บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 60 รอไปอีกหนึ่งหมื่นปี
บทที่ 60 รอไปอีกหนึ่งหมื่นปี
ฟู่!
เฉินซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อเขายืนยันได้ว่าตัวเองออกห่างจากระยะที่ญาณสัมผัสของทุกคนจะสามารถตรวจพบเขาได้ และตอนนี้เขารู้เพียงว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
อันที่จริงสถานการณ์เมื่อครู่นี้เฉินซีรู้สึกสิ้นหวังอย่างมากเมื่อเผชิญกับการถูกล้อมจากทั้งสองกลุ่ม ช่างโชคดีจริง ๆ ที่เขาสามารถหลบหนีมาได้อย่างปลอดภัย
มีเหตุผลสองประการสำหรับความสำเร็จเรื่องนี้
ประการแรก หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดในห้องโถงตำรา กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนและซูเจียวก็อยู่ในสภาพที่อ่อนล้าไปแล้ว ในขณะที่เฉินซีสามารถฆ่าหลี่ไฮว่ซึ่งอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ประการที่สอง กลุ่มของไฉ่เล่อเทียนและกลุ่มของซูเจียวต่างก็สงสัยและหวาดระแวงซึ่งกันและกัน พวกเขากังวลว่าอีกกลุ่มหนึ่งจะฉวยโอกาสครองประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวในตอนท้าย
แน่นอนว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แต่สองประเด็นนี้เป็นสาเหตุหลักที่เฉินซีสามารถจากมาได้อย่างง่ายดาย
เฉินซีไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกต่อไป และเริ่มวิ่งเต็มฝีเท้าออกไปให้ห่างมากที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของกลุ่มไฉ่เล่อเทียนและซูเจียวจะฟื้นตัวขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ซ่อนตัวเองในที่ปลอดภัยได้ละก็ สถานการณ์จะกลายเป็นอันตรายต่อตัวเขา
ดินแดนรกร้างใต้พิภพถูกแยกออกจากส่วนอื่น ๆ ของโลกซึ่งพวกเขาต้องไปอีกสามปีจนกว่าจะออกไปได้
อาจกล่าวได้ว่าหากเฉินซีต้องการหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของไฉ่เล่อเทียนและคนอื่น ๆ เป็นเวลาสามปี เขาจะต้องหาสถานที่ที่ไม่มีใครสามารถค้นพบได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีรู้สึกหมดหนทาง ไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถหาที่ซ่อนตัวเองได้ แต่เขายังไม่มีทางที่จะออกจากที่พำนักของเซียนกระบี่แห่งนี้ด้วย
‘ตอนเข้ามาในที่พำนักของเซียนกระบี่ ข้าอาศัยตราคำสั่งใต้พิภพเปิดประตูเคลื่อนย้ายพาเข้ามาในที่แห่งนี้ แต่การจากไปล่ะ?’
‘ไม่มีช่องทางใดจากที่พำนักของเซียนกระบี่ที่นำไปสู่โลกภายนอก!’
