บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 599 จิตต่อสู้อันลุกโชน
บทที่ 599 จิตต่อสู้อันลุกโชน
ชายหนุ่มผมสีแดงเข้มมีรูปร่างกำยำ ผิวขาวดุจหิมะ มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ความหยิ่งยโสและเอาแต่ใจที่ดูจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับเขา ทำให้เขาดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
เขาคือไป๋กังจากตระกูลไป๋ของเทือกเขาหนามม่วง!
ย้อนกลับไปที่ราชวงศ์ซ่งเมื่อหลายปีก่อน
พระราชวังข่ายดาราซึ่งเป็นหนึ่งในแปดกองกำลังของเมืองทะเลสาบมังกรของดินแดนทางใต้ ได้จับตัวซีซีผู้เป็นลูกสาวของไป๋หว่านฉิง และทำให้ไป๋หว่านฉิงขุ่นเคือง ซึ่งในท้ายที่สุด มันก็ทำให้นิกายของพวกเขาถูกทำลาย
ส่วนผู้ที่ลงมือในวันนั้นก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มีนามว่าไป๋เถิงและอีกคนก็คือไป๋กัง
เฉินซียังจำได้ว่า ในเวลานั้น พระราชวังข่ายดาราได้เปิดใช้ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารา โดยตั้งใจที่จะทำลายล้างไป๋หว่านฉิง ไป๋เถิง และไป๋กัง แต่ในที่สุด ไป๋เถิงได้นำสมบัติอมตะออกมาและสามารถพลิกสถานการณ์ได้โดยสิ้นเชิง ทำให้พระราชวังข่ายดาราถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น ด้วยเหตุนี้ พลังของเขาจึงไม่มีใครเทียบได้และน่าเกรงขามยิ่ง
นอกจากนี้ วันนั้นยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีลงมือ และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสมบัติอมตะอย่างแท้จริง ทำให้มันทิ้งความประทับใจลึกล้ำไว้ในใจของเขา ดังนั้นเขาจะลืมชายหนุ่มผมแดงคนนี้ที่อยู่เคียงข้างไป๋เถิงในวันนั้นไปได้อย่างไร?
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหลายปี เขาได้พัฒนาจากเด็กหนุ่มผู้อ่อนประสบการณ์ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลไปสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์และเป็นศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในปัจจุบัน เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไป๋กังอีกครั้งในขณะนี้ เฉินซีก็รู้สึกเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้และมันยังชัดเจนอยู่ในจิตใจของเขา
“นายท่าน เขาคือศิษย์ของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง ซึ่งเพิ่งมาถึงยอดเขาจรัสตะวันตกเมื่อวานนี้ โดยบอกว่าตนเองเป็นสหายเก่าของท่าน และมีเรื่องบางอย่างที่จะคุยกับท่าน” มู่ขุยอธิบายผ่านการกระแสปราณจากด้านข้าง
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซีตอบกลับ ในขณะที่รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวกับไป๋กังที่อยู่ห่างออกไปว่า “พี่ไป๋ ไม่พบกันเสียนานเลย”
เมื่อเห็นเฉินซีจำชายหนุ่มคนนี้ได้ หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพวกเขาก็จากไปพร้อมกับชิงอวี่ เพราะพวกเขาต่างรู้เป็นอย่างดีว่า ชายคนนี้มาด้วยความตั้งใจที่จะพูดคุยบางอย่างกับเฉินซี จึงไม่เหมาะสำหรับพวกตนที่จะรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป
“หากกล่าวด้วยความสัตย์จริงแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ศิษย์ของราชวงศ์ซ่งเช่นเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นในสมรภูมิบรรพกาล และเข้าร่วมนิกายนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจนกลายเป็นศิษย์ชั้นสูงได้” หลังจากที่ทุกคนจากไป ไป๋กังก็จ้องไปที่เฉินซีอยู่ชั่วครู่ และกล่าวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเสริมอีกว่า “ข้ายังจำได้ว่า ตอนที่เห็นเจ้าครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เจ้ายังอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถูกต้อง”
