บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 648 สัตว์ร้ายหยาจื้อ
บทที่ 648 สัตว์ร้ายหยาจื้อ
ทะเลเมฆนี้กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยกระแสพลัง ไม่มีใครรู้ว่ามันกว้างใหญ่เท่าไร และก่อตัวขึ้นจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในยุคบรรพกาล จึงทำให้มันกลายเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริงของเหล่าทวยเทพ
ดวงดาวมากมายที่อยู่ภายในนั้นมีขนาดมหึมาเหมือนกับดาวเคราะห์ในจักรวาล พวกมันต่างส่งเสียงดังก้องในระหว่างที่โคจรอย่างไม่รู้จบ ซึ่งก่อให้เกิดพายุดาวฤกษ์ที่มีความรุนแรงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังกว้างใหญ่ไพศาลและโหมกระหน่ำไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์มากมายต่างขยับขึ้นลงอยู่ภายในนั้น และต่างเปล่งแสงที่ไร้ขอบเขตออกมา จนเกิดเป็นพายุแห่งเปลวเพลิงและกระแสน้ำแข็งซัดกระหน่ำไปทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ทะเลเมฆกลายเป็นสถานที่สุดแสนอันตรายโดยสมบูรณ์
ในขณะนี้ กรงเล็บของสัตว์ร้ายเกล็ดสีแดงเข้มได้ยื่นออกมาจากดาวดวงหนึ่ง มันปกคลุมท้องฟ้าและบดบังดวงอาทิตย์ ฉีกผ่านทะเลเมฆที่ปกคลุมและพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด!
“นี่มัน?”
เมื่อเห็นกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่ปกคลุมด้วยเปลวไฟ สีหน้าของชายหนุ่มพลันตกตะตึงเป็นอย่างมาก และเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัตว์ร้ายที่น่ากลัวเช่นนี้จะซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้จริง ๆ!
เพียงแค่กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมา ก็เสมือนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลแล้ว!
โดยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความแตกต่างตามขอบเขตเช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะ แต่พวกมันเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ในขอบเขตจุติ ในขณะที่พวกมันยังเด็กและอ่อนแอ แต่เนื่องจากพรสวรรค์ที่น่าทึ่งและสายเลือดอันสูงส่ง ความแข็งแกร่งของพวกมันจึงมักทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่เพิ่งบรรลุเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายา สามารถต่อสู้กับผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกันได้หลายสิบคน ส่วนเหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะปราณแท้ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลครอบครองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะเทียบได้
ขอบเขตการบ่มเพาะของสัตว์ร้ายตัวนี้มีกลิ่นอายที่เทียบได้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล และเฉินซีก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หากมันสามารถอยู่รอดท่ามกลางกระแสแห่งกาลเวลาได้ ความแข็งแกร่งของมันย่อมน่ากลัวมากอย่างแน่นอน!
เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุกคามถึงชีวิตจากมันเพียงแวบเดียว กระแสความกลัวก็แผ่ไปทั่วทั้งหัวใจของชายหนุ่ม และตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากถูกกรงเล็บของสัตว์ร้ายตัวนี้ตะปบเข้า เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!
โอม!
ในเวลานี้เอง เฉินซีก็โคจรแดนฮุ่นตุ้นด้วยพละกำลังทั้งหมดโดยไม่ลังเล ทำให้เต๋ารู้แจ้งส่งเสียงดังก้องไปรอบด้าน ในขณะที่มหาเต๋าก็กลายเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่รอบร่างกาย และกลิ่นอายของชายหนุ่มก็ถูกผลักดันจนอยู่ในสภาวะสูงสุด ทำให้เฉินซีดูเหมือนกับราชาที่ปรากฏตัวอย่างสง่าและทรงพลัง
ในเวลาเดียวกัน ยันต์ศัสตราที่เรียบง่ายแลเก่าแก่ก็ปรากฏในมือของเขาท่ามกลางเสียงคำรามของกระบี่ และจู่ ๆ ยันต์เทวะทั้งห้านี้ก็พลันเปล่งพลังอย่างไร้ขอบเขตออกมาขณะอักขระยันต์หมุนวน ทำให้เกิดแสงเจิดจรัสราวกับดวงอาทิตย์พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
วูบ!
