บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 672 ฟื้นฟูร่างกายด้วยเหล้าทิพย์
บทที่ 672 ฟื้นฟูร่างกายด้วยเหล้าทิพย์
ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ ฟิ้ว~
สายลมกระโชกอันเยียบเย็นดุจคมมีด พัดผ่านผืนดินที่ดำสนิทและแข็งกระด้าง จนเกิดเสียงหวีดหวิวที่ฟังดูเหมือนเสียงคร่ำครวญของเหล่าภูตผีปีศาจ ไม่ว่าจะภูเขา ผืนดินหรือท้องฟ้า…ล้วนเป็นสีดำสนิท
บนท้องฟ้ามีลำแสงแปลกประประหลาดวูบวาบอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งดูเหมือนกับประกายกระบี่ที่พุ่งผ่านความมืดมิดและหายวับไปในชั่วพริบตา
มันเป็นสถานที่แปลกประหลาดซึ่งแห้งแล้งโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าไม่มีพลังชีวิตอยู่เลย มันทั้งเงียบสนิทและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไม่มีใครเหมือน
ครืน! โครม!
เมื่อสายลมที่เย็นเสียดแทงพัดผ่านโขดหิน มันพลันบังเกิดเป็นเสียงเคร้งคร้างราวกับคมมีดปะทะกัน และดังก้องอยู่ในบรรยากาศที่เงียบสนิทเช่นนี้ ถึงกับทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
โครม!
ทันใดนั้น ร่างสีดำก็กระแทกกับผืนดินอย่างรุนแรง ราวกับว่าวที่สายป่านขาด ทำให้ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปทั่ว
เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และเลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าที่หล่อเหลาและแน่วแน่ของชายหนุ่มซีดเผือดจนแทบจะโปร่งแสงในเวลานี้ และตัวคนก็นั่งหอบหายใจอยู่บนผืนดิน
ร่างนี้ย่อมคือเฉินซี ผู้หลบหนีจากเงื้อมมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างหวุดหวิด!
ในเวลานี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ พลังชีวิตก็อ่อนแอลงและแทบจะปั่นป่วน เขาเหมือนกับคนบาดเจ็บปางตาย และแม้แต่สัตว์ร้ายธรรมดาทั่วไปก็สามารถคร่าชีวิตของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย
“ไม่นึกเลยว่า การโจมตีอย่างกะทันของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ ขนาดตอนนี้ข้าสามารถใช้พลังต่อสู้ได้ถึงหกเท่า ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”
เฉินซีหอบหายใจอย่างหนัก และรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ เพราะในอดีตที่ผ่านมา เขาเคยพบเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมามากมาย หรือแม้แต่ตัวตนอย่างเซียนสวรรค์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี
ประสบการณ์เฉียดตายเช่นนี้ ทำให้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างขอบเขตสถิตกายากับขอบเขตเซียนปฐพีอย่างลึกซึ้ง ซึ่งมันแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว!
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพุ่งเข้าประตูทองสัมฤทธิ์และหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด ผลที่ตามมาก็คงยากจะคาดเดา
“อย่าได้กังวล เพื่อผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลแล้ว ข้าจะไม่นิ่งดูดายและปล่อยเจ้าให้ตายอย่างแน่นอน” หม้อใบจิ๋วกล่าว ถึงแม้มันจะมีขนาดเพียงหนึ่งชุ่นและดูเหมือนจะแกะสลักจากหยกทั้งหมด แต่เมื่อห้อยที่อยู่คอของเฉินซี มันก็ให้ความรู้สึกที่ดูลึกลับมาก
“แล้วเหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ลงมือก่อนหน้านี้เล่า” เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น และเป็นการยากที่เขาจะก่นด่าใส่หม้อใบจิ๋ว
“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี จะช่วยให้เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพลังของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และนี่เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่คนธรรมดายากจะได้รับ”
จากนั้นมันจึงกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าควรรีบฟื้นฟูร่างกายเป็นการด่วน เพราะสถานที่แห่งนี้คือพื้นที่หลักของพระราชวังแห่งการรังสรรค์ และข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนอันตรายมากมายนัก”
เฉินซีรู้สึกหวั่นวิตกอยู่ในใจและไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขานั่งลงกับพื้น จากนั้นจึงหายใจเข้าออก แล้วค่อย ๆ โคจรแดนฮุ่นตุ้นเพื่อเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บด้วยพลังทั้งหมดที่มี
“เจ้าไม่ได้คว้าหม้อหยกนั่นมาหรอกหรือ? ดื่มเหล้าที่อยู่ในนั้นซะ แล้วเจ้าจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว” หม้อใบจิ๋วอดไม่ได้ที่จะชี้แนะ
“หม้อหยกหรือ?” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ และรีบหยิบหม้อหยกที่คว้ามาจากห้องโถงก่อนหน้านี้ทันที หม้อหยกใบนี้ดูคล้ายกับแกะสลักขึ้นมาจากหยก มันสว่างไสวไปด้วยปราณวิญญาณและส่องประกายแสงแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานที่แผ่กำจายไปทั่วทั้งกระดูก
ภาพที่น่าตกตะลึงนี้ทำให้ผู้ใดก็รับรู้ได้ว่า เหล้าที่อยู่ภายในหม้อหยกนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และบางทีมันอาจเป็นเหล้าทิพย์ที่บ่มโดยเซียนผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาลก็เป็นได้!
