บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 620 แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุ
บทที่ 620 แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุ
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก ก่อนถึงสระชำระกระบี่
หั่วโม่เลยถือกล่องหยกอย่างระมัดระวัง ดวงตาคู่นั้นกวาดมองบรรดาศิษย์น้องหญิงชายที่อยู่โดยรอบก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าคนใดมีวัตถุซึ่งเชื่อมต่อกับธาตุทั้งห้าอยู่กับตัว รีบนำมันออกไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้น หากแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุปรากฏขึ้น ของพวกนั้นจะสลายเป็นเศษเสี้ยว!”
แกร๊ง! กรึ้ง!
ศิษย์พี่รองหลูเซิงรีบเก็บกู่ฉินซึ่งทำจากไม้เพาถงอายุกว่าพันปีไป ในขณะที่ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อเร่งมือใส่กระดานหมากล้อมที่ทำจากโลหะสีน้ำเงินเข้มพร้อมทั้งเม็ดหมากจากไม้เนื้อแก้วทั้งสีขาวดำลงในกระเป๋าเก็บของของตนเป็นพัลวัน
อีกด้านหนึ่ง ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ ศิษย์พี่ห้าอาจิ่ว และศิษย์พี่หกชิงอวี่ก็กำลังเก็บแผ่นหินซึ่งมีจารึกโบราณปรากฏอยู่ด้านบน พร้อมทั้งเก็บหมึกสีแดงชาดที่ใช้สำหรับวาดภาพ และหุ่นเชิดขนาดเท่าฝ่ามือในมือของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
เฉินซีสำรวจตามร่างกายของตนเช่นกันทันทีที่การกระทำเบื้องหน้าปรากฏยังสายตา เมื่อเห็นว่าตนไม่ได้นำสิ่งใดที่มีคุณสมบัติของธาตุทั้งห้าติดตัวมาก็กล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ตอนนี้เชิญท่านนำแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุออกมาได้เลย”
หั่วโม่เลยพยักหน้า เขาโบกมือไล่ทุกคนให้ถอยห่างออกไป ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ และปลดผนึกซึ่งมีความซับซ้อนและลึกล้ำออก
แครก!
ทันทีที่กล่องหยกถูกเปิดออก กระแสพลังผันผวนก็แผ่ขยายออกไปโดยรอบดังวังน้ำวน มันปั่นป่วนรุนแรง มืดมน และเต็มไปด้วยความลึกลับ… ประหนึ่งว่าพลังของมันพร้อมจะบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ทำให้แก่นแท้ภายในร่างกายสั่นไหว แม้แต่เลือดก็ไหลเวียนกลับทิศทาง เมื่อมองจากระยะไกลก็เห็นแต่เพียงภาพที่ชวนสับสน
ฟึ่บ!
ท่ามกลางความปั่นป่วนราวพายุคลั่งนี้ เส้นใยซึ่งเปล่งแสงสีเทาขุ่นเส้นหนึ่งได้ลอยขึ้นกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว ทำให้เกิดลอนคลื่นรูปวงกลมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระลอกแล้วระลอกเล่า กระจายอยู่บนผืนฟ้าและเริ่มขยายตัวออกไปยังบริเวณโดยรอบ ส่งผลให้พลังงานของธาตุทั้งห้าที่ล่องลอยอยู่ในฟ้าดินถูกทำลายจนหมด ก่อนจะสูญสลายไปในความว่างเปล่าด้วยกระแสพลังที่ผันผวนนี้
ประกายแสงสีเทานี้เป็นดั่งเปลวไฟดวงเล็กที่ลุกโชนแผ่รังสีออกไปประมาณสิบชุ่น รูปร่างของมันเรียวยาวดั่งอสรพิษ ในทันทีที่มันปรากฏกาย หากให้เปรียบก็คงเหมือนแสงสว่างจากเทพเซียนที่มีไอพลังอันน่าสะพรึงกลัว รุนแรงเสียจนนำความหายนะลงมาสู่โลกและทำลายล้างธาตุทั้งห้าในเวลาเพียงครู่!