“ไม่แปลกใจเลยที่น้าเล็กจะเอ็นดูเจ้ามาก ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่เจ้ากลับบรรลุไปสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะมีแดนฮุ่นตุ้นและบรรลุขอบเขตสถิตกายา พรสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากเสียจริง ๆ” ไป๋กังกล่าว ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ที่ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ เพราะได้รับมอบหมายจากน้าเล็ก ให้นำของบางสิ่งมาให้แก่เจ้า”
ขณะที่กล่าว แผ่นหยกก็ปรากฏขึ้นในมือของไป๋กัง
เฉินซีตะลึงงัน และความตื่นเต้นก็พรั่งพรูอยู่ในหัวใจของเขา
ส่วนน้าเล็กที่ไป๋กังกล่าวถึงนั้น ย่อมคือไป๋หว่านฉิง
เป็นเพราะไป๋หว่านฉิงที่ทำให้เฉินซีเดินทางเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล โดยไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบากและมาถึงแดนภวังค์ทมิฬ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อพบกับไป๋หว่านฉิง และรับเบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบิดามารดาของเขา
การที่บิดามารดาของเขาหายสาบสูญไปเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของชายหนุ่มมานานแล้ว ซึ่งการทดสอบและความยากลำบากหรือแม้แต่การต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาได้ประสบจนมาถึงที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อการค้นหาที่อยู่บิดามารดาของเขา!
และนี่ไม่ใช่สิ่งที่ติดค้างเฉพาะเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ติดค้างสำหรับน้องชายเขาและเป็นสิ่งที่ท่านปู่ของเขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ก่อนที่จะจากไป!
“หากเจ้าอยากได้แผ่นหยกนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะสมควรได้รับมันหรือไม่” จู่ ๆ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมา และในขณะที่กล่าว ดวงตาของเขาพลันส่องประกายด้วยจิตต่อสู้อันลุกโชน “มาเถอะ แผ่นหยกนี้จะเป็นของเจ้า ตราบเท่าที่พลังของเจ้าสามารถสนองให้แก่ข้าได้ แต่ถ้าพ่ายแพ้ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะรู้เนื้อหาของแผ่นหยกนี้ ดังนั้นเจ้าควรอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างเชื่อฟังและทุ่มเทบ่มเพาะให้ดีที่สุด!”
“นี่คือการทดสอบหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง” ไป๋กังพยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านน้าเล็กต้องถูกผลักไสและตำหนิไปมากมายแค่ไหน หลังจากที่นางกลับมาที่ตระกูลเพราะเจ้า? ทุกสิ่งที่นางทำลงไปก็เพียงเพื่อเจ้า! ถ้าเจ้าไม่มีพลังเลยแม้แต่น้อย แล้วเจ้ามีสิทธิ์ใดจึงจะได้รับแผ่นหยกนี้กัน?”
น้ำเสียงของเขามีร่องรอยของความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้ และดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดจากสถานการณ์ที่ไป๋หว่านฉิงกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ราวกับเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมและไม่คุ้มค่า…
เฉินซีสามารถรับรู้สิ่งนี้ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ลังเลและกล่าวว่า “ตกลง ข้ายอมรับ!”
ครืนน!
ในช่วงเวลาต่อมา พลังชีวิตในร่างกายทั้งหมดของชายหนุ่มก็พุ่งขึ้นราวกับกระแสน้ำ ในขณะที่จิตต่อสู้ก็พลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเหมือนกับหินหลอมเหลวที่ลุกโชนไปทั่วร่างกายของเขา และมันกระตุ้นจนถึงจุดที่จิตใจเกิดสมาธิในระดับที่ไม่มีใครเทียบได้
ในขณะนี้ เขาโหยหาการต่อสู้ และเขาจะทุ่มทุกสิ่งที่มีออกไปให้หมด!
