บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 566 ก้าวสู่จุดสูงสุด
บทที่ 566 ก้าวสู่จุดสูงสุด
นี่คือใบหน้าอันสวยสง่าที่เต็มไปด้วยความงดงามแบบดั้งเดิม คิ้วโค้งดุจทิวเขาเขียวชอุ่ม ดวงตาพร่างพราวเปล่งประกาย ริมฝีปากสีแดงสวยสด ผิวอ่อนนุ่มและขาวเนียนดั่งหยก ผมเรียบเงายาวสลวยราวกับน้ำตก หน้าผากขาวอิ่มเอิบ ทำให้นางดูงดงาม ราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง
หญิงสาวผู้นี้กล่าวได้ว่างดงามอย่างไร้ที่ติ ดั่งตัวตนที่ยากพานพบในโลกหล้า ราวกับนางเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า
อย่างไรก็ตาม รูปร่างของนางกลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างน่าอัศจรรย์ ขายาวเรียว เอวกิ่วคอดราวกับกิ่งก้านของต้นหลิว หน้าอกอวบอิ่ม ลำคอขาวยาวระหง ไหล่ขาวเหมือนงาช้างเปล่งประกายโค้งมนงดงาม สัดส่วนโค้งเว้าที่สง่างาม ทำให้นางมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างหาที่เปรียบมิได้
เมื่อนำความงดงามแบบดั้งเดิมรวมเข้ากับรูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งอันมีเสน่ห์เและเย้ายวนใจ ทำให้ผู้คนได้รับผลกระทบทางสายตาเป็นอย่างมาก
ด้วยระดับความนิ่งสงบของเฉินซี เมื่อได้เห็นอันเวยเป็นครั้งแรก เขาจึงเผลอเสียสมาธิไปเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาจะกลับมาชัดเจนและสงบอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้เป็นสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง นางมีรูปร่างหน้าตาที่สามารถล่มเมืองได้ นับเป็นรูปลักษณ์ที่สามารถนำความหายนะมาสู่อาณาจักรและผู้คนโดยแท้ แต่เฉินซีได้พบกับหญิงสาวที่มีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้มามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หลงเสน่ห์ดั่งลูกนกเพิ่งเคยพบเจอแม่
ตัวอย่างเช่น ชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน… แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของพวกนางจะมีข้อดีในแบบของตัวเอง แต่หากเปรียบเทียบกับหญิงนางนี้ พวกนางก็ไม่ได้สร้างผลกระทบทางสายตาที่รุนแรงแก่เขาจนแทบหยุดหายใจขนาดนั้นเช่นกัน
ในขณะที่เฉินซีกำลังประเมินอีกฝ่ายอยู่ อันเวยก็กำลังประเมินเขาเช่นกัน และเมื่อนางเห็นอาการเหม่อลอยแวบผ่านดวงตาของชายหนุ่ม ริมฝีปากสีแดงแวววาวของนางก็โค้งขึ้นด้วยความเย็นชาเล็กน้อย ทว่าในชั่วครู่ต่อมาความเย็นชานี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพราะนางต้องประหลาดใจ หลังจากพบว่าสายตาของชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าตนนั้น กลับมาชัดเจนแทบจะในทันที มันมีเหลือเพียงแค่ความสงบและร่องรอยความชื่นชมภายในสายตาที่จ้องมองมา ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ได้พบกับนางในคราแรก สายตาของคนพวกนั้นล้วนแสดงให้เห็นแต่ความโลภ ความปรารถนาอันแรงกล้า หรือความตั้งใจที่จะครอบครองตัวนางไม่มากก็น้อยเท่านั้น
การค้นพบเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ทำให้อันเวยรู้สึกว่าสหายผู้อยู่ต่อหน้าคนนี้มีลักษณะพิเศษเหนือธรรมดา ไม่เหมือนใครและแตกต่างจากคนอื่น อย่างที่น้องสาวของนางพูดเอาไว้จริง ๆ
ทว่านั่นคือทั้งหมดที่นางรู้สึก ในฐานะศิษย์อันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง นางเคยได้เห็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นมานับไม่ถ้วนแล้ว ในหมู่พวกเขามีผู้ที่สง่างาม ผู้ที่กล้าหาญ ผู้มีอิสระและเรียบง่าย และประเภทอื่น ๆ อีกหลากหลาย ดังนั้นเพียงแค่ได้เห็นเฉินซีเป็นครั้งแรก นางก็ไม่ได้เกิดประทับใจที่ดีต่อเขาแต่อย่างใด
นางยับยั้งความคิดของตนอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากสีแดงของนางอ้าออกช้า ๆ ขณะที่พูดออกมา “ที่ชั้นบนสุดของแท่นดอกบัว เป็นพื้นที่หลักของคัมภีร์เก้าเรืองรอง พื้นที่ต่าง ๆ ทั้งหมดบนแท่นดอกบัวทั้งเก้าชั้นก่อตัวขึ้นจากมัน และเมื่อคนนอกเข้าใกล้ พวกมันจะสร้างแรงต่อต้านออกมา ดังนั้นการเข้าไปในนั้นมีแต่จะทำให้ตัวเจ้าบาดเจ็บ”
