บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 594 แสงทองแห่งการหลุดพ้น
บทที่ 594 แสงทองแห่งการหลุดพ้น
ปลิดชีพหนึ่งในอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว วิธีการที่ทรงพลังและเด็ดขาดเช่นนี้ ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนหน้าถอดสีกันถ้วนหน้า
ผู้บ่มเพาะในเมืองรอยจันทราแห่งนี้ไม่เคยเห็นคนที่ดุร้ายซึ่งสามารถฆ่าผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเหมือนการเชือดไก่ และมันทำให้พวกเขาสงสัยด้วยซ้ำว่า นั่นคือหนึ่งในเจ็ดอสูรไก่ฟ้าทมิฬจริง ๆ หรือไม่…
เพราะอสูรที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เหล่านี้ได้สร้างความหายนะให้กับดินแดนเหล่านี้มาหลายปี และพวกมันแทบไม่เคยตกตายเลย ยิ่งไปกว่านั้น มีคนนับไม่ถ้วนที่มากวาดล้างพวกมัน แต่ผลลัพธ์กลับล้มเหลว
จนกระทั่งอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดก็ค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ยงคงกระพันในใจของผู้คน แต่พวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า จะเห็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเช่นในวันนี้?
“น้องเจ็ด!”
“บัดซบ เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
“พวกเรา! ร่วมมือกันสังหารไอ้เด็กบัดซบคนนี้ เพื่อแก้แค้นให้กับน้องเจ็ด!”
อิ่นสยงและคนอื่น ๆ ร้องออกมาอย่างเศร้าโศกและโกรธแค้น พวกมันล้วนมีสีหน้าอำมหิต ในขณะที่สายตาซึ่งจ้องมองเฉินซีนั้นก็เต็มไปด้วยโหดร้ายและขุ่นเคือง พวกมันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการเชือดชายหนุ่มและกินเขาทั้งเป็น
ในช่วงเวลาถัดมา อสูรทั้งสี่ตนที่เหลือก็ได้เคลื่อนไหว
วูบ!
แสงที่เหมือนทะเลเลือดได้พุ่งออกมาจากร่างของพวกมันอย่างดุเดือด มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ชั่วร้ายและกระหายเลือด อีกทั้งยังน่าตกตะลึงและหนาแน่นจนดูเหมือนวัตถุที่จับต้องได้
นอกจากนั้น กระดูกสีดำสนิทได้ลอยขึ้นอยู่เหนือหัวของพวกมัน กระดูกเหล่านี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ มีสีดำสนิทและปกคลุมไปด้วยแสงแห่งบาปวงแล้ววงเล่า พร้อมกับปลดปล่อยเจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่านออกมา
ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาถัดมา กระดูกสีดำสนิททั้งสี่ชิ้นได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและก่อตัวเป็นค่ายกลสี่สัญลักษณ์ ก่อนที่จะถาโถมใส่เฉินซีอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลโลหิตกลืนวิญญาณสี่สัญลักษณ์!” เสียงอุทานด้วยความตกใจดังออกมาจากภายในฝูงชน เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้จดจำที่มาของการโจมตีนี้ได้
อสูรเหล่านี้คืออสูรไก่ฟ้าทมิฬที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ ซึ่งกระดูกสีดำสนิทนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของพวกมันและได้รับการขัดเกลาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน
แต่สิ่งที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือ พวกมันมีทักษะในการสร้างค่ายกลสังหาร เมื่อพวกมันสองตนร่วมมือกัน ก็จะสามารถสร้างค่ายกลสยบหยาง เมื่อพวกมันสามตนร่วมมือกัน พวกมันจะสร้างค่ายกลเฉือนวิญญาณสามประการ เป็นต้น
เมื่อพวกมันทั้งเจ็ดมารวมตัวกัน ก็จะสามารถสร้างค่ายกลพิฆาตวิญญาณเจ็ดดาราได้ ซึ่งมีอานุภาพที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้อย่างง่ายดาย!
แม้ว่าค่ายกลโลหิตกลืนวิญญาณสี่สัญลักษณ์ที่พวกมันใช้ในขณะนี้จะด้อยกว่าค่ายกลพิฆาตวิญญาณเจ็ดดารา แต่อานุภาพของมันก็ยังแข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง หากผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติธรรมดาทั่วไปได้เผชิญหน้ากับมัน ผู้บ่มเพาะก็คงจะถูกทำลายล้างในชั่วพริบตา ก่อนจะถูกกลืนกินวิญญาณและถูกดูดเลือดออกจากร่างกาย และในท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเพียงผิวหนังที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์
ฟุ่บ!