“นี่คือแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุอย่างนั้นหรือ? ตามตำนานแล้ว บรรพบุรุษของข้าเคยอาศัยอยู่บนภูเขากำราบธาตุและฝึกพลังอิทธิฤทธิ์ชั้นยอดอย่างหนึ่งที่ทำให้โลกในยุคนั้นต้องสั่นสะเทือน คล้ายว่ามันจะชื่อว่าทักษะปีกกำราบผกผัน” ใบหน้าของชิงอวี่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเกินควบคุม เขาพึมพำขึ้นขณะที่จับจ้องไปยังลำแสงสีเทาสลัว “โชคร้ายที่เมื่อนานมาแล้ว ภูเขากำราบธาตุถูกกวาดล้างและหายไปจากแผ่นดิน ในแดนภวังค์ทมิฬนี้คงยากที่หาจะภูเขาลูกอื่นมาทดแทน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีคนจากเผ่าวิหคเพลิงนภาของข้าคนใดที่จะสามารถฝึกฝนพลังอิทธิฤทธิ์นี้ได้อีก…”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาวรณ์ยิ่ง
คนอื่น ๆ เองต่างก็ทอดถอนใจอย่างไม่รู้ตัวเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงรำพันนั่น สิ่งล้ำค่าใดทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า แม้จะยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ล้วนเป็นอนิจจัง เอื่อยไหลไปตามสายธารแห่งเวลาที่ผันแปรไม่สิ้นสุด
แม้แต่ผู้บ่มเพาะซึ่งแสวงหาวิถีเซียนก็ไม่อาจพ้นความจริงข้อนี้ไปได้มิใช่หรือ?
พวกเขาไม่ปรารถนาให้อายุขัยของตนร่วงโรยไปตามกาลเวลา ไม่ปรารถนาให้ร่างกายเสื่อมสลายคืนสู่ดิน และไม่ปรารถนาจะเห็นคนที่รักต้องพรากจาก… ดังนั้นพวกเขาจึงเสาะแสวงเต๋าเพื่อบรรลุวิถีเซียน การได้ใช้ชีวิตข้ามยุคข้ามสมัยกลายเป็นเป้าหมายที่ผู้บ่มเพาะแสวงหาไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ทว่าน่าเสียดายนัก ในสายธารแห่งกาลเวลาอันเป็นอนันต์นี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบรรลุมหาเต๋าและมีชีวิตอมตะ หากให้เปรียบคงเป็นดังการมองหาขนวิหคเพลิงเขากิเลนท่ามกลางสรรพสิ่งบนโลก
“ศิษย์น้องเล็ก สิ่งนี้คือเศษเสี้ยวของแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุซึ่งสกัดมาจากภูเขากำราบธาตุ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ แต่ก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่ง อีกทั้งอานุภาพของมันก็ยอดเยี่ยมพอที่จะใช้สำหรับฝึกวิชาทักษะปีกกำราบผกผันได้อย่างแน่นอน” ผ่านไปครู่หนึ่ง หั่วโม่เลยก็ละทิ้งความคิดที่วนเวียนอยู่ภายในใจ เขาชี้ไปที่แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุขณะที่พูดขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ บุญคุณของท่านครั้งนี้ ศิษย์น้องเล็กเฉินซีจะจดจำไม่ลืมเลือน” เฉินซีประสานหมัดแน่น เขารู้สึกขอบคุณยิ่ง หากไม่ใช่เพราะหั่วโม่เลยช่วยสกัดแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุแล้ว ตัวเขาก็คงจนปัญญาด้วยไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าได้
“จริงสิ ศิษย์น้องเล็ก สิ่งนี้คือตำราของทักษะปีกกำราบผกผัน เจ้ารับไว้เถิด” ชิงอวี่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ตีหน้าผากของตนทีหนึ่งก่อนจะรีบนำแผ่นหยกออกมาให้ชายหนุ่ม แล้วจึงพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์นี้จะเป็นสุดยอดกระบวนท่าของเผ่าวิหคเพลิงนภา ทว่าตั้งแต่โบราณกาลมากลับไม่มีผู้ใดฝึกฝนสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ การที่ข้าเก็บมันไว้กับตัวก็มีแต่จะเปล่าประโยชน์ ยามนี้เจ้ามีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุแล้ว วิชานี้ต้องเหมาะกับเจ้าเป็นแน่ ข้าเชื่อว่ามันคุ้มค่าหากอยู่กับคนเช่นเจ้า”