เฉินซีได้ดูแผนผังโครงสร้างที่พำนักของเซียนกระบี่ทั้งหมดแล้วจากห้องโถงหลักก่อนหน้านี้ จึงทำให้เขามั่นใจว่าที่นี่ไม่มีทางออกเลย
เฉินซีครุ่นคิดและไตร่ตรอง และฝีเท้าของเขาก็นำไปที่ห้องโถงหลักโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่เขาถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในที่พำนักของเซียนกระบี่ ห้องโถงหลักคือสถานที่ที่เขาปรากฏกาย เขาจึงคิดจะยึดเอาที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อนของตนเอง
ไม่นานหลังจากนั้นเฉินซีก็กลับไปถึงห้องโถงหลักอีกครั้ง
ขณะที่เขาจ้องมองเตียงหยกและโต๊ะทำงานภายในห้องที่เรียบง่าย เฉินซีก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงและหลับตาลง
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันนับตั้งแต่เข้ามายังที่พำนักของเซียนกระบี่ แต่สำหรับเฉินซีทุกช่วงเวลาช่างน่าทึ่งอย่างยิ่ง
แสวงหาสมบัติ ปลุกปั่นการต่อสู้ ฆ่าหลี่ไฮว่ เก็บผลดอกบัวดวงจิตทองคำ หลบหนีจากวงล้อมศัตรู… เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ แต่ละครั้งอันตรายยิ่งกว่าเดิม มันเหมือนกับการเต้นรำบนขอบเหวลึกซึ่งการเคลื่อนไหวผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจะทำให้เขาตายอย่างน่าอนาถ
ค่อย ๆ…
ปราณวิญญาณที่ทั้งเย็นและสดชื่นหลั่งไหลออกมาจากเตียงหยกทำให้จิตใจของเฉินซีสงบลงและปราศจากความคิดที่ทำให้เสียสมาธิ
ภายในทะเลจิตสำนึกของเขา รูปปั้นฝูซีที่มีรัศมีอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่เปล่งประกายด้วยแสงหลากสีสวยงามนับไม่ถ้วน และวิญญาณของเฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ต่อหน้ารูปปั้นดวยท่าทางอันสงบนิ่ง
ประสาทสัมผัสที่ตึงเครียดของเฉินซีสงบลง จิตใจและความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย ทว่าเขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเงาสีดำที่เหมือนหมอกปรากฏขึ้นใต้ก้นของเขา
วูบ!
ร่างกายของเฉินซีแข็งค้าง เขารู้สึกราวกับว่ามีสิ่งแปลกปลอมล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายของเขา ไอ้สิ่งแปลกปลอมนั้นพุ่งเข้าไปในทะเลจิตสำนึกของเขาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึงมาก!
เกิดอะไรขึ้น!?
เฉินซีรีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นจู่ ๆ มีเสียง ‘โอม’ ดังก้องอยู่ในใจของเขา จากนั้นเสียงที่แหลมคมและแหบแห้งก็ดังก้องขึ้นในหัว
“หึ ๆๆ… ข้ารอมาหมื่นปีแล้ว ในที่สุดข้าตงหมิงก็มีโอกาสได้ครอบครองร่างกายที่ยอดเยี่ยมที่สุดสักที! สวรรค์ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย!”
พร้อมกับเสียง ร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นภายในทะเลจิตสำนึกของเฉินซีอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของมันนั้นดำมืด เบ้าตาจมลึก แต่ดวงตาของมันกลับยาวและเรียวบางราวกับคมกระบี่อีกทั้งยังสว่างมาก
“ฮ่า ๆๆๆ! ตราบใดที่ข้ามีร่างกายนี้ข้าจะสามารถบ่มเพาะได้อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีลูกปี่เซียะและผลดอกบัวดวงจิตทองคำอยู่ในความครอบครอง ข้าย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถผ่านทัณฑ์แห่งสวรรค์ที่เก้าได้อีกต่อไป!”
ภายในทะเลจิตสำนึก เฉินซีลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและจ้องมองที่ชายชุดดำซึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะตะโกนถามเสียงดัง “ตงหมิง?”
“แน่นอนไอ้เด็กเหลือขอ! ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากได้สมบัติที่เก็บไว้ในบ้านของข้า ดังนั้นเจ้าจึงอาศัยตราคำสั่งใต้พิภพเพื่อเข้ามาใช่ไหม ฮ่า ๆๆ! เลวมาก! หลังจากนี้ข้าจะกลืนกินดวงวิญญาณของเจ้าและร่างกายของเจ้าจะกลายเป็นของข้า!”
อย่างที่คาดไว้ ร่างที่ดูคล้ายกับหมอกดำก็คือตงหมิงเจ้าแห่งที่พำนักเซียนกระบี่แห่งนี้
สีหน้าของเฉินซียังคงไม่สะทกสะท้านขณะที่เขาถามอย่างเย็นชา “ทั้งหมดนี้เป็นกับดักที่เจ้าคิดไว้ล่วงหน้าหรือไม่?”
“แน่นอน! เจ้าคิดว่าข้าทิ้งมรดกอมตะนี้ไว้เบื้องหลังและส่งตราคำสั่งใต้พิภพของข้าไปยังโลกภายนอกเพื่อเห็นแก่พวกเจ้าทุกคนให้มาแบ่งสมบัติของข้าหรือไร?”