เฉินซียื่นมือออกไปเปิดหม้อ ภายในนั้นมีเพียงชั้นเหล้าที่เข้มข้นมาก และดูเหมือนมันจะผ่านการตกตะกอนมานานแสนนาน ทำให้ของเหลวกลายเป็นผลึกเหมือนอำพัน ซึ่งส่งกลิ่นหอมที่ทำให้วิญญาณมึนเมาออกมา
เพียงแค่มันกระเพื่อมครั้งเดียวก็ทำให้เฉินซีรู้สึกว่า ทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กระดูกและเส้นเลือดของเขา ดูจะตื่นขึ้นจากการจำศีลอันยาวนาน มันเริ่มโห่ร้อง เต็มไปด้วยความโหยหา และกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้แต่จิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย และมันให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างสุดจะพรรณนายิ่งนัก!
“นี่ไม่ใช่เหล้าธรรมดา ถ้าข้าจำไม่ผิด มันถูกกลั่นขึ้นมาจากโอสถวิญญาณหลากหลายชนิด อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมล้ำค่าที่สามารถพบได้ในยุคบรรพกาลเท่านั้น ทำให้มูลค่าของมันมิอาจประเมินได้ และมันก็ไม่ด้อยไปกว่าโอสถเซียนเก้าจุติ ซึ่งเป็นโอสถทิพย์ที่สามารถนำผู้คนกลับมาจากความตาย …ดังนั้นแล้วหากมันปรากฏขึ้นในโลกแม้แค่จอกเดียว เพียงเท่านั้นก็พอจะทำให้ผู้คนต้องต่อสู้แลกชีวิตเพื่อให้ได้มันมาในครอบครอง!”
จากนั้นหม้อใบจิ๋วก็กล่าวเตือนว่า “แค่จิบมันเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว อย่าได้เสียเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้าและหยิบถ้วยหยกออกมา ก่อนที่จะเทลงไปในจอกเล็กน้อยและกลืนมันในคราวเดียว
ครืนน!
กลิ่นหอมหวานหลากหลายต่างฟุ้งขึ้นมา ทันทีที่เฉินซีกลืนมันเข้าไป กระแสอบอุ่นแลสดชื่นก็ไหลไปทั่วร่างกายราวกับมังกรกำลังโผทะยานอยู่ภายในร่างของเฉินซี ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำไปหมด ในขณะที่เขารู้สึกวิงเวียนและมึนเมามาก และในขณะที่หายใจเข้าออกนั้นเอง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ก็ส่องประกายออกมา
“รีบปิดปากหม้อซะ อย่าให้ฤทธิ์ยารั่วไหลออกมา” หม้อใบจิ๋วรีบกล่าวเตือน
เฉินซีผนึกประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาทันที ก่อนที่จะสร่างเมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงปิดผนึกหม้อหยก ก่อนจะวางไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์พร้อมกับถ้วยหยกอย่างระมัดระวัง
นี่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป แค่สูดกลิ่นของมัน ก็อาจทำให้สลบและตกอยู่ในสภาพไร้สติได้
แม้เฉินซีจะจิบมันเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เตรียมตัวมา ร่างกายของพวกเขาคงจะถูกบดขยี้จากฤทธิ์ยาที่รุนแรง และคงจะสลบกองกับพื้น ทำให้ฤทธิ์ยานั่นเสียเปล่า
แต่โชคดีที่ร่างกายของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งพอ กอปรกับเขาได้รับคำแนะนำจากหม้อใบจิ๋วมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นเช่นนั้น
ฟุ่บ!