ดวงตาของชิงอวี่มีเพียงความจริงใจ ไร้ซึ่งร่องรอยทัดทาน ท่าทางนั้นของเขาคล้ายกำลังมอบ ‘ของขวัญ’ ทั่วไปให้แก่เฉินซี หาใช่กำลังมอบสุดยอดเคล็ดวิชาโบราณอันแสนล้ำค่าให้
เฉินซีตระหนักดีว่า ‘ของขวัญ’ ชิ้นนี้ล้ำค่าเพียงใด และรู้ดีว่าการที่ศิษย์พี่ชิงอวี่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ แปลว่าอีกฝ่ายมีน้ำใจ เมตตา และน่าไว้วางใจมากเพียงใด ซึ่งมันก็หัวใจของชายหนุ่มล้นเอ่อไปด้วยความอบอุ่น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุเพียงเส้นเดียวหรือ?” ชายหนุ่มถาม
“ข้ามีเพียงเท่านี้จริง ๆ จริงอยู่ที่ภูเขากำราบธาตุมีขนาดมหึมา แต่แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุนั้นมีน้อยมากและหาได้ยากยิ่ง ข้าเองก็ยังแปลกใจที่มันถูกสกัดออกมาได้มากถึงเพียงนี้” หั่วโม่เลยตอบพลางเกาศีรษะ
“ถ้าเช่นนั้น ท่านช่วยแบ่งแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุออกเป็นสองส่วนได้หรือไม่?” เฉินซีพูดต่อ
“นี่เจ้าคิดที่จะมอบอีกครึ่งหนึ่งให้ศิษย์น้องชิงอวี่หรือ?” ศิษย์พี่ใหญ่พูดขึ้นด้วยเสียงประหลาดใจ
คนอื่น ๆ เองก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าแม้แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุจะมีอยู่เพียงเสี้ยวเล็ก ๆ แต่มันก็ยังเป็นสมบัติอมตะ หลังจากที่ใช้มันบ่มเพาะทักษะปีกกำราบผกผันแล้ว ไม่เพียงแต่จะสามารถเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้หมื่นลี้ภายในพริบตาเท่านั้น แต่เมื่อกระพือปีกเบา ๆ ในระหว่างต่อสู้ มันก็ยังทำให้สมบัติวิเศษซึ่งมีคุณสมบัติธาตุทั้งห้าสูญเสียพลังและแปรสภาพเป็นเศษซาก ดังนั้นหากเทียบให้แง่ของพลังแล้ว มันหาได้ด้อยไปกว่าแสงทิพย์ห้ารัศมีที่ถือเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดแห่งยุคบรรพกาลไม่!
เมื่อเห็นว่าเฉินซีต้องการแบ่งอีกครึ่งหนึ่งให้กับชิงอวี่ พวกเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
“ไม่ได้ ไม่ได้” ชิงอวี่ตกประหม่า ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของเขาแดงระเรื่อขณะที่โบกมือไปมา “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถนัดเรื่องต่อสู้รบรา จึงไม่มีประโยชน์อันใดหากจะมอบให้แก่ข้า ต่อให้ข้าจะมีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุก็ไร้ค่า ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่จะเป็นต้องทำเช่นนี้”
“ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดทำตามคำขอของข้าด้วย” ชายหนุ่มพูดยืนกราน เขาหันกลับไปสบตาชิงอวี่ก่อนจะใช้น้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์พี่หก ท่านต้องนำแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุไป อย่างน้อยก็เห็นแก่ประโยชน์ของคนรุ่นหลังในเผ่าพันธุ์ของท่าน”
เพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ข้าอย่างนั้นหรือ?