ร่างของเฉินซีได้พุ่งทะยานเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในครั้งนี้ แม้ว่าอสูรเหล่านี้จะมีระดับการบ่มเพาะที่ด้อยกว่าเขา แต่เหล่าศัตราวิเศษที่อยู่ในมือของพวกมันนั้นรับมือไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด อีกทั้งยังมีแสงแห่งบาปที่สามารถพรากวิญญาณไปได้ ทำให้มันเป็นอาวุธสังหารที่ยอดเยี่ยมและเหนือกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
ศัสตราวิเศษเช่นนี้ อย่างน้อยต้องเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตไปนับหมื่นนับแสน อีกทั้งยังดูดซับวิญญาณและเลือด ก่อนที่จะขัดเกลาได้ถึงในระดับดังกล่าว เพียงแค่แสงแห่งบาปที่เปล่งออกมาจากมัน ก็สามารถพรากวิญญาณของคนไปได้ ดังนั้นมันจึงชั่วร้ายและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ฟุ่บ!
กระดูกสีดำได้พุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้าไปทางเฉินซี มันมีขนาดเท่าฝ่ามือแต่ยังเปล่งแสงแห่งบาปอันไร้ขอบเขต ทำให้มันดูเหมือนแสงแห่งบาปที่ทะยานขึ้นจากเหวนรก พร้อมกับมีจิตสังหารที่ชั่วร้าย
เคร้ง!
ชายหนุ่มตวัดนิ้วของเขา เมื่อมันกระแทกเข้ากับกระดูกสีดำสนิท มันก็ส่งเสียงเคร้งคร้างที่แหลมคมและหนักหน่วงออกมา ก่อนจะระเบิดให้กระดูกให้ปลิวว่อนออกไป ทว่ากระดูกนั้นกลับไม่แตกหัก และทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ก็เพียงพอสำหรับชายหนุ่มที่จะทำลายสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับไม่สามารถทำลายกระดูกชิ้นนี้ได้ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระดูกชิ้นนี้ได้รับการขัดเกลามามากเพียงใด
ในเวลาเดียวกัน กระดูกสีดำสนิทอีกสามชิ้นก็พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแสงสีดำสนิทที่พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำเชี่ยว และมันปกคลุมฟ้าดินด้วยหมอกอันมืดมิด
หลังจากนั้น หมอกก็ได้กลายเป็นโครงกระดูกจำนวนมากและภูตผีอสูรที่ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างป่าเถื่อนไปทั่วฟ้าดิน ทำให้บริเวณโดยรอบดูเหมือนกับเป็นดินแดนผีสิงอันน่าสะพรึงกลัว
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
อาคาร ถนน ต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง… ในทันทีที่พวกมันทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยหมอก พลันถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วในทันที ทำให้พวกมันพรุนเป็นรู และพื้นดินทั้งหมดก็พังทลายกลายเป็นความรกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
เหล่าศิษย์ของนิกายวายุม่วงที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ทั้งหมด ล้วนตกตะลึงจนถึงขั้นต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพวกเขากลัวอย่างมากว่าพวกตนจะได้รับผลกระทบจากหมอกสีดำที่บ้าคลั่งเหมือนวิญญาณร้ายเหล่านี้
ทว่ามีบางคนไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา และเพียงแค่สูดหมอกสีดำเข้าไปเล็กน้อย มันก็ทำให้ผิวหนังทั่วร่างกายของพวกเขาถูกกัดกร่อนจนเผยให้เห็นกระดูกที่แตกหักไปทีละนิด จนกระทั่งในที่สุด ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาก็ได้กลายเป็นแอ่งของเหลวสีดำสนิททันที และฉากการตายของพวกเขาก็น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าได้ติดอยู่ในหมอกของค่ายกลโลหิตกลืนวิญญาณสี่สัญลักษณ์แล้ว ร่างกายทั้งหมดของเจ้าจะถูกกัดกร่อนภายในชั่วพริบตา วิญญาณและเลือดของเจ้าจะถูกขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่เจ้าจะถูกเปลี่ยนเป็นวิญญาณพยาบาท ซึ่งไม่อาจตายได้ไปชั่วนิรันดร์!”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองสินะ? นิกายของเจ้ามักยกย่องตัวเองว่าเป็นนิกายที่ชอบธรรม ซึ่งถือว่าการกำจัดความชั่วร้ายและอสูรเป็นหน้าที่ของพวกมัน และล้วนทนไม่ได้ที่ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้าย”
“ดังนั้นข้าจะบอกอะไรกับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะสามารถฝ่าหมอกนี้ออกไปได้ แต่เจ้าก็ไม่สามารถขจัดหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากแสงแห่งบาปได้ทั้งหมดหรอก ทว่าหมอกนี้จะแผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากมันจะกลายเป็นแอ่งหนองเน่าเหม็น ในขณะที่วิญญาณของพวกมันจะถูกพวกข้ายึดครอง เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกข้าแทน!”
