บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 673 จักรพรรดิมดทองคำ
บทที่ 673 จักรพรรดิมดทองคำ
บริเวณแห่งนี้ดูเหมือนกับเป็นจุดสิ้นสุดของพระราชวังแห่งการรังสรรค์
แม้ว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นจะไหม้เกรียม มีรอยกะดำกะด่างและเสียหาย แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่ดูแคลนสรรพชีวิตในโลกและยืนหยัดไปชั่วนิรันดร์
…เพียงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมา ก็มากพอที่จะก่อตัวเป็นค่ายกลอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งปกคลุมทุกซอกทุกมุมภายในบริเวณนี้ และดูเหมือนว่าหากผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว คนผู้นั้นจะต้องประสบกับหายนะ!
“ช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เสียจริง! แม้เจ้าจะร่วงโรยไปนานแสนนาน แต่เจ้าก็ไม่คิดที่จะดับสูญและยังคงตั้งตระหง่านอยู่จวบจนทุกวันนี้ ถ้ามิใช่เพราะทั้งสามภพจะเกิดหายนะ บางทีเจ้าอาจยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาเต๋าอย่างภาคภูมิใจไปแล้วกระมัง?” นี่เป็นครั้งแรกที่หม้อใบจิ๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ผู้อาวุโส ด้วยวิธีนี้ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่นคือเปลือกที่เหลือทิ้งไว้เมื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬร่วงโรยอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีตกใจและถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง แต่น่าเสียดาย ความลึกล้ำที่ประทับอยู่บนนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นสรรพสิ่งที่อยู่ในเหวเงาทมิฬนี้แล้ว และเพียงเปลือกที่เจ้าเห็นอยู่นี้ ก็มากพอแล้วที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายที่สั่นสะเทือนไปทั้งสามภพอย่างไม่รู้จบ”
หม้อใบจิ๋วหยุดไปชั่วขณะและกล่าวต่อ “หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ด่านแห่งความลึกล้ำจะปรากฏที่ยอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในไม่ช้า แต่เจ้ามีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวค่ายกลที่อยู่ในบริเวณนี้ แต่เจ้าต้องระวัง เพราะมีคนมากมายได้มาถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว และพวกเขากำลังต่อสู้กับจักรพรรดิมด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้าน จากนั้นจึงใช้เนตรเทวะแห่งความจริงมองไปรอบ ๆ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นร่างที่ทรงพลังนับสิบกำลังทะยานไปมาอยู่บนต้นไม้สูงตระหง่าน และร่างกายของพวกเขาก็ปกคลุมไปด้วยปราณเซียน ทำให้พวกเขาเผยความห้าวหาญในการต่อสู้อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมา
เห็นได้ชัดว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจากกองกำลังต่าง ๆ และเฉินซีก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองคนในหมู่พวกเขา ซึ่งก็คือบรรพบุรุษหลิงหยาแห่งหอกระบี่สยบดวงใจ และเฟิงเสวียนจื่อจากนิกายฟ้ากำเนิด
ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยพบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสองคนนี้ เมื่อครั้งที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ในเวลานั้น บรรพบุรุษหลิงหยาเกือบจะลงมือกับเขา เพราะตัวชายหนุ่มได้ฆ่าล้างศิษย์ของตระกูลซาง
ในขณะที่คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือ มดศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่ทั้งตัวดูจะสร้างขึ้นจากทองคำ!
มดศักดิ์สิทธิ์สีทองมีความยาวราวสิบสองฉื่อ มีร่างกายที่แข็งแกร่งและทรงพลัง อีกทั้งยังอาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีทอง ทำให้พวกมันแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา และนอกจากสีของพวกมันแล้ว พวกมันก็คล้ายกับมดกลืนกินเทพบรรพกาลที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ทุกประการ
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความแข็งแกร่งของพวกมัน ดูเหมือนพวกมันจะเข้าใจเจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัว จึงทำให้ร่างกายของพวกมันส่งเสียงดังครืน ๆ ไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง ในขณะที่แสงเซียนก็พลุ่งพล่านอยู่รอบตัว และพวกมันแต่ละตัวก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าเซียนปฐพี!