ร่างกายของชิงอวี่สะท้านสั่น ร่องรอยความรู้สึกคลุมเครือประทับลงยังใบหน้า ราวกับความทุกข์เข็ญ ความสิ้นไร้ไม้ตอก และความโศกเศร้าได้เริ่มผุดขึ้นจากเบื้องลึกแห่งจิตใจ เขาชะงักงันอยู่หลายอึดใจก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ใช่ ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ข้าก็ยังเป็นคนของเผ่าวิหคเพลิงนภา และมีสายเลือดแห่งวิหคเพลิง…”
ผู้ฟังต่างถอนหายใจยาวเป็นเสียงเดียว พวกเขาสนิทสนมกับชิงอวี่มาก และรู้มานานแล้วว่า แม้ชิงอวี่จะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่หาได้ยากยิ่งในเผ่าวิหคเพลิงนภา แต่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์งดงามจนคล้ายกับคนอ่อนแอ กอปรกับความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ได้ดีมากนัก มันจึงทำให้สถานะของเขาภายในเผ่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ผู้คนในเผ่าพันธุ์เดียวกันต่างมองตัวเขาไม่ต่างจากเศษเดน
ถ้าไม่ใช่เพราะวิปลาสหลิ่ว อาจารย์ของพวกเขาเดินทางผ่านเผ่าวิหคเพลิงนภาขณะเที่ยวท่องไปในโลกและรับชิงอวี่เป็นศิษย์ ป่านนี้ชายหนุ่มก็คงยังอาศัยอยู่ในเผ่าและมีชีวิตไม่ต่างจากของไร้ค่า
“ขอบใจเจ้ามากศิษย์น้องเล็ก!” ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นด้วยนน้ำเสียงหนักแน่น
เฉินซีพยักหน้ารับพร้อมกับแย้มยิ้ม
นับตั้งแต่ที่เดินทางเข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬเพียงลำพัง ในบรรดาผู้คนที่เขาผูกมิตรด้วยทั้งหมด มีเพียงเหล่าศิษย์พี่แห่งภูเขาจรัสตะวันตกเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันและหวงแหนความสัมพันธ์นี้ที่สุด
ดังนั้นการที่เขาได้ทำบางสิ่งให้แก่คนเหล่านี้ มันก็ทำให้ชายหนุ่มมีความสุขไม่น้อย
…
ภายในที่พำนักของเฉินซีบนเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด
ทันทีที่กลับมาจากภูเขาจรัสตะวันตก เฉินซีก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น เขาวางแผ่นหยกที่บันทึกพลังอิทธิฤทธิ์ของทักษะปีกกำราบผกผันไว้เบื้องหน้า แล้วจึงพยายามทำความเข้าใจอย่างแน่วแน่
ทักษะปีกกำราบผกผันเป็นสุดยอดวิชาของเผ่าวิหคเพลิงนภาที่ทำให้ยุคบรรพกาลต้องสั่นสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์นี้อาศัยช่องลมปราณเล็ก ๆ ในร่างกายเป็นฐานกำลัง และหลอมรวมแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุเข้าไปในกายเพื่อสร้างพลังอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่
เมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะทำให้สามารถเคลื่อนที่ผ่านพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลราวหมื่นลี้ได้ในชั่วพริบตา ทั้งยังสามารถเดินทางขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นเก้าและดำดิ่งลงสู่นรกภูมิทั้งเก้าขุมได้ด้วยความเร็วประหนึ่งเดินทางข้ามมิติ
ยิ่งกว่านั้น ทักษะปีกกำราบผกผันนั้นมีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างออกไป เมื่อกระพือปีกแล้ว จะสามารถลบล้างคุณสมบัติแห่งธาตุทั้งห้าของสมบัติวิเศษ และโจมตีไปยังธาตุทั้งห้าโดยตรง
ในช่วงยุคบรรพกาล สัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงนภาสร้างตำนานเล่าขานผ่านพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง พวกเขาลบล้างคุณสมบัติธาตุของสมบัติวิเศษในมือผู้ยิ่งใหญ่มากมายในสามภพ และครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่
ในสามภพนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือความสามารถในการโจมตีของทักษะปีกกำราบผกผันก็ล้วนอยู่ในระดับสูง ซึ่งมากพอที่จะจัดเป็นหนึ่งในสามสิบสุดยอดวิชา!