“ดังนั้น เพื่อเห็นแก่ผู้บริสุทธิ์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ เจ้าควรเลิกดิ้นรนและยอมตายอย่างเชื่อฟังซะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
เมื่อเห็นเฉินซีตกลงไปในหมอกหนาทึบ อสูรทั้งสี่ตนก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะด้วยความโหดร้าย ใบหน้าของพวกมันทั้งบิดเบี้ยวและเผยให้เห็นความพึงพอใจ เพราะนี่คือไพ่ตายของพวกมัน และด้วยกลอุบายนี้ พวกมันก็ได้ทำลายสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน!
ท้ายที่สุด เคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ก็ชั่วร้ายและอำมหิตเกินไป เมื่อมันถูกใช้ออกไป ทุกสิ่งในระยะสามร้อยลี้ก็จะถูกทำลาย! แม้ว่าสัมผัสกับหมอกเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ที่สัมผัสก็จะกลายเป็นแอ่งหนองในทันที!
พวกมันไม่กังวลต่อชะตากรรมของคนอื่น แต่พวกมันกังวลว่าจะไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรทำให้ขุ่นเคืองโดยไม่ตั้งใจ เพราะผลที่ตามมาคือสิ่งที่พวกมันไม่สามารถแบกรับได้
ถ้าไม่ใช่เพราะชวีมู่ซึ่งเป็นน้องเจ็ดของพวกมันตายตกไป พวกมันคงไม่กล้าใช้เคล็ดวิชานี้ในเมืองรอยจันทราเช่นกัน
“ไอ้สารเลวพวกนี้กลับใช้ค่ายกลโลหิตกลืนวิญญาณสี่สัญลักษณ์ในอาณาเขตของข้าจริง ๆ!” ในระยะไกลออกไป ใบหน้าของอู่จือฉงที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่มืดมนลงทันที เขาเดือดดาลเป็นอย่างมาก และไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากสังหารพวกโง่เขลาเหล่านี้
แต่สิ่งที่ทำให้โกรธมากที่สุดก็คือ อสูรไก่ฟ้าทมิฬเหล่านี้ได้เปิดเผยตัวเองในอาณาเขตของเขา ดังนั้นหากมีผู้อื่นรู้เรื่องนี้ แล้วนิกายวายุม่วงจะรักษาฐานที่มั่นในเมืองรอยจันทราได้อย่างไร?
“หากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองพบว่า มีศิษย์คนหนึ่งเสียชีวิตอย่างอนาถในอาณาเขตของข้า แล้วข้าจะควรทำอย่างไรดี?”
“ไอ้พวกนี้มันโง่บัดซบเสียจริง ๆ!”
อู่จือฉงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
หลังจากนั้น เขาก็ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรงและกล่าวพึมพำ “แล้วกันไปเถอะ หากข้าไม่อาจทำอะไรได้ ข้าก็จะปิดปากทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้…” หลังจากที่กล่าวจบ เจตนาฆ่าได้ฉายออกมาจากดวงตาของเขา
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่อสูรทั้งสี่ แม้แต่อู่จือฉงก็เชื่ออย่างแน่วแน่ว่า เฉินซีที่ตกลงไปในหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากแสงแห่งบาป จะต้องตายอย่างแน่นอน!
ทว่าท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน จู่ ๆ แสงสีทองที่ส่องประกายแวววาวก็พุ่งตรงไปยังท้องฟ้า มันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ซึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องนภา
“นี่มัน…”
อสูรทั้งสี่ตัวตกตะลึง และรอยยิ้มอำมหิตบนใบหน้าก็พลันแข็งทื่อไป
ร่างของอู่จือฉงแข็งทื่อขณะที่ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเช่นกัน
แม้แต่เหล่าศิษย์ของนิกายวายุม่วงกับผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ซึ่งได้หลบไปไกลตั้งนานแล้ว ยังสังเกตเห็นฉากนี้ เพราะอย่างไรแล้ว แสงสีทองนี้ก็กว้างใหญ่และสว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ และมันก็เจิดจ้าเสียจนไม่สามารถมองข้ามได้
ครืนนน!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้ดังก้องไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า จู่ ๆ แท่นดอกบัวสีทองก็ผุดขึ้นมาจากภายในหมอกที่พวยพุ่ง มันมีขนาดใหญ่โตดุจขุนเขา มีแสงสีทองเจิดจ้าเปล่งออกมา เสียงสวดมนต์ที่ดังออกมาจากมัน ราวกับเสียงสวดมนต์ของทวยเทพและเสียงคำรามของมหาเต๋า
ทันใดนั้น ฟ้าดินก็สาดส่องรัศมีอันยิ่งใหญ่ออกมากำจัดและปราบปรามความชั่วร้ายทั้งหมด
ร่างที่สูงสง่าของเฉินซียืนอยู่บนแท่นดอกบัวอย่างน่าอัศจรรย์ เสื้อผ้าและเส้นผมที่ยาวสลวยก็พลิ้วไปตามลม เขาดูเหมือนกับบุตรแห่งสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมกับแท่นดอกบัวที่ใต้ฝ่าเท้า
“ชายคนนี้ยังไม่ตาย!”
