บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 657 ฆ่าสังหารดั่งเพลิงคลั่ง
บทที่ 657 ฆ่าสังหารดั่งเพลิงคลั่ง
ทันใดนั้น ผู้บ่มเพาะจากเผ่ากระทิงอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกสังหาร!
ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนตกตะลึง เพราะคนจากเผ่ากระทิงอัคคีไม่อาจกล่าวได้ว่าไร้น้ำยา ทว่าเมื่อครู่พวกเขายังไม่ทันพุ่งเข้าใส่เฉินซีก็ถูกสังหารทิ้งแล้ว!
ผู้บ่มเพาะจากเผ่าหยาจื้อเดิมทีคิดจะพุ่งเข้าไปภายใต้การนำของเลี่ยเฟิง เพื่อจับตัวและสังหารเฉินซีให้ได้ แต่เมื่อเผ่ากระทิงอัคคีรุดหน้าเข้าไปก่อนจึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีเท่าไร พลางคิดว่าจะเข้าไปยื้อแย่งจังหวะอย่างไรดี
แต่ภาพตรงหน้าราวกลับถูกถังน้ำเย็นสาดใส่ศีรษะ จนได้แต่ยืนตัวสั่น รู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก
‘ไม่คิดเลยว่าไม่เจอเพียงครึ่งปีจะพัฒนาได้ถึงขนาดนี้…’ เฟิงเจี้ยนไป๋หนังตากระตุกเมื่อมองเงาร่างที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนฟ้าไกล นอกจากความตกใจแล้ว เขายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกริษยา
เพราะหากไร้การปรากฏตัวของเฉินซีแล้ว อันดับหนึ่งในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ ณ สมรภูมิบรรพกาลก็คงตกเป็นของเขาไปแล้ว!
แต่ในตอนนั้น ถึงจะถูกเฉินซีแซงหน้าไป เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะอย่างไรมันก็แค่เป็นตัวชี้วัดศักยภาพ และเขาก็มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าอีกฝ่ายเป็นไหน ๆ
แต่เมื่อเห็นเฉินซีสามารถสังหารยอดฝีมือเผ่ากระทิงอัคคีทั้งหมดนั้นได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ มีหรือที่เฟิงเจี้ยนไป๋จะไม่ตกตะลึง? เขาจึงไร้ทางเลือก และต้องยอมรับว่าถูกเฉินซีแซงหน้าไปไกลแล้ว!
‘ไม่ได้การแล้ว! มีโอกาสดีเช่นนี้อยู่ เจ้านั่นต้องถูกกำจัดได้แล้ว ไม่เช่นนั้น หากปล่อยให้มันเติบโตต่อไปอีกจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?’ เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจของเฟิงเจี้ยนไป๋ เขาจึงตัดสินใจทันที
ชั่วพริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็เหินร่างขึ้นฟ้าแล้วตะโกนเสียงดังว่า “สหายเต๋าทั้งหลาย เฉินซีผู้นี้เป็นดั่งตั๊กแตนร้ายที่ฉวยโอกาสชิงโชคลาภของเราไปยามเราพบภัย เป็นพวกไร้กฎเกณฑ์ที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะอภัยให้ได้ วันนี้เขามาที่นี่ตัวคนเดียว นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สังหารโจรผู้นี้ หากไม่ลงมือตอนนี้แล้วจะลงมือตอนไหนเล่า?”
ทุกคนตกตะลึงและคลายอาการตกใจจากภาพก่อนหน้าทันที
ใช่แล้ว!
โจรผู้นี้มีตัวคนเดียว แต่ที่นี่มีคนมากกว่าพันคนจากหลากหลายกองกำลัง และตอนนี้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในกับดักด้วยตัวเองแล้ว นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะจะกางตาข่ายจับหรอกหรือ?
อีกทั้งหากสังหารเขาได้ ชิ้นส่วนมหาเต๋าทั้งห้าที่อยู่ในครอบครองของอีกฝ่ายก็จะไร้เจ้าของ เราสามารถเอามาแจกจ่ายให้กันในภายหลังได้ไม่ใช่หรือ?
ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้น ในใจเต็มไปด้วยความโลภ ลมหายใจแรงถี่ด้วยอยากลงมือเต็มแก่ สองมือถูกันไม่หยุด
เมื่อเฉินซีได้เห็นคนรู้จักเก่าอย่างเฟิงเจี้ยนไป๋ออกมายุยงให้คนอื่นจัดการเขาพร้อมกัน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหยียดหยามอยู่ในใจ ก็อย่างที่เขาว่า ตีงูต้องตีให้หลังหัก ไม่เช่นนั้นมันจะแว้งกัดภายหลัง!