ความสามารถแบบไหนกันที่จะถูกนับเป็นหนึ่งในสามสิบ?
อย่างไรก็ตาม สามภพนั้นกว้างใหญ่เกินหยั่งคะเน มันบรรจุไว้ด้วยโลกขนาดใหญ่ประมาณสามพันใบ และโลกขนาดเล็กอีกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงรอยแยกระหว่างมิติและดินแดนเร้นลับ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ดังนั้นจำนวนพลังอิทธิ์ฤทธิ์ในสามภพจึงมีมากมายประหนึ่งน้ำในผืนสมุทรและหนาแน่นดั่งสายธารดารา
ดังนั้นการที่ทักษะปีกกำราบผกผันสามารถเป็นหนึ่งในสามสิบของพลังอิทธิฤทธิ์ระดับทองแห่งสามภพได้ ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสุดยอดของมัน
กระนั้น การจะบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์นี้ให้สำเร็จหาใช่เรื่องง่ายดาย นอกจากมันจะต้องใช้แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าลำดับต้น ๆ ในโลกแล้ว ผู้บ่มเพาะยังต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงพอ
ตัวอย่างเช่น วิหคเพลิงนภาซึ่งเป็นตัวตนที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายอันน่าเกรงขาม การบ่มเพาะทักษะปีกกำราบผกพันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมัน ทว่ามนุษย์นั้นต่างออกไป ร่างกายของมนุษย์อ่อนแอกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ โดยธรรมชาติ
แม้ว่าตอนนี้เฉินซีจะบรรลุขอบเขตจุติระดับสมบูรณ์ และมีร่างกายที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ทว่าเขาก็ยังรู้สึกประหวั่นเมื่อเห็นเกณฑ์กำหนดสำหรับการบ่มเพาะทักษะปีกกำราบผกผัน
กระบวนท่าทักษะปีกกำราบผกผันถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดขั้น เพียงแค่ขั้นแรกผู้บ่มเพาะจำต้องมีช่องลมปราณขนาดเล็กจำนวนหมื่นแปดพันช่องภายในร่างกายแล้ว!
อย่างที่ทราบกันดีว่า ผู้บ่มเพาะร่างกายจนถึงขอบเขตจุติจะสามารถสร้างช่องลมปราณขนาดเล็กได้ระดับละสามพันช่อง และเมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุถึงระดับที่เจ็ดของขอบเขตจุติ จะมีช่องลมปราณเพียงสองหมื่นหนึ่งพันช่องเท่านั้นที่เกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ทักษะปีกกำราบผกผันขั้นแรกนั้นจำต้องอาศัยช่องลมปราณถึงหนึ่งหมื่นแปดพันช่องเป็นฐานกำลัง หากถามว่ามันยากเพียงไหนก็อาจตอบได้ว่า ถึงแม้ผู้บ่มเพาะจะอยู่ในขอบเขตจุติ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถฝึกพลังอิทธิฤทธิ์ดังกล่าวได้อย่างเต็มกำลัง!
นี่เป็นเพียงข้อกำหนดพื้นฐานของทักษะปีกกำราบผกผันเท่านั้น
แน่นอนว่าเฉินซีผ่านข้อกำหนดพื้นฐานดังกล่าว เขามีแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุ รวมไปถึงช่องลมปราณจำนวนสองหมื่นหนึ่งพันช่องในร่างกาย ซึ่งไม่เป็นปัญหาใดหากเขาจะบ่มเพาะทักษะปีกผกผันในขั้นแรก
ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่พอใจ ความใคร่รู้ของเขาเริ่มทำงาน ถ้าหากเขาสามารถผสานทักษะปีกกำราบผกผันกับปีกนภาดารกะเข้าด้วยกันได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะสุดยอดมากเพียงใด?
ความเร็วเป็นทวีคูณรึ?
หรือจะเป็นสุดยอดพลังลบล้าง?
เฉินซีวางแผ่นหยกจากมือด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นภายในจิตใจอย่างยากระงับ