บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 631 โลงศพทองสัมฤทธิ์
บทที่ 631 โลงศพทองสัมฤทธิ์
ภายในห้องโถงที่ชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง การมาถึงของหลงเจิ้นเป่ยและอันเวยได้ดึงดูดความสนใจจากผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนจากทั่วทุกมุม ในขณะที่เฉินซีซึ่งมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีใครให้ความสนใจ
แต่ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจไม่ เขาเลือกที่นั่งใกล้หน้าต่างและนั่งลง จากนั้นจึงจิบสุราและชา พร้อมกับหยั่งความสามารถของทุกคนที่อยู่ในห้องโถง
และคนที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด ก็คือชายหนุ่มที่มาจากหนึ่งในสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ นักพรตเต๋าสุริยันชาดจากนิกายฟ้ากำเนิด
นักพรตเต๋าสุริยันชาด สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้ม เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและเอกลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา ทุกอิริยาบถของคนผู้นี้เปล่งกลิ่นอายของการกลับคืนสู่ความเรียบง่าย ซึ่งในขณะที่นั่งอยู่ที่นั่น คนคนนี้ก็คล้ายดั่งนกกระเรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่และโดดเด่นเป็นอย่างมาก
เหตุผลที่เฉินซีให้ความสนใจกับคน ๆ นี้เป็นพิเศษ มันก็เพราะในช่วงที่เขาอยู่ที่สมรภูมิบรรพกาล เฟิงเจี้ยนไป๋จากตระกูลเฟิง ถูกรับเป็นศิษย์โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของนิกายฟ้ากำเนิดนั่นเอง
และตอนนี้ เวลามันก็ผ่านไปไม่ถึงครึ่งปีนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ และชายหนุ่มรู้สึกสงสัยอย่างมาก ว่าตอนนี้การบ่มเพาะของเฟิงเจี้ยนไป๋ได้บรรลุถึงระดับใดแล้ว และเฟิงเจี้ยนไป๋จะมาที่เหวเงาทมิฬด้วยหรือไม่?
เมื่อเขานึกถึงเฟิงเจี้ยนไป๋ เฉินซีก็นึกถึงชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน จ้าวชิงเหอและคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดถูกผู้เยี่ยมยุทธ์จากมหาอำนาจพาตัวไป และไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากพวกเขาอีก ตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง?
ชู่ว!
ขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิด สายตาที่คมกริบดุจสายฟ้าฟาดก็กวาดมาที่เขาทันที ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มได้สติหวนคืนจากการครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมอง และเจ้าของสายตานั้นก็คือนักพรตเต๋าสุริยันชาด!
‘ดูเหมือนว่าการที่ข้าหยั่งพลังจะจึงดูดความสนใจของเขาแทน…’ เฉินซีหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะจิบสุราเข้าหนึ่งจอก และจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง
ในอีกด้านหนึ่ง นักพรตเต๋าสุริยันชาดก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะละสายตา โดยที่ความสงสัยได้เข้าปกคลุมหัวใจของเขา “ชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคนนี้มาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และเขาร่วมทางมากับหลงเจิ้นเป่ยและอันเวย ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน?”
ภายในห้องโถง หลงเจิ้นเป่ยและอันเวยต่างก็พูดคุยกันอย่างมีความสุขกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์บางคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งผู้ครอบครองเนตรวิญญาณมังกรอสรพิษ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นอัจฉริยะที่เหมือนกับเทพธิดาสวรรค์ ดังนั้นผู้คนใกล้เคียงจึงแวะมาพูดคุยกับพวกเขา ทำให้พวกเขาดูค่อนข้างยุ่ง มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว และเขาดูโดดเดี่ยวเล็กน้อยในสายตาของคนอื่น ๆ
แต่เฉินซีไม่คิดเช่นนี้ เขาอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นเวลานาน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นชีวิตที่สงบสุขและเงียบสงบ ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาเข้าสู่โลกภายนอกอย่างกระทันหัน สภาวะอย่างในปัจจุบันมันกลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจแทน
ผู้บ่มเพาะมักรู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของภพมนุษย์ และการเข้าสู่นิกายที่ยิ่งใหญ่เพื่อบ่มเพาะอย่างสงบสุข ก็เป็นความเพลิดเพลินประเภทหนึ่ง แต่หลังจากอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวและปลีกวิเวกเป็นเวลานาน การมาสู่ภพมนุษย์ที่เฟื่องฟูนั้นก็ได้กลายเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่แทน
เฉินซีมองไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่หรูหรานอกหน้าต่าง ในขณะที่ได้ยินเสียงจอแจในห้องโถง เขาค่อนข้างรู้สึกตื้นตันในใจและสิ่งนี้มันก็ทำให้เขางุนงงเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะชีวิตของคนเช่นเขามีสองหนทางด้วยกัน หนึ่งคือการเป็นผู้บ่มเพาะที่บำเพ็ญเพียรแบบกักตัว และหลบซ่อนเก็บงำอยู่ในขุนเขาลึก ส่วนอีกแบบ คือผู้บ่มเพาะซึ่งท่องไปในภพมนุษย์ และประสบการณ์ของทั้งสองแบบนี้ก็แตกต่างกัน ดังนั้นสภาพจิตใจของคนเราจึงแตกต่างกันโดยธรรมชาติเช่นกัน
“หืม?” เมื่อเฉินซีตระหนักถึงบางสิ่งได้ สภาพจิตใจของเขาก็พลันสงบและชัดเจน ซึ่งทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีร่องรอยของมหาเต๋าอันลึกล้ำที่คลุมเครือ ได้เล็ดลอดออกมาจากภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไป
มันเป็นความรู้สึกที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก!
นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังรู้สึกได้ราง ๆ ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งดูเหมือนจะมีพลังชนิดหนึ่งซึ่งเต้นเป็นจังหวะอยู่ภายใน แต่ก็เป็นการยากที่จะสังเกตเห็น และหลังจากที่เขาสัมผัสอย่างระมัดระวัง มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ในขณะเดียวกัน หลงเจิ้นเป่ยได้หยุดพูดคุยกับคนอื่น ๆ และนั่งลงข้าง ๆ เฉินซี ในขณะที่อันเวยผู้เป็นหญิงงามก็บอกกับเฉินซี ว่านางจะไปจากตำหนักเมฆาเยือกแข็งก่อน และตั้งใจจะไปเลือกซื้อสิ่งของบางอย่างบนท้องถนนแทน
ซึ่งทันทีที่อันเวยจากไป รอยยิ้มของหลงเจิ้นเป่ยก็หายไปในบัดดล ทิ้งไว้เพียงมุมปากที่ยกโค้ง เผยชัดถึงความเย่อหยิ่งที่ฉาบทั่วใบหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า“ศิษย์น้องเฉินซี ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายมายังเมืองเหมันต์บรรพกาล และย่อมไม่ขาดศัตรูของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา ดังนั้นเจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวเอาไว้ เพราะความสามารถของข้าทำได้เพียงแค่ปกป้องศิษย์น้องอันเวยเท่านั้น”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาก็คือ หากพวกเขาเผชิญกับอันตราย ตนจะปกป้องอันเวยมากกว่าเฉินซี
ทว่าเฉินซียังคงเงียบและแสร้งเป็นหูหนวก ในขณะนี้ จิตใจของเขาจดจ่อไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่นอกหน้าต่าง ดังนั้นชายหนุ่มจะมีเวลาที่จะไปใส่ใจกับหลงเจิ้นเป่ยได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น หลงเจิ้นเป่ยก็ ‘แสดงจุดยืน’ ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นเฉินซีจึงไม่ต้องการเสียเวลากับให้หลงเจิ้นเป่ยไม่ว่าในกรณีใด ๆ อีกต่อไป เพราะเขาไม่เคยหวังว่าหลงเจิ้นเป่ยจะใจกว้างช่วยดูแลอยู่แล้ว
“ถ้าเช่นนั้น… ข้าจะถือว่าเจ้าตกลงก็แล้วกัน” เมื่อเห็นเฉินซียังคงเฉยเมยและเพิกเฉยต่อเขา หลงเจิ้นเป่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และความโกรธเล็กน้อยก็ฉายชัดในดวงตาของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะอันเวย เขาจะไม่มีวันคลุกคลีกับคนอย่างเฉินซีเป็นอันขาด
แม้ว่าเฉินซีได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายและทำให้ทั้งนิกายต้องตกตะลึง หรือแม้แต่การสยบคนที่ร้ายกาจอย่างหวังจ้งฮ่วน แต่ในความคิดของหลงเจิ้นเป่ย มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรที่จะกล่าวถึงและไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้
ส่วนสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสองสิ่ง สิ่งหนึ่งคือความแข็งแกร่งของตนเอง และอีกสิ่งหนึ่งคือความงามที่เขาใฝ่ฝัน ส่วนสิ่งอื่น ๆ หาได้มีความสำคัญกับเขาไม่!