“ฆ่ามัน! ฆ่าเจ้าโจรแล้วชิ้นส่วนมหาเต๋าของมันก็จะตกเป็นของเรา!” มุมปากของเฟิงเจี้ยนไป๋เผยแววพึงพอใจเมื่อเห็นการตอบสนองของคนอื่น และยังคงยุยงต่อ
และทันทีที่เขาพูดจบ มันก็ได้จุดเปลวไฟแห่งความโลภที่ไม่อาจยับยั้งได้ในใจของทุกคนขึ้นมาแล้ว ทำให้พวกเขาไม่อาจยับยั้งตนเองได้อีกต่อไป!
ตู้ม!
แสงสว่างจ้าพุ่งขึ้นฟ้า ในขณะที่ศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหลายผสานรวมกันแล้วพุ่งลงมาราวกับหินหลอมเหลวคลั่ง กลุ่มสิ่งมีชีวิตอันน่าเกรงขามจากตระกูลต่าง ๆ ในยุคบรรพกาลกระโจนพุ่งเข้าไปลงมืออย่างดุดัน
ตอนนี้เฉินซีเองก็ลงมือเช่นกัน เต๋ารู้แจ้งส่งเสียงคำราม ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับในฝ่ามือกำโลกใบหนึ่งเอาไว้ ส่วนภายในปากก็เป็นตะวันกับจันทรา ทักษะปีกกำราบผกผันสั่นกระพือ เขากระโจนเข้าใส่ฝูงชนในพริบตาต่อมา จากนั้นก็กระแทกหมัดออกไปหมายสังหาร
ฟึ่บ!
รอยฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวจำนวนมากทับซ้อนกันราวกับคลื่นหลายชั้นที่ซัดสาดและรุดหน้าไป
นี่คือศาสตร์เต๋าขั้นสูงสุด ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ และความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ก็มีมากกว่าเดิมถึงห้าเท่า ราวกับมหาสมุทรคำราม กวาดล้างทุกสิ่งอย่าง ปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังและน่าเกรงขามออกมา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เลือดสาดกระเซ็นออกไปทุกทิศทาง ผู้บ่มเพาะกว่าสิบคนที่พุ่งเข้ามาในตอนแรกถูกฝ่ามือนั้นแยกร่างเป็นสองส่วน ร่างแยกออกจากกันบ้าง เละไม่เหลือชิ้นดีบ้าง สิ้นใจอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงมาราวกับหยาดพิรุณโปรย
เมื่อลงมือ ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลอะไรอีก เขาเป็นเหมือนเจ้าเหนือหัวผู้ลงมาจุติ ใช้วิชาสลับอันซับซ้อนและลึกล้ำในทุกกระบวนท่า เหมือนสว่านเจาะทะลวงจนเลือดกระเซ็น ผู้คนกรีดเสียงร้องกันระงม
ฝ่าทุกอุปสรรคที่ขวางหน้าไปได้!
เขามีพลังคล้ายกับเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่ต่อสู้ด้วยร่างอาบโลหิตของศัตรู ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็สังหารคนไปได้หลายสิบแล้ว
หากยืนอยู่ที่พื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ก็คงจะเห็นว่ามีเลือดหยดลงมาราวกับฝนโปรย ทั้งหนาแน่นและคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด ผสมผสานไปกับซากสมบัติและเศษซากศพ เป็นภาพที่น่าตกใจยิ่ง กระทั่งสภาพแวดล้อมยังแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต
นี่คือความน่าเกรงขามของพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมาห้าเท่า ยิ่งพื้นฐานของเฉินซีมั่นคงด้วยแล้ว เขาจึงย่อมเหนือชั้นกว่ายอดผู้ฝีมืออัจฉริยะส่วนใหญ่ และแดนฮุ่นตุ้นของเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
อีกทั้งเขายังทำความเข้าใจศาสตร์เต๋าขั้นสูงสุดกว่าสี่สิบประเภท อีกทั้งยังเข้าใจความลึกล้ำของสัจธรรมสวรรค์ รวมถึงยังมีทักษะปีกกำราบผกผันที่ติดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำแห่งสามโลก และเนตรเทวะแห่งความจริงที่สะเทือนไปทั้งสามโลก เขาจึงเป็นเหมือนอาวุธสังหารเคลื่อนที่
หรือก็คือเฉินซีในตอนนี้ไม่อาจนำไปเทียบกับตัวเขาคนก่อนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพละกำลังหรืออื่น ๆ
แม้จะอยู่ท่ามกลางศิษย์จากสิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูร คนประหลาดเช่นเฉินซีก็นับว่าหายากและกล่าวได้ว่าไม่อาจหาที่ไหนได้
ครืน!