ในเวลาไม่นาน ร่างที่เกือบพังทลายของเฉินซีก็ถูกกระแสพลังอบอุ่นอันน่าอัศจรรย์ห่อหุ้มไว้ มันกำลังรักษาและฟื้นฟูด้วยความเร็วที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา อาการบาดเจ็บทั่วร่างกายของเฉินซีก็หายเป็นปลิดทิ้ง หากฉู่จิ่งผู้เป็นเซียนปฐพีที่ทำร้ายชายหนุ่มได้เห็นภาพนี้เข้า เจ้าตัวจะต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน!
ในชั่วพริบตาต่อมา ได้เกิดเสียงดังกึกก้องออกมาจากร่างของเฉินซี และปะทุแสงเจิดจ้าซึ่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายชีวิต จากนั้นร่างกายของเขาก็กลายเป็นผลึกแก้วโปร่งใส เลือดของชายหนุ่มดูราวกับกำลังลุกไหม้และเดือดพล่าน การขัดเกลากายาของเขาเองก็เกือบจะทะลวงไปถึงขอบเขตสถิตกายาแล้ว!
เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของเฉินซีพลันเปลี่ยนเป็นตกใจทันที และรีบหยุดมันอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทะลวงขอบเขต เพราะถึงอย่างไร นี่คือพื้นที่หลักของพระราชวังแห่งการรังสรรค์ …และมันก็เต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย!
น่าเสียดายที่ฤทธิ์ยาของเหล้าจอกนี้รุนแรงเกินไป หลังจากมันรักษาอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย และทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องโคจรพลังในร่างกายทั้งหมดเพื่อระงับมัน
ในที่สุด มวลพลังที่ลุกพรึ่บก็ถูกชายหนุ่มระงับได้และหดตัวจนเหมือนกับลูกบอล จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เทมันเข้าไปในร่างกาย และปิดผนึกมันชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้มันกระจายออกไป
“เหล้าทิพย์นี้สมกับเป็นสมบัติจากฟากฟ้าที่ไม่อาจจินตนาการได้ มันไม่เหมือนกับสิ่งที่ควรมีอยู่ในภพมนุษย์ด้วยซ้ำ!” ทันใดนั้น จู่ ๆ เฉินซีก็เบิกตาโพลง ดวงตาอันเป็นประกายลึกล้ำเผยแววสดใส และน้ำเสียงของเขาก็แสดงถึงความชื่นชม
เมื่อก่อน เฉินซีกังวลอยู่เสมอว่า เมื่อใดที่การขัดเกลากายาของเขาจะทะลวงสู่ขอบเขตสถิตกายา เพราะไม่ว่าอย่างไร การขัดเกลากายาก็ไม่เหมือนกับการบ่มเพาะปราณแท้ ทุกขั้นตอนนั้นยากเย็นและคลุมเครืออย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น การบรรลุจากขอบเขตจุติไปสู่ขอบเขตสถิตกายาก็เป็นการทะลวงข้ามผ่านขอบเขต ทำให้มันยากยิ่งกว่า และไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่หมายปีนภูเขาด้วยมือเปล่า
แต่หลังจากได้จิบเหล้าทิพย์ที่อยู่ในหม้อหยกใบนี้ เขาก็เห็นความหวังที่จะบรรลุในทันที ชายหนุ่มถึงกับเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ตราบใดที่เขาสามารถหาสถานที่ปลอดภัยและดื่มเหล้าทิพย์มากขึ้น มันก็รับประกันได้ว่า การขัดเกลากายาของเขาจะบรรลุไปสู่ขอบเขตสถิตกายาได้อย่างแน่นอน!
“ไปกันเถอะ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของด่านแห่งความลึกล้ำแล้ว และมันจะเปิดในอีกสองชั่วยามจากนี้” หม้อใบจิ๋วกล่าว ในขณะนี้… น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เฉินซีได้สติจากภวังค์ทันที และลุกยืนขึ้น สีหน้าของเขาพลันจริงจังขึ้นมาก
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า ผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลนั้นจะต้องซ่อนอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำ ซึ่งในระหว่างที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าเพื่อค้นหามัน ก็มีโอกาสสูงที่จะได้พบกับผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านั้น!
แต่เพราะมีหม้อใบจิ๋วอยู่ด้วย เขาจึงไม่รู้สึกกังวลต่อสิ่งใด
ภายใต้คำแนะนำของหม้อใบจิ๋ว ในไม่ช้า เฉินซีก็พุ่งตรงไปยังบริเวณพื้นที่ด้านในทันที
ลมหนาวเย็นที่พัดพาทำให้เกิดเสียงหวีดหวิว ภูเขาและผืนดินที่มีสีดำสนิทเผยความแข็งกระด้างอย่างชัดเจน... ทุกอย่างว่างเปล่าราวกับไร้พลังชีวิต และแม้แต่อากาศก็ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารที่เย็นยะเยือก
นี่คือพื้นที่หลักของพระราชวังแห่งการรังสรรค์ ว่ากันว่ามรดกของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่จากยุคบรรพกาล ได้ซุกซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสักคนที่ได้มันไป!