ณ ปัจจุบัน เขายืนหยัดอย่างภาคภูมิอยู่ในอันดับต้น ๆ ท่ามกลางเหล่าศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก จนได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม และตอนนี้เขายังหญิงงามอย่างอันเวยที่ติดอยู่เคียงข้าง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นเต็มไปด้วยความภูมิใจ แล้วเหตุใดเขาถึงต้องให้ความสำคัญกับคนอย่างเฉินซีอีก?
“หึ ช่างเป็นคนที่จองหองเสียจริง ๆ รอให้ปัญหามาเยือนตัวเจ้าเสียก่อน แล้วข้าจะรอดูเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากข้าอย่างหมดท่า!” หลงเจิ้นเป่ยชำเลืองมองที่เฉินซี และเยาะเย้ยอยู่ในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในช่วงเวลานี้ กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์อีกหลายกลุ่มที่มาจากทั่วทุกหนทุกแห่ง ต่างทยอยเข้ามาบนชั้นสูงสุดของตำหนักนี้อย่างต่อเนื่อง และพวกเขาทำให้เกิดคลื่นเสียงร้องจอแจ ซึ่งพวกเขาก็กำลังพูดคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหวเงาทมิฬ
แต่เฉินซีกลับเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเขาได้ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจอีกครั้ง!
ที่หว่างคิ้วของเขา ดวงตาแนวตั้งได้เปิดออกอย่างเงียบ ๆ ขณะที่จ้องไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่นอกหน้าต่าง และชายหนุ่มสังเกตเห็นได้ทันที ว่าแท้จริงแล้วมีแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองไหลอยู่ภายในลำต้นของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือ ดูเหมือนว่าจะมีโลกอิสระเปิดขึ้นภายในลำต้นของต้นไม้ และมันก็กว้างใหญ่ไพศาล ปกคลุมไปด้วยเครื่องหมายเก่าแก่และคลุมเครือของเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีแท่นบูชายัญโบราณลอยอยู่ใจกลางพื้นที่อย่างน่าตกใจ!
นอกจากนี้ ยังมีโลงศพทองสัมฤทธิ์อยู่บนแท่นบูชายัญ โลงศพนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสนิม และเขาสามารถเห็นลวดลายต่าง ๆ มากมาย เช่น ดอกไม้ นก กำปั้น ดวงดาว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หรือแม้แต่ผู้คนในสมัยโบราณที่กำลังถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น มันยังแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก โบราณ และลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา
‘มิติอิสระ เครื่องหมายของมหาเต๋า แท่นบูชายัญโบราณ โลงศพทองสัมฤทธิ์… ดูเหมือนจะมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะข้าอาศัยเนตรเทวะแห่งความจริง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะสังเกตเห็นมัน’ ในใจของเฉินซีนั้นตกใจมาก เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะค้นพบความลับที่น่าตกใจเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงโคจรเนตรเทวะแห่งความจริงด้วยพลังทั้งหมดทันที ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเจ็บปวด แทบจะมีเลือดไหลออกมา ซึ่งในที่สุด เขาก็ได้เห็นฉากภายในโลงศพทองสัมฤทธิ์ได้อย่างชัดเจน ว่าภายในนั้นว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ตรงมุมกลับมีท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมและไม่สะดุดตานักวางอยู่
ท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ มีสีดำสนิทและดูเหมือนจะถูกฟ้าผ่า พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยรอยแตกเล็กน้อย ซึ่งแท้จริงแล้วมีต้นอ่อนเล็ก ๆ งอกออกมาจากในรอยแตก โดยต้นอ่อนนั้นยังอ่อนและเขียวขจี อีกทั้งยังมีสายใยที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยน เป็นแสงสว่างที่โปรยปรายลงมาราวกับละอองฝนที่โปรยปราย และมันกำลังหล่อเลี้ยงท่อนไม้ที่ไหม้เกรียม ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา
‘เป็นไปได้หรือไม่ ว่าท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมนี้ก่อตัวขึ้นจากแก่นวิญญาณที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างที่อันเวยพูดถึงก่อนหน้านี้?’ เฉินซีตกตะลึงอยู่ในใจ และหัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม
เพราะถ้ามันเป็นอย่างที่ชายหนุ่มสรุปจริง ๆ เช่นนั้นต้นอ่อนที่เติบโตบนท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมนี้ มันก็คือโอกาสรอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ!