เจตจำนงกระบี่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ ซึ่งเหมือนกับทางช้างเผือกที่ถาโถมลงมา มันฟันไปที่กรงเล็บของสัตว์ร้ายที่พุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างดุดัน
นี่คือการโจมตีด้วยกระบี่ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เขาเริ่มบ่มเพาะมา พลังโจมตีของมันนั้นมหาศาล ยิ่งกว่านั้นยังแฝงไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังและเจิดจรัส ซึ่งสามารถทำให้โลกตกสู่ความโกลาหล และมันได้เฉือนพันธนาการแห่งอวกาศออกจากกัน อีกทั้งยังเฉียบคมและรุนแรงยิ่ง!
ในระหว่างการโจมตีครั้งนี้ ท่วงทำนองอันลึกล้ำของมหาเต๋าดังก้องไปพร้อมกับการสวดมนต์ของเหล่าทวยเทพ และภาพลวงตามากมายที่เหมือนเทพเจ้าก็ปรากฏขึ้น พวกมันคือปรากฏการณ์ที่ก่อตัวขึ้นจากยันต์เทวะทั้งห้าที่อยู่ในยันต์ศัสตราเมื่อโคจรพลังถึงขีดสุด!
ภายใต้การโจมตีนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับแนวหน้าอย่างหวังจ้งฮ่วนกับหลงเจิ้นเป่ยก็อาจจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลบและไม่กล้าที่จะปะทะกับการโจมตีนี้โดยตรง
ครืน!
เจตจำนงกระบี่และกรงเล็บของสัตว์ร้ายปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน และมันก็เหมือนกับฟ้าดินกำลังพังทลายหรือภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน!
กระแสลมที่ระเบิดจากการปะทะ ทำให้หมอกหนาทึบในระยะหมื่นลี้ถูกพัดออกไปจนหมด และพื้นที่ที่ว่างเปล่าก็ถูกเผยออกมา
หากนี่คือโลกภายนอก การปะทะที่สะท้านไปทั้งสวรรค์ก็เพียงพอที่จะบดขยี้เมืองทั้งเมือง!
พรวดด!
เฉินซีกระอักเลือดออกมา ร่างของเขาถูกแรงระเบิดจนปลิวไปไกลถึงยี่สิบลี้ และบอบช้ำเป็นอย่างมาก ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
การโจมตีด้วยกระบี่ที่ดีที่สุดของเขาไม่เพียงไม่สามารถฟันกรงเล็บของสัตว์ร้ายให้ขาดออกจากกัน แต่ตัวเขายังถูกคลื่นกระแทกจนได้รับบาดเจ็บกลับมา!
ท้ายที่สุดแล้ว กระบี่ในมือของเขายังคมกริบยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะ และเมื่อรวมกับเต๋าแห่งกระบี่ที่บรรลุถึงขั้นก่อตัวเป็นกระแสปราณกระบี่ ชายหนุ่มกลับไม่สามารถทำลายกรงเล็บของสัตว์ร้ายได้เลยแม้แต่น้อย!! ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่ากรงเล็บของสัตว์ร้ายนั้นแข็งแกร่งและน่าสะพรึงยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะหรอกหรือ?