จักรพรรดิมด!
พวกมันสมควรเป็นจักรพรรดิในหมู่มดกลืนกินเทพบรรพกาล ความแข็งแกร่งที่ดุร้ายดังกล่าวก็เพียงพอที่จะคู่ควรกับฉายานี้
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายรุนแรงมาก แม้แต่เฉินซีก็ยังรู้สึกเสียววาบที่หนังศีรษะ และหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบหลังจากที่เห็นการต่อสู้ หากสิ่งนี้อยู่ในโลกภายนอก มันก็เพียงพอที่จะทำลายเมืองใหญ่ไปมากมาย และเป็นเพราะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสนามพลังค่ายกลที่คอยยับยั้งพลังทำลายล้างทั้งหมด มันจึงไม่เกิดผลกระทบต่อโลกภายนอก
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาต้องการเข้าไปยังด่านแห่งความลึกล้ำด้วย?” เฉินซีถามทันที
“นอกจากด่านแห่งความลึกล้ำแล้ว ยังมีมรดกของสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการยกย่องจากยุคบรรพกาลอีกด้วย” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ “ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ทุกคนล้วนเชื่อว่า เสื้อคลุมของผู้เยี่ยมยุทธ์จะต้องซ่อนอยู่บนต้นไม้นี้ แต่ไม่มีใครที่ค้นพบมันสักคน”
“ด่านแห่งความลึกล้ำ เสื้อคลุมของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สูงส่ง… ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้จะกล้าเสี่ยงชีวิตและมาที่นี่ ทั้งที่กลียุคของทั้งสามภพนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เสน่ห์เย้ายวนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ และรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เพราะหากด่านแห่งความลึกล้ำได้ปรากฏขึ้นที่ยอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ และถ้าเขาต้องการเข้าสู่ด่านแห่งความลึกล้ำ ชายหนุ่มก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น… แม้แต่จักรพรรดิมดที่มีอยู่มากมายก็เป็นปัญหาใหญ่!
ส่วนเสื้อคลุมที่เป็นมรดกของสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์จากยุคบรรพกาล เขาไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน แม้แต่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังหาไม่พบ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขา
“อย่าได้กังวล ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่นถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอย่างแน่นหนา ทุกครั้งที่ก้าวไปข้างหน้า จะต้องเผชิญกับแรงกดดันและการโจมตีในระดับต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้น การจะขึ้นไปถึงยอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับพวกเขา และเมื่อรวมกับการขัดขวางของจักรพรรดิมดเหล่านั้น พวกเขาอาจถูกบดขยี้และสิ้นชีวิตได้”
หม้อใบจิ๋วกล่าวอย่างใจเย็น “แต่เจ้านั้นแตกต่างออกไป เจ้ามีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ ดังนั้นค่ายกลเหล่านั้นจึงไร้ประโยชน์ เจ้าเพียงแค่ต้องระวังผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีและจักรพรรดิมดเท่านั้น”
เฉินซีได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น เพราะหม้อใบจิ๋วกล่าวเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมดหรือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเซียนปฐพี แต่ไม่ว่าจะเป็นใครในหมู่พวกเขาก็ตาม ย่อมไม่ใช่คนที่ชายหนุ่มสามารถสู้ได้อย่างแน่นอน...