“โอ้?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “ข้าแค่ต้องการยืนยันว่า ข้าสามารถรับศาสตร์เต๋าที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้มาได้หรือไม่ แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย”
“เจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดรึ?” คิ้วที่สวยงามของอันเวยขมวดเล็กน้อย เมื่อรวมกับรูปลักษณ์ที่งดงามแบบดั้งเดิมและรูปร่างอันทรงเสน่ห์แล้ว มันจึงดูสวยงามอย่างน่าประหลาดใจ
“เอ่อ แน่นอน ข้าเชื่อเจ้า แต่ข้าก็ยังอยากลอง” เขาลูบจมูกและพูดเบา ๆ
“หากข้าจำไม่ผิด คงจะมีบางอย่างในร่างกายของเจ้าที่สามารถต้านทานแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งได้อยู่สินะ” ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหันหลังกลับ และดำเนินขั้นตอนสุดท้าย หญิงสาวก็พูดขึ้นอีกครั้ง
หัวใจของเฉินซีสั่นไหวในทันที หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะมองเห็นชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในจิตสำนึกเขา?
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ศิษย์ชั้นสูงทุกคนที่สามารถมาถึงชั้นที่เก้าของแท่นดอกบัวได้ ล้วนมีบางอย่างให้พึ่งพาอยู่ ข้าเองก็เช่นกัน” อันเวยพึมพำ
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิด ‘ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้าเขาผู้นี้ นอกจากจะเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากมายแล้ว นางก็ดูจะมีดวงโชคลาภที่ดีไม่น้อย เพื่อให้ได้เป็นศิษย์ชั้นสูงอันดับหนึ่งของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง นางย่อมต้องได้รับโอกาสให้ได้โดดเด่น ท่ามกลางอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดานับไม่ถ้วนมาบ้างอยู่แล้ว’
“ทว่าการสนับสนุนจากภายนอกทุกอย่างจะถูกจำกัดเมื่ออยู่ตรงบริเวณแกนกลางของแท่นดอกบัว แม้กระทั่งถูกทำลายก็มี” อันเวยชำเลืองมองคนที่เงียบไป ก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าควรรู้ไว้นะว่าพื้นที่ฝึกฝนนี้ ก่อตัวขึ้นจากกลีบดอกบัวที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งทิ้งไว้ มันมีความลึกลับไม่รู้จบ จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครเข้าใจความลึกซึ้งทั้งหมดของมัน ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ข้าขอแนะนำให้เจ้าอยู่บนชั้นที่เก้าจะดีกว่า การก้าวไปข้างหน้าอย่างหุนหันพลันแล่นไม่ใช่เรื่องดีนัก”
“ขอบคุณมาก” เฉินซีตอบอย่างจริงจัง “ทว่าในเมื่อได้มาอยู่ที่นี่แล้ว จนกว่าจะได้ลองด้วยตัวเอง ข้าก็คงไม่สบายใจนัก”
“เจ้าคิดว่าที่ข้าเตือนเจ้า เป็นเพราะข้ากังวลว่าเจ้าจะแซงหน้าข้าไปอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวขมวดคิ้ว เสียงที่นุ่มนวลและไพเราะของนางเผยร่องรอยความไม่พอใจออกมา
เฉินซีเงียบไปเพราะเขาไม่รู้จะอธิบายให้นางฟังอย่างไรดี
“ลืมมันไปซะ ในเมื่อยืนยันจะทำเช่นนี้ก็เชิญไปตามทางที่เจ้าต้องการเถิด หวังว่าเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ” อันเวยส่ายหัว ราวกับนางรู้สึกว่าเฉินซีโง่เขลาเกินไป นางจึงไม่ใส่ใจที่จะพูดอะไรกับเขาอีกก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
การสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองเกิดขึ้นผ่านส่งเสียงทางกระแสปราณ ดังนั้นผู้คนโดยรอบจึงงุนงงกับท่าทีของพวกเขา และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนก็ยังรู้สึกอิจฉาเมื่อได้เห็นอันเวยสนทนากับเฉินซีอยู่ดี
เพราะอย่างไรแล้ว อันเวยก็เป็นศิษย์ชั้นสูงอันดับหนึ่งของพวกเขา นางมีรูปลักษณ์ที่ไร้ใครเทียบและความงามที่หาตัวจับยาก พวกเขาแทบจะไม่เคยเห็นนางพูดคุยกับชายอื่นเลยแม้แต่น้อย นางเป็นราวกับเทพธิดาที่ผู้คนไม่อาจเอื้อม และทำได้แแค่เฝ้ามองอย่างหลงใหลเท่านั้น
ยามนี้ นางกลับกำลังคุยกับศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในนิกายอยู่นานสองนาน แล้วจะไม่ทำให้พวกเขาอิจฉาได้อย่างไร?