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีก็คือ แม้การโจมตีในครั้งนี้จะไม่สามารถทำให้สัตว์ร้ายบาดเจ็บได้ แต่ก็พอถ่วงเวลาให้เขาได้พักหายใจเล็กน้อย
และในเวลาอันสั้น มันก็ทำให้เขาได้เห็นรูปร่างของสัตว์ร้ายตัวนี้อย่างชัดเจน
ร่างของสัตว์ร้ายที่ยืนอยู่บนดวงดาวนั้นดูคล้ายเสือดาวที่มีขนาดมหึมาเท่าภูเขา ทว่ารอบกายกลับปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้มดั่งมังกร และกรงเล็บของมันก็เหมือนเสาสี่ต้นที่สามารถค้ำยันท้องฟ้า ตัวมันยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นพร้อมกับปล่อยกลิ่นอายที่รุนแรงและกระหายเลือดออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ซึ่งทุกครั้งที่มันหายใจเข้าออกก็เหมือนกับพายุที่พัดพาสู่โลกหล้าและทำให้เกิดเสียงกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้อง!
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ มันคาบดาบที่คมกริบไว้ในปากที่เปื้อนเลือด คมดาบนั้นเป็นสีแดงเลือดและหนาแน่นจนเหมือนเลือดกำลังหยดออกมา สันดาบมีรอยหยักและเยียบเย็นอย่างน่าสยดสยอง อีกทั้งยังแผ่กลิ่นเลือดที่ทำให้หัวใจต้องสั่นสะท้าน!
“หยาจื้อ*[1]!” ทันทีที่เห็นคู่ต่อสู้อย่างชัดเจน เฉินซีก็ร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ
หยาจื้อเป็นหนึ่งในสัตว์ร้ายที่มีชื่อเสียงในยุคบรรพกาล ตามตำนานกล่าวว่า มันเป็นบุตรของมังกรในยุคบรรพกาล มันกล้าหาญ ชอบการต่อสู้และกระหายเลือด ทุกคนที่กล้ารุกรานมัน จะต้องถูกตามล่าจนกว่าพวกเขาจะถูกฆ่าอย่างไม่มีการยกเว้นใด ๆ!
ดั่งสำนวนที่ว่า ‘ความแค้นของหยาจื้อต้องได้รับการชดใช้’ ก็เป็นการอธิบายถึงอุปนิสัยที่ดุร้ายของสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลตัวนี้ และมันแสดงให้เห็นว่าความปรารถนาที่จะแก้แค้นของมันนั้นหนักหนาเพียงใด
…มันจะไม่หยุดยั้งจนกว่าจะฆ่าคู่ต่อสู้ของมันได้!
“มันคือหยาจื้อสายเลือดบริสุทธิ์อย่างแน่นอน! แต่ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของมัน…”
ท่ามกลางความตกตะลึง เฉินซีกวาดตามองหยาจื้อด้วยเนตรเทวะแห่งความจริงโดยไม่ตั้งใจ และชายหนุ่มก็สังเกตเห็นโดยไม่คาดคิดว่า ความแข็งแกร่งของหยาจื้อดูจะสลายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ!
แม้แต่กลิ่นอายกระหายเลือดที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของมันก็เหมือนกับเขื่อนที่แตกออก และได้สูญเสียพลังอย่างที่เคยมีก่อนหน้าไปแล้ว
“เกิดอันใดขึ้น?”
เฉินซีตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า สัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งมีชื่อเสียงในยุคบรรพกาลและมีพลังที่อาจบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีเมื่อนานมาแล้ว แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนพลังของมันกำลังสลายหายไปหมดแล้วอย่างแท้จริง!
หรืออาจกล่าวได้ว่า การโจมตีก่อนหน้านี้ได้ทำให้พลังของมันลดลงไปอย่างมาก และมันก็ค่อย ๆ ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
“หรือว่าสัตว์ร้ายตนนี้จะถูกขังอยู่ที่นี่มานานแสนนาน และเนื่องจากขาดปราณแท้ที่จะเติมเต็มความแข็งแกร่ง มันจึงใกล้จะตายแล้ว?”
เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้านทันที แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะผลีผลาม ด้วยแม้ว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้จะอ่อนลง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะสามารถต่อกรได้ในตอนนี้ และเขายังสงสัยอีกว่า หากตนเองพุ่งไปข้างหน้า มันก็มีโอกาสสูงที่ตัวเขาจะประสบกับการโจมตีจากหยาจื้อที่กำลังจะตายอย่างแน่นอน …และมันจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง!
โฮกกก!
เมื่อความคิดต่าง ๆ ผุดขึ้นในใจของเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า หยาจื้อตนนั้นก็พลันเปล่งเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า และดวงตาสีแดงเลือดที่ใหญ่โตราวกับทะเลสาบของมันก็จดจ้องอย่างเย็นชาไปยังชายหนุ่ม เผยให้เห็นจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีร่องรอยของความโหยหาอย่างรุนแรงออกมา…
มันเหมือนกับหมาป่าหิวโหยซึ่งเห็นแพะตัวอ้วนท้วน
ครืนน!
มันโจมตีอีกครั้ง โดยส่งกรงเล็บยักษ์ของมันฉีกผ่านท้องฟ้าและปกคลุมไปด้วยเปลวไฟลุกโชน ดูคล้ายสายรุ้งที่ทะลวงผ่านท้องฟ้า อัดแน่นไปด้วยอานุภาพและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้!
แต่เฉินซีได้เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้ปีกกำราบผกผันด้วยพลังทั้งหมด ทำให้ร่างของเขาทะยานไปมาอยู่ในทะเลเมฆซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหลบอย่างรวดเร็วจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
การโจมตีที่พลาดเป้าและการสูญเสียร่องรอยของคู่ต่อสู้ ดูจะทำให้หยาจื้อรู้สึกกระสับกระส่ายและโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง มันจึงฟาดกรงเล็บของมันลงซ้ำ ๆ ทำให้ดวงดาวที่อยู่ข้างใต้สั่นสะเทือนจนแทบจะแตกสลาย
ทะเลเมฆในระยะหมื่นลี้พลันตกสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ กระแสอากาศเกิดความแปรปรวนอย่างรุนแรง ในขณะที่พายุก็โหมกระหน่ำ ซึ่งถ้ามีคนตกลงไปในพื้นที่นี้ตอนนี้ คนคนนั้นจะถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที!
ครืนน!
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามอันน่าตกใจก็ดังขึ้น แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนความกระหายเลือดจะลดลงเล็กน้อย ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่เต็มใจและความสิ้นหวังที่ท่วมท้นแทน นอกจากนี้ยังสั่นสะเทือนสภาพแวดล้อมโดยรอบ จนทำให้เกิดพายุปั่นป่วนที่น่าสะพรึงกลัว
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทุกอย่างที่นี่ก็กลับคืนสู่ความสงบ และหมอกหนาทึบก็ปกคลุมบริเวณโดยรอบอีกครั้ง จะขาดก็เพียงร่างที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป
ฟุ่บ!
“มันตายแล้วหรือ? หรืออาจกำลังซุ่มเพื่อรอโจมตีอยู่?”
ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นอีกครั้งในสถานที่ที่เขาเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ และเมื่อจ้องมองไปรอบ ๆ ชายหนุ่มก็ไม่พบร่างของสัตว์ร้ายหยาจื้ออีกต่อไป
เขาครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนที่ร่องรอยอันไร้ปรานีจะปรากฏบนใบหน้าของเขา ชั่วพริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็หายตัวไปจากจุดนั้นและพุ่งเข้าหาดวงดาวที่หยาจื้อเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
ดาวดวงนั้นถูกปกคลุมไปด้วยภูเขาที่แห้งแล้งและเม็ดทรายที่ปลิวไปตามลม มันเป็นฉากที่อ้างว้างและขาดชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงนับประสาอะไรกับปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน
เมื่อเฉินซีก้าวเท้าลงบนดาวดวงนี้ เขาก็เห็นทันทีว่า มีร่างที่ใหญ่โตมโหฬารนอนอยู่เบื้องหน้าภูเขาลูกใหญ่ในระยะไกลสุดลูกหูลูกตา และที่น่าตกใจก็คือ มันคือหยาจื้อนั่นเอง! แต่ตอนนี้มันไร้ซึ่งพลังชีวิตโดยสิ้นเชิง และไม่มีกลิ่นอายของชีวิตอยู่เลย
“มันตายแล้วจริง ๆ ในฐานะลูกหลานของมังกรในยุคบรรพกาล มันจึงมีสายเลือดสูงส่งและความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามอย่างไม่มีใครเทียบได้ เมื่อตายไปแล้ว ศพของมันจึงเปรียบได้กับขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่!”