“เยี่ยมมาก!” เมื่อเห็นจิตต่อสู้ของเฉินซี ดวงตาของไป๋กังพลันเป็นประกายและเขาก็คำรามด้วยเสียงหัวเราะ “ตอนนี้ข้าได้บรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้ว แต่ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ในระหว่างที่ต่อสู้กับเจ้า ตราบใดที่เจ้าสามารถต้านทานกระบวนท่าของข้าได้ร้อยกระบวนท่า ข้าไม่เพียงแต่จะมอบแผ่นหยกให้แก่เจ้าเท่านั้น เมื่อเจ้ามาที่ตระกูลไป๋ในอนาคต ข้าจะอ้าแขนต้อนรับเจ้าอย่างแน่นอน!”
ในขณะที่ไป๋กังกล่าว จิตต่อสู้ของเขาก็ลุกโชน ในขณะที่ผมสีแดงเข้มของเขาปลิวไสวราวกับเปลวเพลิง และแผ่กลิ่นอายแห่งผู้ยิ่งใหญ่ที่สง่าผ่าเผยออกมา!
ฟุ่บ!
ในช่วงเวลาถัดมา ทั้งคู่พลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะทั้งคู่ต่างรู้ว่าเมื่อพวกเขาต่อสู้ มันจะต้องส่งผลกระทบต่อยอดเขาจรัสตะวันตกอย่างแน่นอน
“เข้ามาเลย! ให้ข้าดูว่าความสามารถของเจ้านั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน!” ไป๋กังตะโกนเสียงดัง พร้อมกับพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและเอาแต่ใจ จากนั้นเขาก็ยกหมัดขึ้นและฟาดออกไป หมัดของเขามีกลิ่นอายที่รุนแรงและดังก้องพร้อมกับเต๋ารู้แจ้ง ในขณะที่มันซัดไปทางเฉินซี
การโจมตีในครั้งนี้รุนแรงเกินไป มันบดขยี้ความว่างเปล่า สลายชั้นเมฆ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทาน เพราะแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาก็ไม่กล้าที่จะต้านทาน!
เฉินซีตกใจมาก ไป๋กังผู้นี้ควรค่าแก่การเป็นศิษย์ของตระกูลไป๋ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยั้งมือไว้และกำลังใช้ความแข็งแกร่งที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ แต่ถ้าระเบิดพลังที่แท้จริงออกมา พลังของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงใด?
ตู้ม!
แต่เฉินซีก็ไม่ได้เกรงกลัว เขายกฝ่ามือขึ้นฟาดมันออกไปและรับมันโดยตรง!
เขาใช้ความลึกล้ำที่อยู่ในสัจธรรมสวรรค์ มันเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อนแต่กลับยิ่งใหญ่ การโจมตีด้วยฝ่ามือเพียงครั้งเดียวนั้น เหมือนดั่งคลื่นยักษ์จำนวนมหาศาลที่พุ่งออกไป และพลังฝ่ามือก็ซ้อนทับกัน ทำให้พลังทำลายของมันพุ่งขึ้นสูงและต่อเนื่อง
หมัดและฝ่ามือปะทะกัน ทำให้เกิดระเบิดคลื่นแสงที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ชนิดที่ว่าท้องฟ้าทั้งหมดดูราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่นั่น และมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่แสงอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ร่างทั้งสองแยกออกจากกัน ในขณะที่ทั้งคู่ก็ถอยหลังกลับไปสามก้าวที่กลางอากาศ และทุกย่างก้าวของพวกเขาทำให้เกิดรอยแยกและคลื่นแผ่ขยายออกไปในท้องฟ้า
นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างแน่นอน ทั้งคู่ต่างทุ่มพลังในกระบวนท่าและต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังทำลายล้างที่น่าตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่สูงเสียดฟ้า ภูเขาที่อยู่ในระยะนับพันลี้ก็คงจะพังทลายไปหมดแล้ว
ทั้งคู่เสมอกันในการปะทะกันครั้งนี้!
