บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 630 ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง
บทที่ 630 ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง
อาคารที่เรียกว่าตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ไกลจากตัวเมือง และมันก็เหมือนกับกระบี่สีขาวดุจหิมะที่แทงทะลุท้องฟ้า ที่ทั้งโดดเดี่ยว เย็นชา อีกทั้งยังสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ มีต้นไม้โบราณขนาดมหึมาที่สูงตระหง่านอยู่ภายในหมู่เมฆและอยู่ที่ด้านข้างของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ซึ่งเดิมที ตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็สูงอยู่พอสมควร แต่กลับดูเหมือนว่ามันจะเตี้ยกว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเล็กน้อย
ต้นไม้โบราณต้นนี้ดูเหมือนกับว่าก่อตัวขึ้นจากผลึกน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ และมีน้ำค้างแข็งปกคลุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านหรือใบ ทุกสิ่งดูเหมือนหินหยกน้ำแข็ง ยอดของต้นไม้นั้นสูงตระหง่านขึ้นไปในท้องฟ้า และไม่มีใครเห็นได้แน่ชัดว่าต้นไม้นั้นสูงถึงเพียงใด เพราะดูเหมือนว่ามันได้แผ่ขยายออกไปเหนือสวรรค์ทั้งเก้า และสูงตระหง่านไปถึงจักรวาลอันไร้ขอบเขต
“นี่มันต้นไม้อันใดกัน?” เฉินซีกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจในระหว่างทาง เพราะต้นไม้โบราณนี้งดงามสุดจะพรรณา แม้แต่ลำต้นของมันก็ยังต้องใช้คนถึงสิบยี่สิบคนจึงจะโอบรอบไว้ได้ อีกทั้งมันยังยิ่งใหญ่และโอ่อ่ายิ่งกว่าภูเขา ทำให้มันเปล่งประกายระยิบระยับเป็นพิเศษขณะที่มันยืนต้นอยู่ในเมือง
“นี่คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และการดำรงอยู่ของมันก็สืบย้อนไปถึงตอนที่ก่อตั้งเมืองเหมันต์บรรพกาลเมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ถือกำเนิดขึ้นจากใบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในยุคบรรพกาล” อันเวยอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฉินซีพลันส่องประกาย เพราะสิ่งนี้มันน่าอัศจรรย์เกินไป! ใบไม้เพียงใบเดียวกลับเติบโตเป็นต้นไม้โบราณที่สูงตระหง่านไปถึงท้องฟ้า แล้วเช่นนี้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่แท้จริงจะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงใดกัน?
มีคำเล่าขานกันว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภพมนุษย์กับภพเซียนในยุคบรรพกาล และมันก็ถูกประทับด้วยความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งโลก ทำให้มันสว่างไสวด้วยความเจิดจ้าและแทบจะเป็นนิรันดร์
ต่อมา หลังจากประสบหายนะที่แพร่กระจายไปทั้งสามภพ มันก็หายไปจากโลก ในขณะที่รากของมันที่ยังคงขดอยู่บนภูเขาเก้าหอคอย และเศษชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่มันตาย ก็กลายเป็นเหวเงาทมิฬในปัจจุบัน
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้เติบโตขึ้นจากใบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ถ้าความจริงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และการดำรงอยู่ของมันก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน
“แต่พูดตามหลักเหตุผลแล้ว เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น มันอาจถูกผู้ยิ่งใหญ่ยึดครองไปแล้ว ดังนั้นมันจะตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ โดยไม่มีผู้ใดได้ไปได้อย่างไรกัน?” เฉินซีถามอันเวย เพราะเขาสนใจเรื่องนี้มาก และสัญชาตญาณของชายหนุ่มก็บอกเขาว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
“ช่างน่าขัน! คนอื่นจะเอาไปได้อย่างไร? ต้นไม้นี้เป็นรากฐานของเมืองเหมันต์บรรพกาล ทุกครั้งที่เหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏขึ้น ต้นไม้นี้จะเปล่งเสียงของมหาเต๋า เพื่อเตือนทุกคนในโลกว่าเหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ เป็นเพราะจู่ ๆ ต้นไม้ต้นนี้ได้เปล่งเสียงของมหาเต๋าเมื่อเจ็ดวันก่อน จึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วทุกสารทิศถูกดึงดูดและตั้งใจที่จะเข้าสู่เหวเงาทมิฬเพื่อแสวงโชค”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่มีต้นไม้นี้ ทุกคนในโลกจะไม่สามารถค้นหาการมีอยู่ของเหวเงาทมิฬได้อย่างสิ้นเชิง ภายใต้ภาวะเช่นนี้ แล้วใครจะกล้าทำร้ายมัน? หากเป็นเช่นนั้น คน ๆ นั้นจะถูกไล่ล่าโดยผู้บ่มเพาะทุกคนในโลกอย่างแน่นอน และคงไม่มีใครที่สามารถทนต่อผลที่ตามมาได้”