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนรวมถึงอสูรทั้งสี่และอู่จือฉงล้วนอ้าปากค้าง สายตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฟู่! ฟู่!
ในทันใดที่แท่นดอกบัวปรากฏขึ้น หมอกที่ปกคลุมฟ้าดินก็กลายเป็นเหมือนราตรีที่ต้องแสงแดดของรุ่งอรุณ ดุจน้ำแข็งที่ถูกน้ำเดือดราดจนหลอมละลาย มันส่งเสียงเสียดหูออกมาราวกับกำลังร้องขอความเมตตาและพยายามดิ้นรนหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ภายใต้แสงสีทองที่ส่องสว่างของแท่นดอกบัว สิ่งเหล่านี้กลับไร้ประโยชน์
ทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เหล่าโครงกระดูกและภูตผีที่กลายร่างเป็นหมอกนั้นถูกบดขยี้ เผาทำลาย และถูกกำจัดจนหมดสิ้น ไม่ต้องกล่าวถึงการหลบหนี แม้แต่เศษเสี้ยวของหมอกสักนิด ก็ไม่สามารถหลบหนีจากแสงสีทองได้
นี่คืออานุภาพของวิชาแท่นดอกบัว บางทีมันอาจจะไม่มีผลหากใช้กับศัตรู แต่ถ้ามันถูกใช้เพื่อทำลายล้างความชั่วร้ายและภูตผีอสูร มันจะเป็นอาวุธแห่งการเข่นฆ่าที่ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการของคนคนหนึ่ง และมันก็มีพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก
เพียงแค่ชั่วพริบตา หมอกทั้งหมดก็สลายไป มีเพียงกระดูกสีดำสนิทสี่ชิ้นเท่านั้นที่ยังคงดิ้นรนอย่างขมขื่น แต่ผู้ใดก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แสงแห่งบาปที่บรรจุอยู่ภายในกระดูกเหล่านี้กำลังถูกขจัดออกไปอย่างรวดเร็วมาก และคงไม่นานนัก ก่อนที่กระดูกเหล่านี้จะสูญเสียพลังทั้งหมด
“บัดซบ! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“ช่างเป็นแสงสีทองที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก! ราวกับมันเกิดมาเพื่อสยบความชั่วร้ายทั้งหมด!”
“มารดามัน! รีบนำกระดูกของเจ้ากลับคืนมา ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป!”
อสูรทั้งสี่ตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และจิตใจของพวกมันก็ยุ่งเหยิงยิ่ง
เมื่อได้เห็นกระดูกที่พวกมันขัดเกลาอย่างอุตสาหะเป็นเวลานับไม่ถ้วนกำลังจะถูกทำลายในขณะนี้ พวกมันก็หวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง และพวกมันก็เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกันโดยตั้งใจที่จะเอากระดูกเหล่านี้กลับคืนมา
แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว
ชายหนุ่มยกมือขึ้นและทำท่าคว้าจับ จากนั้นกระดูกสีดำสนิททั้งสี่ชิ้นก็ดูเหมือนถูกสายฟ้าฟาดและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกัน ก่อนจะถูกเผาด้วยแสงสีทองของแท่นดอกบัวโดยไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
พรวดด!
อสูรทั้งสี่ตนกระอักเลือดออกมาเต็มปากทันที ทำให้สีหน้าของพวกมันซีดจนดูเหมือนโปร่งแสง และร่างของพวกมันก็ใกล้จะพังทลาย การที่กระดูกโดยกำเนิดถูกทำลาย ทำให้พวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่สามารถสนใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้ในขณะนี้ พลังอันน่าสะพรึงกลัวของเฉินซีได้ทำให้พวกมันหมดปัญญาจะต้านมาตั้งนานแล้ว กอปรกับประสบการณ์ที่พวกมันได้รับจากการต่อสู้มาหลายปี ทำให้พวกมันแทบจะหนีไปให้ไกลโดยสัญชาตญาณ
ฟุ่บ!
แสงเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทันที ปราณกระบี่ที่แหลมคมอย่างยิ่งได้นำพาพลังแห่งฟ้าดินพุ่งออกไป มันฟันผ่านความว่างเปล่าและพุ่งเข้าใส่อสูรทั้งสี่ตน!