ตงหมิงจ้องมองที่เฉินซีด้วยสายตาเย้ยหยันและความโลภลุกโชนออกจากดวงตาของเขา “เจ้าหนูจงยอมให้ข้ากลืนกินวิญญาณของเจ้าอย่างเชื่อฟัง การที่ร่างกายของเจ้าถูกข้าครอบงำถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าสมควรจะซาบซึ้ง!”
“ฮึ่ม! แม้ว่าเจ้าจะกลืนกินดวงวิญญาณของข้า การบ่มเพาะของเจ้าก็จะอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น เจ้าจะออกจากที่นี่ไปได้อย่างไร ศัตรูจำนวนมากที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฆ่าข้าต่างรวมตัวกันอยู่ข้างนอก!” เฉินซีพูดเสียงดัง
“เจ้าหนู เลิกใช้อุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าเสีย เจ้าแค่อยากรู้ว่าจะออกจากบ้านของข้าได้อย่างไรต่างหาก”
ตงหมิงมองเฉินซีด้วยความรังเกียจและเยาะเย้ย “ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญก็ได้ แต่…”
ขณะที่เขาพูดขึ้นที่นี่ เจตนาฆ่าเผยออกจากดวงตาของตงหมิง จากนั้นเขาพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกบอลหมอกสีดำเข้าห่อหุ้มร่างของชายหนุ่ม
“แต่ข้าจะบอกเจ้าหลังจากที่ข้ากินวิญญาณของเจ้าแล้ว! ฮ่า ๆๆๆ!” เมื่อเห็นเฉินซีที่ไม่กล้าขยับ ตงหมิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกข้าก็ตายซะ!” เมื่อตงหมิงกลายร่างเป็นหมอกดำปกคลุมร่างของเฉินซี ชายหนุ่มเผยแววตาอันเย็นชาสุดขีดก่อนจะเปล่งแสงเย็นยะเยือกออกจากดวงตาของเขาอย่างกะทันหัน
โอม!
เสียงสวดมนต์ที่เย็นเยียบซึ่งดูเหมือนจะมาจากสมัยโบราณดังก้องอยู่ในทะเลจิตสำนึกของเฉินซี จากนั้นร่างขนาดมหึมาของชายชราร่างผอมบางก็ปรากฏขึ้น ชายชราสวมชุดผ้าป่านด้วยเท้าเปล่าและนั่งขัดสมาธิกลางอากาศเช่นนั้น ดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่มีวันสึกกร่อนได้แม้จะผ่านกาลเวลาไปนับไม่ถ้วน ดวงตาของชายชราลึกล้ำและยิ่งใหญ่ รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นห่อหุ้มร่างกายของเขา ในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ชายชราทำให้ทะเลจิตสำนึกของเฉินซีสว่างไสวเจิดจ้า
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
ร่างหมอกดำของตงหมิงเมื่อถูกแสงอันเจิดจ้านี้จากรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีอาบไล้ มันก็ค่อย ๆ สลายไปทีละนิดด้วยความเร็วที่สังเกตได้
“อ๊าก! เป็นไปได้อย่างไร! เจ้ามีพลังของผู้ยิ่งใหญ่จากยุคบรรพกาลสถิตอยู่ในร่างได้อย่างไร!?” เสียงของตงหมิงเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขณะที่เขากรีดร้องอย่างน่าสังเวช
“ไม่!!!!”