ผู้ที่ตอบเฉินซีหาใช้อันเวย แต่กลับเป็นหลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ใกล้เคียง ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจที่เฉินซีและอันเวยต่างพูดคุยกระซิบกระซาบเป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าตัวก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส อีกทั้งยังแสดงความเป็นศัตรูออกมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ แทน เพราะเขาได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว ส่วนเรื่องที่จะเปลี่ยนทัศนคติของหลงเจิ้นเป่ยที่มีต่อตนเองนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ได้รู้สึกสนใจใด ๆ
“อันที่จริง ยังมีอีกข่าวลือหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ” จู่ ๆ อันเวยก็พูดกับเฉินซีอย่างกระทันหัน
“โอ้ ข่าวลืออะไรหรือ?” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เฉินซี แม้แต่หลงเจิ้นเป่ยก็ตกตะลึงและแสดงท่าทางงงงวย
“ในยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ในขณะที่เหล่าปราชญ์ต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ มันเป็นยุคที่รุ่งโรจน์สุดขีด และยังเป็นยุคแห่งความสับสนวุ่นวายอีกเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น การแบ่งอำนาจภายในภพทั้งสามก็เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในเวลานั้น…”
“การดำรงอยู่ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภพเซียนและภพมนุษย์ อีกทั้งมันครอบครองร่างของเต๋าโดยกำเนิดและยังเข้าถึงพลังแห่งการสร้าง ทำให้มันเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อมหันตภัยที่ส่งผลต่อภพทั้งสามได้มาถึง แม้มันจะมีความสามารถที่สูงมาก แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นจากมหันตภัยนี้ได้ ดังนั้นมันจึงผนึกพลังกับสิ่งมีชีวิตสูงสุดอีกตนหนึ่งและคว้าร่องรอยของโอกาสที่จะมีชีวิตรอด และแม้ว่าร่างกายของมันจะสูญสลายไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีเศษเสี้ยวของวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เศษเสี้ยวของวิญญาณนี้ซุกซ่อนอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และมันกำลังรอโอกาสที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง”
“อันใดนะ!?” หลงเจิ้นเป่ยแทบตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะมันคงจะน่ากลัวเกินไปหากเป็นเรื่องจริง
ลองคิดดูซิ มันคือวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อมโยงภพเซียนกับภพมนุษย์เข้าด้วยกัน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง แต่ถ้ามันมีอยู่จริง สิ่งนี้ก็อาจทำให้เหล่าทวยเทพของทั้งสามภพคลุ้มคลั่งได้!
ในใจของเฉินซีรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากข่าวลือนี้น่าอัศจรรย์เกินไป และทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อ ท้ายที่สุด ยุคบรรพกาลก็ได้ผ่านมาเนิ่นนานแสนนาน และถ้าวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬยังคงอยู่ มันก็จะเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือ และข้าอ่านเจอมาจากคัมภีร์โบราณ ซึ่งไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” อันเวยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้บอกหรือ ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้ผนึกกำลังกับสิ่งมีชีวิตสูงสุดตนหนึ่งเพื่อคว้าโอกาสที่จะมีชีวิตรอดและเพื่อรักษาจิตวิญญาณของมันไว้? การดำรงอยู่ประเภทใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุด?” แม้จะเป็นเพียงข่าวลือ แต่เฉินซีก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือ ว่าแม้ข่าวลือนี้จะเป็นเรื่องโกหก แต่มันก็ไม่เสียหายที่จะรับฟังมากกว่านี้ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต
“ข้าไม่รู้” อันเวยยักไหล่
“ไปกันเถอะ เรามาถึงตำหนักเมฆาเยือกแข็งแล้ว” หลงเจิ้นเป่ยกล่าวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เมื่อเฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าเขาก็ได้เห็นตำหนักเมฆาเยือกแข็งที่สูงตระหง่านไปถึงท้องฟ้าอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งอยู่ที่ด้านข้างของตำหนักนี้ และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดยมันมีร่างมากมายนั่งขัดสมาธิอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงลิ่บเหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังบ่มเพาะกันอยู่