“มันช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน! ใครจะจินตนาการได้ว่ามีบางสิ่งที่เกือบจะเหมือนกับปาฏิหาริย์อยู่ภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งจริง ๆ”
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสงบความรู้สึกตื่นเต้นของเขา
“ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งต้นนี้ ช่างไม่ธรรมดายิ่งนัก มันยืนต้นผ่านกาลเวลามานานแสนนาน และทุกครั้งที่เหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏขึ้น มันจะเปล่งเสียงของมหาเต๋า ราวกับว่ามันกำลังเรียกถึงอะไรบางอย่าง”
“โชคไม่ดีที่การดำรงอยู่ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งนี้ถูกปกคลุมด้วยกฎของมหาเต๋าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว เมื่อได้รับความเสียหาย มันจะดึงดูดความสนใจของผู้ยิ่งใหญ่มากมายในโลก ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการผ่ามันออก แล้วดูว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้น”
“ใช่แล้ว นับตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวตนไม่ธรรมดามากมายได้เข้ามาค้นหาภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งอย่างละเอียดด้วยความตั้งใจที่จะพิสูจน์ความสัมพันธ์ของมันกับเหวเงาทมิฬ แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครล่วงรู้ความลับของมันแม้แต่คนเดียว”
ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนจากขุมพลังต่าง ๆ กำลังพูดคุยกันในห้องโถง และพวกเขาไม่ได้คิดที่จะปกปิดมัน เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งได้กลายเป็นความลับที่เปิดเผยไปแล้ว
แต่เฉินซีกลับตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้แทน …จากการที่รับฟังการสนทนาระหว่างคนเหล่านี้ เขาพลันรู้สึกได้ราง ๆ ว่าบางทีฉากที่ตนเองเห็นก่อนหน้านี้ อาจเป็นความลับที่แท้จริงของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และอาจมีเพียงเขาที่สามารถไขความลับของเหวเงาทมิฬได้
ในขณะนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็เข้าร่วมการสนทนาเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาพูดถึงนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ในความคิดของข้า ไม่ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งจะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงใด มันก็เติบโตขึ้นจากใบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ และเหตุผลที่มันสามารถเปล่งเสียงของมหาเต๋าได้นั้น ก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ส่วนเรื่องที่ว่ามีความลับอื่น ๆ ซ่อนอยู่ในนั้นหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และแม้ว่าจะมีความลับซ่อนอยู่ในนั้น มันก็อาจไม่เกี่ยวข้องกับเหวเงาทมิฬ”
“ฮ่า ฮ่า เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หากมีความลับ มันก็คงถูกค้นพบโดยผู้ยิ่งใหญ่ไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจะเหลือให้เราได้ค้นพบได้อย่างไร?”
คำพูดของพวกเขามีเหตุผลในทำนองเดียวกัน และมันได้รับความเห็นพ้องจากผู้คนจำนวนมากที่อยู่ที่นี่
ทว่าเฉินซีกลับขมวดคิ้วแทน และสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะกระตุ้นให้เนตรเทวะแห่งความจริงส่องเข้าไปในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งอีกครั้ง การจ้องมองของเขาเป็นเหมือนกระสวยที่ทะลุผ่านมิติอิสระ จ้องมองไปยังแท่นบูชาบูชายัญโบราณ โลงศพทองสัมฤทธิ์ และสุดท้ายก็มองไปที่ท่อนไม้ซึ่งไหม้เกรียม
ครั้งนี้ เขาทำความเข้าใจต่อกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมอย่างใจเย็น และผลที่ตามมาก็สร้างความตกใจให้แก่ชายหนุ่ม เนื่องจากเส้นกลิ่นอายสีเขียวหมอกที่เล็ดลอดออกมาจากต้นอ่อนบนท่อนไม้ที่ไหม้เกรียม เป็นเหมือนแหล่งกำเนิดของมหาเต๋า และมันมีกลิ่นอายของมหาเต๋าต่าง ๆ ในโลก! แม้ว่ามันจะเล็กและอ่อนแอถึงขีดสุด แต่เฉินซีก็รู้ได้อย่างชัดเจน ว่าประสาทสัมผัสของตนเองย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ว่ามันคือกลิ่นอายของมหาเต๋าอย่างแน่นอน!!!
“มันเป็นเรื่องจริง แท้จริงแล้ว มันถือกำเนิดจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับมัน แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าเป็นการแลกเปลี่ยน” ในขณะนี้ หม้อต้มใบจิ๋วที่เงียบมาเป็นเวลานาน พลันส่งเสียงออกมา และมันก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ทำให้เฉินซีตกตะลึงในทันที