เฉินซีตื่นเต้นระคนประหลาดใจราวกับว่าเขาถูกตบหน้าด้วยโชคลาภก้อนโต ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนว่า สัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามในยุคบรรพกาลจะต้องมาตายเช่นนี้…
ฟุ่บ!
แต่เฉินซีกลับดึงยันต์ศัสตราออกมาและฟันออกไปอย่างฉับพลัน!
ตู้ม!!
เจตจำนงกระบี่เป็นเหมือนแสงที่กระทบเข้ากับศพของหยาจื้อและปะทุพร้อมกับประกายไฟที่ลุกโชน ซึ่งเหลือไว้เพียงรอยสีขาวจาง ๆ และไม่อาจทำให้ผิวหนังของมันแตกได้!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร่างกายของหยาจื้อนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ผิวหนังของมันก็ยังแข็งแกร่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะเสียอีก
“ดูเหมือนว่ามันจะตายไปแล้วจริง ๆ มิฉะนั้น ด้วยธรรมชาติที่รุนแรงและกระหายเลือดของหยาจื้อ มันคงคลุ้มคลั่งทันทีที่ถูกการโจมตีนี้…”
เมื่อเห็นเช่นนี้ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี และเขารู้สึกโล่งใจอย่างสิ้นเชิง ในช่วงเวลาถัดมา ชายหนุ่มก็มาถึงที่ตรงหน้าของหยาจื้อ
มูลค่าของร่างกายสัตว์ร้ายสายเลือดบริสุทธิ์ในยุคบรรพกาลนั้น ทำให้ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องตกตะลึงจนตาลุกวาว และอาจถือได้ว่าร่างกายทุกส่วนของมันล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ขน กระดูก เส้นเอ็นหรือว่าเลือด… ล้วนเป็นวัตถุดิบหายากที่สามารถใช้ขัดเกลาอุปกรณ์หรือหลอมโอสถ และมันมิอาจประเมินค่าได้
แต่ส่วนที่มีคุณค่าที่สุดคือกระดูกภายในร่างกายของมัน!
กระดูกนี้มีแก่นแท้ของสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาล อีกทั้งศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดหรือพลังอิทธิฤทธิ์ก็ได้รับมาจากกระดูกโดยกำเนิดของมัน
และยิ่งสัตว์ร้ายบรรพกาลนั้นทรงพลังเท่าไร ความลึกล้ำที่อยู่ภายในกระดูกโดยกำเนิดก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น พลังอิทธิฤทธิ์และศาสตร์เต๋าบางอย่างถึงขนาดมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสามภพ!
ตัวอย่างเช่น พลังอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของวิหคเพลิงนภา ปีกกำราบผกผันก็เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำของทั้งสามภพ
และเท่าที่เฉินซีทราบมา มรดกที่มีมาแต่กำเนิดของสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลอย่างหยาจื้อคือ ศาสตร์เต๋าที่น่าสะพรึงกลัวที่ทำให้โลกตกตะลึง… ระเบิดสังหารเทวะ!
[1] หยาจื้อ คือหนึ่งในบุตรของมังกรตามความเชื่อของจีน