอวิ๋นหลานเกิดมาพร้อมกับดอกบัวแห่งความชั่วร้าย นอกจากนี้ นางมาจากนิกายอสูร ดังนั้นการที่ฟางจ่านเหมยเลือกนางก็สมเหตุสมผล
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือ หลังจากที่ฟางจ่านเหมยเลือกฟ่านอวิ๋นหลาน จู่ ๆ เขาก็กวาดสายตาไปยังจ้าวชิงเหอที่อยู่ใกล้เคียง และเขาก็เลือกจ้าวชิงเหอด้วยเช่นกัน!
เมื่อมาถึงตรงนี้ นอกจากเฉินซีกับชิงซิ่วอี้แล้ว ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ของราชวงศ์ซ่งก็ถูกรับเลือกเป็นศิษย์โดยผู้ยิ่งใหญ่ที่ลงมายังสมรภูมิบรรพกาล!
ไม่ต้องกล่าวถึงเฉินซีและคนอื่น ๆ ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ จะมีใครจินตนการได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น?