แม้แต่ปราชญ์ที่สร้างความตกตะลึงไปทั้งสามภพก็ยังมาที่แห่งนี้ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวในโลกหล้าอีกเลย ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความลี้ลับและภยันอันตราย
โดยปกติแล้ว เฉินซีย่อมไม่กล้าประมาทและระวังตัวอย่างเต็มที่ขณะที่บินไปข้างหน้า แต่ระหว่างทาง เขากลับไม่พบอันตรายใด ๆ
มันไม่มีกับดักที่ร้ายแรงถึงชีวิต ไม่มีค่ายกลทำลายล้าง และไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต มันเงียบสงัดราวกับว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้
ความเงียบที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาระแวดระวังมากขึ้นอีกด้วย เพราะยิ่งมีสิ่งมีชีวิตที่อันตรายมากเพียงใด ก็ยิ่งสังเกตได้ยากมากขึ้นเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็พบว่า แสงประหลาดหลายดวงกำลังกะพริบถี่ ๆ อยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท และพวกมันก็เหมือนกับประกายกระบี่!
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นอีกว่า สถานที่ที่แสงประหลาดเหล่านั้นหายไปและมุ่งไปคือทิศทางเดียวกัน ซึ่งได้ให้ความรู้สึกราวกับ ‘แม่น้ำร้อยสายต่างไหลสู่มหาสมุทร กระบี่นับหมื่นหวนคืนสู่ฝัก’ อย่างไรอย่างนั้น
และที่น่าตกใจที่สุดคือ ทิศทางที่ลำแสงเหล่านั้นมุ่งไป มันคือทิศทางที่เขากำลังมุ่งไปในตอนนี้!!!
“ช่างแปลกยิ่งนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนถึงอะไรบางอย่าง?”
เฉินซีขมวดคิ้ว หลังจากเห็นฉากนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกราง ๆ ว่าตนเองกำลังมุ่งไปยังสถานที่ที่อันตรายมาก!
ในตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะบินผ่านภูเขาสีดำสนิทลูกนี้ หม้อใบจิ๋วก็พลันร้องเตือนขึ้นมาทันทีว่า “ระวัง มีค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ข้างหน้า และหากสัมผัสกับมันเข้า …ย่อมหมายถึงความตายอย่างแน่นอน!”
“ค่ายกลหรือ?” เฉินซีหรี่ตาลงและหยุดทันที ก่อนจะร่อนลงไปที่ภูเขาสีดำสนิทอย่างระมัดระวัง
เมื่อชายหนุ่มมองข้ามไปและเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของภูเขาอย่างชัดเจน หัวใจของก็เขาสั่นสะท้าน และอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
บริเวณด้านหลังภูเขาสีดำสนิทเป็นที่ราบกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต พื้นดินเป็นสีดำสนิทและแข็ง ส่องประกายเยียบเย็น และมีต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ที่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าอยู่ตรงใจกลางของที่ราบ!
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าและดูราวกับค้ำจุนสวรรค์อยู่ มันมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร ทุกกิ่งก็ดูเหมือนสะพานที่ทอดยาวผ่านฟ้าดิน มันทั้งยิ่งใหญ่และตระการตามาก
แต่ส่วนที่น่าตกใจก็คือ กิ่งก้านของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ว่างเปล่าเป็นสีดำไหม้เกรียม และพื้นผิวของกิ่งเหล่านี้ยังปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นที่ดูคล้ายหุบเหว รอยแผลเป็นเหล่านี้ขยายตัวออกไปทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ส่วนกิ่งไม้ก็ดูเหมือนว่าจะถูกขวานสับ
“นี่… คงไม่ใช่เปลือกที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬทิ้งไว้ หลังจากที่มันตายลงในยุคบรรพกาลใช่หรือไม่!?”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในใจ แม้ว่าจะมองมันจากที่ห่างไกล แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่า บริเวณโดยรอบของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีสนามพลังที่ไร้รูปร่างซึ่งปกคลุมฟ้าดินอันกว้างใหญ่ และมันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ราวกับว่าหากใครก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณนี้ คนผู้นั้นก็จะพบกับหายนะ!