ความผันผวนของพลังการต่อสู้อันน่าหวาดกลัวได้กระจายไปทั่วฟ้าดิน ส่งผลให้ลมและเมฆเกิดความปั่นป่วน หยินหยางแตกซ่าน ความมืดเข้าปกคลุมทั้งบนและล่าง สรรพสิ่งตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ ราวกับโลกคือแดนนรกก็มิปาน
ทว่าเฉินซีกลับทรงพลังยิ่งในความโกลาหลนี้ ร่างของเขาดั่งเงาจาง วูบไหวไปมาไม่หยุด ทุกครั้งที่ทักษะปีกกำราบผกผันกระพือ ก็จะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ราวกับเคลื่อนมิติ สามารถหลบการโจมตีที่เข้ามาทุกทิศทางได้
ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด แสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุก็จะส่องสว่างออกมา บางคนไม่ทันระวังตัว ทำให้สมบัติวิเศษในครอบครองที่มีธาตุทั้งห้าอยู่ถูกทำลายกลายเป็นเศษซากพร้อมกับเสียงดังตู้ม ทำให้ผู้คนสั่นกลัวและเจ็บปวดกับความสูญเสียอย่างมาก
มีเพียงสมบัติกึ่งอมตะเท่านั้นที่สามารถต้านทานแสงศักดิ์สิทธิ์กำราบธาตุได้อยู่บ้าง ทว่าแม้จะไม่แตกสลายไป แต่มันก็ได้รับความเสียหายหนักจนทำให้อำนาจลดลงมาก
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้สักนิด เพราะเขาคิดอยู่เรื่องเดียวคือการสังหารและสังหาร! บดขยี้พวกคนชั่วร้ายหยาบช้าพวกนี้เสียให้สิ้น!
หากเป็นเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่เขายังไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ห้าเท่าได้เช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบกับความยากลำบากเพียงใดในสถานการณ์นี้ คงจะต้องถูกสังหารในคราวเดียวแน่
อีกทั้งเขายังไร้ทางเลือกอื่น เพราะอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยถูกจับเป็นตัวประกัน และในเมื่อศิษย์ร่วมนิกายกำลังตกอยู่ในอันตราย มีหรือที่เขาจะเอาแต่มองแล้วเมินเฉยไปได้? หากทำเช่นนั้นแล้วยังนับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกหรือ?
หากการเป็นมนุษย์ให้ดียังทำไม่ได้ แล้วจะกลายเป็นเซียนได้อย่างไร?
เขาจึงเดินทางมาที่นี่ มาพร้อมกับพลังต่อสู้ห้าเท่า ส่งความแค้นจากไฟที่สุมอยู่ภายในอกเข้าซัดใส่ศัตรู
“ฆ่ามัน!” เฉินซีคำรามเสียงลั่นแล้วเดินหน้าต่อราวกับมังกรออกจากถ้ำ เขาเคลื่อนไหวเป็นอิสระ ในขณะที่ใช้ทุกสิ่งที่เรียนรู้มาสังหารและคลายความแค้นที่มี ทำให้สามารถทำลายอุปสรรคทุกอย่างไปได้และดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฟ้าดินเต็มไปด้วยภาพน่าหวาดกลัวที่เลือดสาดกระเซ็นทุกทิศ แขนขาร่วงหล่น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทำเอาทุกคนตกตะลึงแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
“พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากเกินไปแล้ว!” เมื่อมองไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่กลางอากาศที่ราวกับว่าสิ่งใดก็ไม่อาจขวางกั้นได้ นัยน์ตาประหลาดสีม่วงของรัตติกาลก็แฝงด้วยแววประหลาดใจอันหาได้ยาก เขาย่อมรู้ว่าเมื่อเทียบกับตอนที่พยายามลอบสังหารเฉินซีในหมู่เมฆตอนนั้น เฉินซีในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมราวสองเท่า ดูราวกับเป็นคนละคน!
“หือ?” ฉิวจวินเผยสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ อีกฝ่ายสามารถรอดพ้นการลอบสังหารของรัตติกาลไปได้ก่อนที่จะมีพลังมากขนาดนี้ เช่นนั้นตอนนี้เขาก็น่ากลัวกว่าเดิมอย่างนั้นหรือ?
“เจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าจะจัดการเขาได้?” ฉิวจวินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามช้า ๆ แต่ในใจกลับคิดว่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เฉินซีทำอย่างไรความแข็งแกร่งถึงได้พุ่งสูงขึ้นมากเช่นนี้ได้?
หรือว่าจะขัดเกลาและดูดกลืนชิ้นส่วนมหาเต๋าทั้งหมดที่ได้มาแล้วอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉิวจวินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับการคาดเดาของตนเอง เพราะมันเหลือเชื่อเกินไป มันคือชิ้นส่วนมหาเต๋าห้าชิ้นเชียวนะ จะสามารถหลอมและดูดกลืนมันภายในระยะเวลาไม่กี่วันได้อย่างไร?
ไม่ต้องกล่าวถึงเขา กระทั่งตัวตนยิ่งใหญ่อย่างคนขอบเขตเซียนปฐพียังทำได้ยากเลย!
ฉิวจวินมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ เมื่อตอนที่อีกฝ่ายได้ชิงชิ้นส่วนมหาเต๋าไป เขาทำเพียงสะบัดมือก็เอามันไปได้อย่างง่ายดาย หรืออีกฝ่ายจะมีสมบัติใดที่สามารถยับยั้งชิ้นส่วนมหาเต๋าเหล่านั้นได้กันนะ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาเหม่อไปเล็กน้อย เป็นจังหวะนั้นเองที่รัตติกาลตอบคำถาม “หากฉวยโอกาสตอนที่เขาเหนื่อยล้าแล้วซัดการโจมตีเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัว ข้าก็มั่นใจได้สักเจ็ดในสิบส่วน” เจ้าตัวพูดตอบด้วยเสียงสงบ มันฟังดูเยือกเย็นและไร้อารมณ์เหมือนเคย
ประโยคนี้เป็นประโยคเดียวที่เขาได้ยินอีกฝ่ายพูดยาวที่สุดนับตั้งแต่ที่รู้จักกันมา นอกจากจะทำให้เขาตกใจได้แล้ว ยังตกตะลึงอยู่ภายในใจอีกด้วย
‘ในเมื่อเฉินซีอ่อนล้าแล้ว รัตติกาลกลับมีความมั่นใจเพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนเองหรือ? ดูท่าข้าคงประมาทคนผู้นี้ไม่ได้แล้ว!’
ฉิวจวินหรี่ตาลง นัยน์ตาทอประกายแสงคล้ายคมดาบ เขาได้มองเฉินซีเป็นศัตรูฝีมือฉกาจไปแล้ว ไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายและประมาทเลินเล่ออีกต่อไป
เช่นเดียวกับรัตติกาล เขากำลังรอจังหวะที่เฉินซีเหนื่อยล้าเพื่อเข้าไปจับตัวอีกฝ่ายได้ในคราวเดียว!
ตู้ม!
เฉินซีเงื้อมือขึ้น ส่งผลให้อักขระยันต์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซัดร่างของผู้บ่มเพาะทั้งหลายที่กำลังเหินร่างอยู่ จากนั้นก็หันมาอีกด้านแล้วเคลื่อนตัวออกไปอย่างไร้ลังเล
ทว่าในตอนนั้นเองที่มีคนพลันตะโกนขึ้นมาว่า “เฉินซี คืนกระดูกต้นกำเนิดของเผ่าข้ามาเสีย แล้วเราจะจากไปทันที!”
เฉินซีหันไปก็พบกับกลุ่มผู้บ่มเพาะผู้ครอบครองกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม ซึ่งกำลังล้อมเขาเข้ามาแล้ว ทุกคนล้วนมีพลังพลุ่งพล่าน มีฝีมือน่าเกรงขาม ผิวกายที่โผล่พ้นชุดมีแสงสีแดงชั้นหนึ่งเคลือบไว้
‘นี่คือกลุ่มคนจากเผ่าในยุคบรรพกาล หากข้าจำไม่ผิด น่าจะมาจากเผ่าหยาจื้อ’
ชั่วพริบตาเดียว เขาก็จำอสูรดุร้ายหยาจื้อที่เห็นอยู่บนดาวในหมู่เมฆก่อนหน้านี้ได้ กระบี่แดงดั่งโลหิต และกระดูกต้นกำเนิดของหยาจื้อ
“หึ! กระดูกต้นกำเนิดอันใดกัน? หากยังไม่อยากตายก็ไสหัวไปเสีย!” เฉินซีคำรามขู่เสียงเย็น พร้อมกับดึงกระบี่เปื้อนเลือดออกมาซัดออกไปอย่างไร้ลังเล