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงข่าวลือเหล่านั้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งนี้ก็ช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ด้วยมันก่อตัวขึ้นจากผลึกน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์ เปลือกนอกและเส้นใยของมันก็มีกลิ่นอายของมหาเต๋าแห่งวารีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าใครทำสมาธิและทำความเข้าใจอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ มันก็จะเป็นการง่ายที่จะเข้าใจความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งวารี” อันเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจากด้านข้าง “เป็นเพราะเหตุนี้ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งนี้จึงกลายเป็นเวทีตามธรรมชาติที่ใช้สำหรับทำความเข้าใจต่อเต๋าของเมืองเหมันต์บรรพกาล และในทุก ๆ ปี คนหนุ่มสาวมากมายต่างถูกดึงดูดให้มาเยือนที่แห่งนี่ อันเนื่องจากชื่อเสียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง ซึ่งพวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์ไม่มากก็น้อยจากการทำความเข้าใจต่อมหาเต๋าที่นี่”
“มันช่างอัศจรรย์และมิอาจหยั่งถึงอย่างแท้จริง หากข้าไม่ออกมายังโลกภายนอกเพื่อฝึกฝน ข้าคงนึกไม่ถึงว่าของวิเศษเช่นนี้จะมีอยู่จริง” เฉินซีพยักหน้าในขณะที่เขาถอนหายใจด้วยความชื่นชม และในใจของชายหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงอยากขึ้นไปบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง เพื่อสำรวจมันอย่างละเอียด
“ศิษย์น้องอัน ขึ้นไปบนตำหนักกันเถอะ การนั่งอยู่ที่ชั้นบนของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ก็สามารถสัมผัสได้กลิ่นอายต่าง ๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในทำนองเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถรับข้อมูลได้มากขึ้นและพบผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ เรียกได้ว่าเป็นการยิงหินก้อนเดียวได้นกสองตัวโดยแท้” หลงเจิ้นเป่ยยิ้มขณะที่เขาชักชวนอันเวย
ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะทยอยเข้าไปตามลำดับทันที
…
ตำหนักเมฆาเยือกแข็งนั้นจนสูงเสียดฟ้า และภายในก็ใหญ่โตโอ่อ่าเช่นกัน มันเปล่งแสงแวววาวจากทุกซอกทุกมุม ในขณะที่บริเวณโดยรอบก็มีก้อนเมฆและหมอกขดตัวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือการตกแต่ง ที่แห่งนี้มันก็ดูเหมือนสรวงสวรรค์ของเหล่าเซียนที่วิเศษเกินคำบรรยาย!
แต่ราคาของที่นี่ก็สูงลิ่วเช่นกัน และคนธรรมดาทั่วคงไม่อาจเข้าไปใช้บริการได้อย่างแน่นอน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ที่สามารถเข้ามาได้ย่อมเป็นผู้บ่มเพาะโดยธรรมชาติและพวกเขาทั้งหมดล้วนมีตัวตนที่ไม่ธรรมดา มิฉะนั้น ราคาที่สูงลิ่วเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะธรรมดาหดหู่เมื่อเห็นมัน
ในทางกลับกัน พร้อมกับข่าวการปรากฏตัวที่ใกล้เข้ามาของเหวเงาทมิฬที่แพร่กระจายออกไป สถานที่นี้จึงได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าอัจฉริยะจากขุมพลังต่าง ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬ
ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของเผ่ามังกรอสรพิษ และเป็นบุคคลสำคัญในบรรดาศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หลงเจิ้นเป่ยจึงมีความมั่งคั่งมากมายมหาศาลโดยธรรมชาติ หลังจากที่เขาจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมากให้กับผู้ดูแลตามปกติแล้ว พวกเขาทั้งสามคนก็ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติและมาถึงชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็งโดยตรง
ที่ชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง มันเป็นห้องโถงที่กว้างใหญ่มาก ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิอยู่ในมวลเมฆ ที่ด้านนอกของราวจับซึ่งแกะสลักจากหินหยกคือยอดไม้อันหรูหราของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง ที่ดู ๆ ไปแล้วคล้ายกับร่มที่ชูขึ้นฟ้า ในขณะที่มีเมฆสีขาวจำนวนมากและท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตอย่างสุดลูกหูลูกตาปกคลุม ทำให้ขอบเขตการมองเห็นของที่นี่กว้างใหญ่มาก
ในขณะนี้ มีชายหญิงหลายสิบคนที่สวมชุดหรูหราและมีท่าทางที่ไม่ธรรมดานั่งอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังไม่ขาดบุคคลที่โดดเด่นจากทั้งนิกายเซียนและนิกายอสูร ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากและลูกหลานของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีกลิ่นอายอันน่าเกรงขามอยู่ที่นั่น