อึดใจถัดมา ร่างหมอกสีดำของตงหมิงก็สลายหายไปในความว่างเปล่า เสียงร้องโหยหวนก่อนตายของเขายังคงอยู่ในทะเลจิตสำนึกของเฉินซี
เฉินซีถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่เขาแน่ใจว่าตงหมิงหรือก็คือเซียนกระบี่นั้นตายไปแล้วอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าสิ่งที่เขาเผชิญก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของดวงวิญญาณของตงหมิง แต่เฉินซีก็ยังรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง เนื่องด้วยช่องว่างของการบ่มเพาะ ซึ่งมันแทบทำให้เขาเกือบจะยอมจำนนไปซะแล้ว
‘โชคดีที่ข้ามีตราประทับกายาอันแท้จริงของผู้อาวุโสฝูซีที่ทิ้งไว้ เห็นได้ชัดว่าข้าเดิมพันถูกต้องในครั้งนี้ มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าการหนีจากภัยพิบัติเมื่อครู่จะเป็นเรื่องยากเกินไป’
เฉินซียังคงมีความกลัวตกค้างอยู่ในใจขณะที่เขาคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ และเขาก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากเมื่อมองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีในทะเลจิตสำนึกของเขาที่ยังคงเหมือนเดิมชั่วนิรันดร์
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าร้องจากสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นและห้องโถงหลักทั้งหมดพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับมีแผ่นดินไหว
หรือว่าห้องโถงหลักนี้กำลังจะถล่มเหมือนห้องโถงสมุนไพรร้อยแปด?
เฉินซีรีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเขาวิ่งออกห่างจากโถงหลักแล้วการสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับแผ่นดินไหวก็ยังคงรุนแรงอยู่เหมือนเดิม
ห้องโถงสมบัติ ห้องโถงตำรา… โครงสร้างทั้งหมดภายในที่พำนักของเซียนกระบี่เป็นเหมือนภูเขาไฟที่หลับสนิทเป็นเวลานับพันปี แต่ตอนนี้พวกมันได้ตื่นขึ้นและกำลังปะทุ!
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“หนีเร็ว! ที่พำนักเซียนกระบี่แห่งนี้กำลังพัง!”
“รีบหนีเร็ว!”
ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของไฉ่เล่อเทียนหรือกลุ่มของซูเจียว ใบหน้าของพวกเขาล้วนซีดเผือด พวกเขาไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและบินทะยานหาทางหนีด้วยความตื่นตระหนก
ด้านนอกที่พำนักของเซียนกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด ภูเขานองเลือด แนวเทือกเขาเปลวเพลิงสีชาด และอื่น ๆ… ราวกับถูกตบด้วยหัตถ์ของเทพสวรรค์ มันบังเกิดรอยแยกมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนที่น่ากลัวแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างใต้พิภพทั้งหมด
เหล่าอสูรปีศาจวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ทั้ง ๆ ที่พวกมันไม่มีสติปัญญาแม้แต่น้อย แต่กลับวิ่งหนีเพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอด อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะวิ่งไปที่ใด ท้ายที่สุดพวกมันก็ถูกกลืนกินโดยรอยแยกขนาดมหึมา
ครืน! ครืน!
พื้นที่โดยรอบดูเหมือนจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันเช่นนี้ได้และแตกออกเป็นรอยแยกสีดำสนิทจำนวนมาก ทันทีที่เศษหินและก้อนหินตกลงไปในรอยแยกที่ดำสนิท พวกมันก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลานี้ ราวกับว่าวันโลกาวินาศได้มาถึงดินแดนรกร้างใต้พิภพแล้ว พื้นดินสั่นสะเทือนและแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับว่าหลังจากนี้ดินแดนนี้จะไม่มีอยู่อีกต่อไป!
…
“หืม!” ลึกเข้าไปในเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ ชายหนุ่มรูปงามสวมชุดสีม่วงยืนอยู่บนหน้าผา เขามองไปยังทิศทางที่ดินแดนรกร้างใต้พิภพตั้งอยู่
“น่าสนใจ ดินแดนรกร้างใต้พิภพกำลังจะถูกทำลาย?”
การจ้องมองของชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะสามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้ ซึ่งทำให้เขาได้เห็นฉากที่คนธรรมดามองไม่อาจเห็น
“โอ้ ยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่ออกมาด้วยหรือ? อืม… ข้าได้สังหารชีวิตไปมากมายเกินไปแล้วในช่วงสองสามวันนี้ แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน แต่ตาเฒ่าจะต้องดุข้าอย่างหนักแน่ถ้าเขารู้ เอาล่ะ งั้นข้าจะขอทำความดีเพื่อลบล้างความผิดสักหน่อยจะดีกว่า…”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงลูบคางและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปคว้าบริเวณซึ่งดินแดนรกร้างใต้พิภพตั้งอยู่