“ไม่เลว เจ้าเริ่มเข้าใจศาสตร์เต๋าแล้วจริง ๆ แต่ความแข็งแกร่งเท่านี้ยังไม่เพียงพอหรอก!” ไป๋กังระเบิดเสียงหัวเราะ ในขณะที่ผมสีแดงของเขาปลิวไสว ตัวคนพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง เขากำมือแน่นเป็นหมัดซึ่งระเบิดแสงสีม่วงที่ลุกโชน ก่อนที่จะทุบหมัดลงไป
เฉินซีขยับตัวเพื่อเตรียมรับการโจมตีนี้ เขาไม่ได้ถอยกลับ แต่กลับเดินหน้าแทน ในขณะเดียวกันเขาก็เหวี่ยงหมัดที่โหมกระหน่ำด้วยลมแรงและเข้าสู่การต่อสู้ที่รุนแรงกับไป๋กัง
ครืนนนน!
สูงขึ้นไปในท้องฟ้า คลื่นพลังทำลายล้างที่เหมือนกับภูเขาถล่มและคลื่นยักษ์ได้ปะทุขึ้น ในขณะที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กัน และพวกเขาต่อสู้กันจนถึงจุดที่โลกทั้งใบแทบถูกพลิกคว่ำ แสงที่เจิดจ้าและพร่างพรายได้ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ทุกสิ่งถูกบดบัง
ยิ่งต่อสู้มากเท่าไร เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกยินดีในใจ มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขและพึงพอใจที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเหมือนกับการร่ำสุรากับสหายที่รู้ใจ แม้ดื่มถึงพันจอกก็มิเมามาย ยิ่งกว่านั้น มีเพียงคู่ต่อสู้อย่างไป๋กังเท่านั้นที่สามารถจุดประกายจิตต่อสู้ของเขาให้พลุ่งพล่านได้อย่างสมบูรณ์
ตู้ม!
ในช่วงเวลาต่อมา ท่าทางของเฉินซีก็เปลี่ยนไปและเขาก็ลืมตัวเองไปเสียสนิท ราวกับว่าชายหนุ่มได้กลับไปยังสมรภูมิบรรพกาลและเข่นฆ่าอยู่ท่ามกลางกองทัพมรณะ ความคิดและเจตจำนงทั้งหมดของเขาได้กลายเป็นคำหนึ่งคำอย่างสมบูรณ์ ซึ่งคือคำว่า ‘สู้!’
เหมือนกับที่เจ้าหม้อใบจิ๋วกล่าวไว้ในวันนั้น มีเพียงการผสมผสานเข้ากับการต่อสู้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจแก่นแท้ของการต่อสู้ได้
ในขณะนี้ เฉินซีดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อการต่อสู้และเย้ยหยันโลกได้ก็เพราะการต่อสู้
ทุกกระบวนท่าของเขาในตอนนี้พรั่งพรูออกมาด้วยศาสตร์เต๋าต่าง ๆ ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดา มันชักนำปราณวิญญาณที่อยู่ในฟ้าดิน ซึ่งเขย่าโลกทั้งใบและนำความโกลาหลมาสู่หยินและหยางของโลก
เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภา ศาสตร์เต๋ามหากักขัง ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ ร่างแปลงเก้าวิญญาณ ม่านพลังเงาทองดอกบัวม่วง… ศาสตร์เต๋าขั้นสุดยอดจำนวนมากที่ได้รับมาจากดินแดนเร้นลับที่อยู่ด้านบนสุดของแท่นดอกบัว ถูกเฉินซีใช้ออกไปอย่างต่อเนื่อง และพวกมันก็ส่องประกายระยิบระยับ ในขณะที่ทำลายพันธนาการของโลก หมุนเวียนธาตุทั้งห้าไปรอบ ๆ และเต็มไปด้วยลึกล้ำที่ไม่มีใครเทียบได้
ในช่วงเวลากว่าหนึ่งปี เฉินซีได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์เต๋าอยู่ในโลกแห่งดารา เขาได้เข้าใจในศาสตร์เต๋าที่ลึกล้ำทั้งสี่สิบเก้า และขาดเพียงการขัดเกลาก่อนบรรลุเท่านั้น!
ศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าวิชานี้มีพลังที่สามารถสะท้านฟ้าดินและทำให้ทะเลลุกเป็นไฟ หากเป็นผู้บ่มเพาะคนอื่น การสามารถเข้าใจในศาสตร์เต๋าใดสักวิชาหนึ่ง ก็เพียงพอที่ทำให้ผู้บ่มเพาะคนนั้นสามารถท่องไปได้อย่างอิสระและมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก
ซึ่ง ณ ตอนนี้ เฉินซีได้เข้าใจพวกมันทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว และถ้าข่าวเกี่ยวกับความสามารถที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างมาก และทำให้เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสามภพ!
ส่วนเหตุผลที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็เป็นเพราะสัจธรรมสวรรค์
ของสิ่งนี้ได้บันทึกความลึกล้ำของมรดกศาสตร์เต๋าทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเหล่านั้นก็ล้วนเกิดจากความลึกล้ำของมัน
เฉินซีเฝ้าทำความเข้าใจมันทั้งวันทั้งคืน เมื่อรวมภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุคบรรพกาล ซึ่งถูกประทับไว้ในสัจธรรมสวรรค์ การเข้าใจศาสตร์เต๋าที่อยู่ภายในนั้นจึงราบรื่นเป็นอย่างมากและประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะเข้าใจมันแล้ว แต่การจะเชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งหมดนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน มันต้องขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะแสดงพลังของศาสตร์เต๋าแต่ละอย่างให้ครบสมบูรณ์
โดยในขณะนี้ การต่อสู้ระหว่างเขากับไป๋กังก็นับเป็นโอกาสอันดี ด้วยมันจะขัดเกลาประสบการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังขัดเกลาศาสตร์เต๋าที่เขาได้เข้าใจอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งทำให้ความรู้และความชำนาญในศาสตร์เต๋าทั้งหมดของเฉินซีได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว!
แต่ชายหนุ่มไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเขาได้ดำดิ่งสู่การต่อสู้อย่างสมบูรณ์ ทำให้จิตต่อสู้ของเขาบรรลุถึงสภาวะสูงสุด จิตใจของเขาก็ปลอดโปร่งและสงบอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
มันเหมือนกับสภาวะของการรู้แจ้งเต๋า มันเป็นการขัดเกลาในศาสตร์เต๋า และเป็นทำความเข้าใจในแก่นแท้ของการต่อสู้
…ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ปราณแท้ภายในร่างกายของเฉินซีก็ได้ถูกใช้จนหมด
ครืนนน!
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะถูกบังคับให้หยุดโจมตีเพราะสาเหตุนี้ จู่ ๆ ปราณวิญญาณที่พลุ่งพล่านและบริสุทธิ์ก็พรั่งพรูออกมาจากทั่วฟ้าดิน ซึ่งพวกมันก็ได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาดั่งสายน้ำและเติมเต็มปราณแท้ของชายหนุ่มในทันที
โดยตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจังหวะการต่อสู้ของเฉินซีเลยแม้แต่น้อย!
“หืม? แท้จริงแล้วเขาได้เข้าสู่สภาวะของการรู้แจ้งเต๋าในระหว่างที่อยู่ในการต่อสู้ และเขาได้เปลี่ยนปราณวิญญาณของฟ้าดินให้เป็นประโยชน์กับตัวเขา? พรสวรรค์ของเขานั้นสูงมากจนถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยเชียว!”
ห่างออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาจากยอดเขาจรัสตะวันตก
มีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากยืนอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งก็คือประมุขนิกายเวินหัวถิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ พวกเขาต่างตื่นตระหนกกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและรีบรุดมาดู ทำให้พวกเขาพบว่า เฉินซีได้เข้าสู่สภาวะของการรู้แจ้งเต๋าในระหว่างที่อยู่ในการต่อสู้!