“ดูสิ ผู้ชายคนนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
“สวรรค์ เขาคิดจะปีนขึ้นไปเหนือแท่นดอกบัวจริง ๆ!”
คลื่นเสียงอุทานดังกึกก้อง จากนั้นทุกคนก็ตกใจที่เห็นร่างสูงของเฉินซีหันหน้าไปทางแท่นดอกบัว ก่อนจะก้าวออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
แม้แต่อันเวยในเวลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้าตนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความไม่เข้าใจ
นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดสหายที่เพิ่งเข้ามานิกายเพียงวันเดียว ถึงได้เลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อขึ้นไปบนยอดของแท่นดอกบัว
ภายนอกหอหมื่นคัมภีร์ ชายชราดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และร่างผอมสูงของเขาค่อย ๆ เกร็งขึ้นขณะที่พึมพำ “เขากำลังจะขึ้นไปเหนือแท่นดอกบัว… ดูเหมือนเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะยังมีความลับอยู่อีกมากจริง ๆ…”
ดวงตาของชายชราลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แม้ว่าเขาจะยืนอยู่นอกหอหมื่นคัมภีร์ แต่ก็ดูราวกับเขาจะมองเห็นฉากที่อยู่ภายในแท่นดอกบัวได้อย่างชัดเจน ความผันผวนแปลกประหลาดภายในร่างสูงของเฉินซีที่ความรู้สึกของเขาจับได้นั้น เป็นสิ่งที่แม้ว่าจะพยายามตรวจสอบอย่างไร เขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าความผันผวนนี้มาจากสมบัติชนิดใดกันแน่
เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงสมบัติอมตะ ตัวตนเช่นเขายอมเคยพบเห็นสมบัติมากมายที่ระดับสูงเกินกว่าสมบัติอมตะ แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นสมบัติที่เหลือเชื่อเช่นสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเฉินซีมาก่อนเลย
“น่าสนใจ แม้ว่าเจี้ยนเหิงจะบอกว่าเขาเพียงตอบแทนน้ำใจ แต่เขาก็ได้คว้าความโชคดีไปให้ยอดเขาจรัสตะวันตกด้วยไม่ใช่หรือ?”
ตึง!
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงที่จ้องมองมาจากรอบ ๆ เฉินซีก็ได้วางก้าวสุดท้ายลงบนแท่นดอกบัวในที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างของเขายืนอยู่บนแท่นแล้ว ก่อนที่เขาจะได้เตรียมการใด ๆ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งของเต๋ารู้แจ้งก็ถาโถมออกมาราวกับกระแสน้ำที่ทรงพลัง ปริมาณที่มากมายและดุร้ายพุ่งเข้าใส่เขาอย่างดุเดือด
แรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งในครั้งนี้รุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้นับสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะมีจิตวิญญาณ และต้องการโจมตีอย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังควบคุมพลังของเต๋ารู้แจ้งเพื่อโจมตีเขา!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ขณะที่เขามองไปยังเสาแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ทอดยาวตรงสู่ท้องฟ้าที่อยู่ใจกลางของแท่นดอกบัว โดยปกติแล้วเต๋ารู้แจ้งไม่ควรมีเจตนามุ่งโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ราวกับว่าจงใจมุ่งเป้ามาที่เขา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งบนแท่นดอกบัวนี้ถูกปล่อยออกมาโดยเจตนา!
ตู้ม!
ขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ แรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่น่ากลัวได้ระเบิดอย่างรุนแรงบนร่างกายของเขา
สถานการณ์บนแท่นดอกบัวทั้งหมดในยามนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แสงที่ลุกโชนหลายสายไหลวนและเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราก เหมือนดั่งสัตว์ร้ายผู้หลับใหลได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้มันเดือดดาลไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนบนแท่นดอกบัวอุทานด้วยความตกใจ ทันใดนั้น ศิษย์หลายคนก็ผุดลุกขึ้นยืนและมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความประหลาดใจ ในหลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเช่นนี้เกิดขึ้นบนแท่นดอกบัว
ในเวลาเดียวกัน ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในทะเลจิตสำนึกของเฉินซีก็ดูเหมือนจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน มันลอยขึ้นก่อนที่จะปล่อยคลื่นความผันผวนออกมาอย่างรุนแรงในทันที จากนั้นส่งพลังแปลก ๆ แผ่ขยายออกไปเหมือนกระแสน้ำปะทะกับแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งที่พุ่งสูงขึ้นอย่างจัง
โครม!
เสียงปะทะกันที่ทั้งต่ำและหนักราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้องเหนือแท่นดอกบัว พลังงานที่ผันผวนอย่างน่าตกใจระเบิดออกไปทุกทิศทุกทาง สะเทือนถึงเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่อยู่บนแท่นดอกบัวทั้งเก้าชั้น จนเลือดลมของพวกเขาตีรวน จิตใจล่องลอย ทำให้พวกเขารู้สึกสะพรึงกลัวยิ่ง
ภายใต้ความผันผวนนี้ ร่างกายของเฉินซีสั่นอย่างรุนแรงไปชั่วขณะ เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางอู้อี้ออกมา แม้ว่าแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งจะถูกสลายไปในที่สุด แต่พลังของการปะทะกันยังคงทำให้จิตวิญญาณของเขา รู้สึกราวกับถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ มันรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่อาจทานทนได้
ครืน!
ราวกับตระหนักแล้วว่าการโจมตีในครั้งนี้ไม่สามารถขับไล่อีกฝ่ายออกไปได้ แรงกดดันที่รุนแรงกว่าเก่าของเต๋ารู้แจ้งก็พุ่งออกมาจากด้านบนของแท่นดอกบัวอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน เสาแสงที่ยิงตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ปล่อยลำแสงที่มีพลังเจาะทะลุทุกสิ่งออกมา โปรยปรายลงมาอย่างแน่นขนัดราวกับทางช้างเผือกพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม
แรงผลักดันของมันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าโลกกำลังจะถึงกาลอวสาน เต๋ารู้แจ้งประเภทต่าง ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับแสงเจิดจรัสมากมายเริ่มส่งเสียงดังก้อง ทุกคนที่อยู่ข้างใต้แท่นดอกบัวทั้งเก้าขั้นอ้าปากกว้างอย่างตกใจ สีหน้าของพวกเขาต่างแสดงออกมาว่ากำลังตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“สหายผู้นี้ คงจะโดนถล่มเป็นแน่…” ริมฝีปากสีแดงของอันเวยเม้มเข้าหากันเบา ๆ เมื่อเห็นฉากนี้ ร่องรอยความเสียใจก็ฉายขึ้นมาบนใบหน้าที่สวยงามของนาง
ครั้งหนึ่งนางก็เคยพยายามขึ้นไปเช่นกัน น่าเสียดาย… ที่นางก็ได้พ่ายแพ้ต่อแรงกดดันที่น่ากลัวและพลุ่งพล่านของเต๋ารู้แจ้งเหล่านั้น และภาพที่เฉินซีกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ก็เหมือนกับที่นางเคยได้เผชิญมาก่อนหน้านี้ทุกประการ ดังนั้นนางจึงแน่ใจอย่างยิ่งว่าไม่ต้องพูดถึงเฉินซีที่เป็นศิษย์ของนิกาย ต่อให้เขาเป็นผู้อาวุโสของนิกาย ทุกคนล้วนต้องล้มเหลวให้แก่การโจมตีดังกล่าวอยู่ดี!
“ถ้าเขาสามารถยืนหยัดผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ บางทีเขาอาจจะได้รับหนึ่งในมรดกที่ลึกลับที่สุดของคัมภีร์เก้าเรืองรอง…” ยามนี้ ความกังวลใจที่หาได้ยากกำลังปรากฏอยู่บนใบหน้าสูงวัยของชายชรา