“นักพรตเต๋าสุริยันชาดจากนิกายฟ้ากำเนิด โจวไฉ่หลิงจากนิกายวิถีกำเนิดบรรจบ อวี้เหวินถ่าจากนิกายหกจำนงอสูรและคงฉีจากเผ่าวารีดำ … ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายของขุมพลังต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่จริง ๆ“ อันเวยกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในตำหนัก และนางรีบพูดผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์น้องเฉินซี คนพวกนี้ล้วนไม่ธรรมดา และพวกเขาต่างเป็นศิษย์ที่โดดเด่นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากขุมพลังต่าง ๆ ดูเหมือนว่าเราต้องระวังมากขึ้นเมื่อเข้าสู่เหวเงาทมิฬในครั้งนี้ ด้วยข้าเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งและการแข่งขันขึ้น”
เฉินซีพยักหน้า เขาก็สังเกตเห็นเช่นกัน ว่าคนที่มีกลิ่นอายที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ ยังแข็งแกร่งกว่าเหลิ่งชิวและตู้เซวียนเสียอีก ในขณะที่คนที่มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเทียบได้กับหวังจ้งฮ่วนและหลงเจิ้นเป่ยเลยทีเดียว
อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจากทั่วทุกหนทุกแห่ง
“แต่เราไม่จำเป็นต้องกังวลใด ๆ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ ในแง่ของภูมิหลังและสถานะ นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่” อันเวยกล่าวเบา ๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซียิ้ม หลังจากที่บ่มเพาะจนบรรลุถึงขอบเขตในปัจจุบัน เขาก็ไม่เกรงกลัวใครอีกต่อไป และแม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้น ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนเองรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน
“เอ๊ะ ศิษย์พี่หลงเจิ้นเป่ยจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง?”
“หลงเจิ้นเป่ย? อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของเผ่ามังกรอสรพิษ?
“ใช่เขาจริง ๆ ว่ากันว่า เขาประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะเนตรวิญญาณมังกรอสรพิษ ซึ่งเป็นศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดของเขา และคนผู้นี้ก็นับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ตอนนี้เมื่อข้าได้พบเขาแล้ว ข้าก็พบว่าคนผู้นี้คู่ควรกับชื่อเสียงที่ได้รับจริง ๆ”
การปรากฏตัวของกลุ่มสามคนของเฉินซี ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นคนที่เป็นผู้นำคือหลงเจิ้นเป่ย บริเวณโดยรอบจึงเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเล็กน้อย
เห็นได้ชัด ว่าพวกเขารู้ว่าหลงเจิ้นเป่ยคือใคร ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นซึ่งมาจากขุมพลังต่าง ๆ ซึ่งก็ความเป็นจริงที่พวกเขากระสับกระส่ายเล็กน้อย หลังจากที่เห็นหลงเจิ้นเป่ย และสิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าชื่อเสียงของหลงเจิ้นเป่ยนั้นเลื่องลือไปทั่วโลกภายนอกถึงเพียงใด
“ศิษย์พี่อันเวย ท่านก็มาด้วยหรือ?”
“อันเวย? นั่นมิใช่หนึ่งในศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองหรอกหรือ? ข้าได้ยินมา ว่าฝีมือของนางนั้นลึกล้ำและยังครองตำแหน่งสูงสุดในหมู่พวกเขา ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า นางจะงดงามจนแทบหยุดหายใจเช่นนี้ …มันเรียกได้ว่านางมีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้เลยทีเดียว!”
“งดงาม ช่างงดงามเสียเหลือเกิน ข้าได้ยินคำร่ำลือมานานแล้ว ว่ารูปร่างหน้าตาของอันเวยจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้น เหมือนกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ และตอนนี้ข้าก็ได้เห็นนางด้วยตาของตัวเองแล้ว นางช่างสมกับคำร่ำลือจริง ๆ”
บางคนจดจำหลงเจิ้นเป่ยได้ ในขณะที่คนอื่นก็จำอันเวยได้ ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเผยให้เห็นถึงความปรารถนา หลังจากที่พวกเขาได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงาม ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสง่างาม และรูปร่างที่เพรียวบางของนาง
มีเพียงเฉินซีที่เดินตามหลังทั้งสองคนเท่านั้น ที่กลายเป็นคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจ และดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างไม่เป็นที่สะดุดตา