“ข้าจะช่วยเจ้าถ้าจำเป็น” ในที่สุด หม้อใบจิ๋วก็ให้คำตอบที่ทำให้ชายหนุ่มสบายใจ
“เอ่อ ข้าคงไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อแลกกับการช่วยเหลือของท่านใช่หรือไม่?” เฉินซีเกาศีรษะขณะที่เอ่ยถามออกไป เพราะเขายังจำได้ว่า เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มันช่วยเหลือเป็นการแลกเปลี่ยน
“ไม่จำเป็น ตราบใดที่เราได้รับผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหล มันก็เพียงพอแล้ว” หม้อใบจิ๋วตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว และไม่ได้ยื่นคำขอใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเขาได้รับต้นอ่อนเงาทมิฬจากมันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดทางที่ผ่านมา เป็นเพราะคำแนะนำของหม้อใบจิ๋วที่ทำให้เขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ ถึงแม้มันจะไม่ใส่ใจ แต่ชายหนุ่มจะไม่รู้สึกสำนึกได้อย่างไร?
ในไม่ช้า เฉินซีก็รวบรวมสติกลับมา และกระจายกลิ่นอายของต้นอ่อนเงาทมิฬ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนที่ราบที่อยู่ไกลออกไป
ฟิ้ว!
ตามที่เขาคาดไว้ บางสิ่งที่ก่อตัวขึ้นจากจิตวิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬอย่างต้นอ่อนเงาทมิฬ… นั้นน่าอัศจรรย์และไม่ธรรมดา ค่ายกลที่ปกคลุมอยู่ในบริเวณโดยรอบชั้นแล้วชั้นเล่า ต่างก็เคลื่อนตัวออกไปทันทีที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมัน และเปิดเส้นทางให้กับเฉินซี
ชายหนุ่มโบยบินไปในเส้นทางนี้ ราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่บนพื้นที่ราบเรียบ และไม่ประสบกับสิ่งกีดขวางหรืออันตรายใด ๆ
เฉินซียังสังเกตเห็นอีกว่า พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้เต็มไปด้วยกระดูก และเศษสมบัติวิเศษที่กองอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดทางที่ผ่านมา
เศษกระดูกบางชิ้นยาวถึงร้อยยี่สิบจั้ง มีรอยกะดำกะด่างและไม่มันวาว ถึงแม้พวกมันจะถูกกาลเวลากัดกร่อนมาอย่างยาวนาน แต่กลับไม่กลายเป็นธุลีที่ถูกลมพัดปลิวไป ทำให้พวกมันดูผิดปกติเป็นอย่างมาก
“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! สิ่งของเหล่านี้คงเป็นของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตายตกตั้งแต่สมัยโบราณกระมัง” เฉินซีจ้องมองโครงกระดูกและเศษสมบัติวิเศษที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้น ซึ่งดูเหมือนกับเหตุการณ์ที่น่าระทึกขวัญและน่าสังเวชมากมาย ได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของเขา
ในอดีต เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต้องประสบกับความยากลำบากมากมายกว่าจะมาถึงที่นี่ เมื่อได้เห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตำนานเล่าขานว่ามีเสื้อคลุมของสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ซุกซ่อนอยู่ พวกเขาต่างรู้สึกตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่ได้และคิดว่านี่เป็นความกรุณาจากสวรรค์ อีกทั้งยังรู้สึกราวกับประสบกับโชคก้อนโตที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่มีโชคก้อนโตอย่างที่พวกเขาคิด แต่กลับเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง และก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้มัน พวกเขาก็ถูกค่ายกลที่ปกคลุมอยู่จัดการ!
พวกเขาคงต่างร้องโหยหวนด้วยความเศร้าโศก ต่อสู้ดิ้นรนขัดขืน และรู้สึกเสียใจ… แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดชีวิตและต้องทอดร่างทิ้งไว้ กลายเป็นกองกระดูกที่ประดับประดาไปทั่วจนเหมือนกับสุสานที่เต็มไปด้วยกระดูกอยู่มากมาย
“นับตั้งแต่สมัยโบราณ จะมีสักคนที่คว้าทั้งโชคลาภและสมบัติได้ และจะมีใครจดจำได้บ้างว่า มีคนที่เอาชีวิตมาทิ้งไปมากมายเพียงใด?” เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ และเขาก็รู้สึกลึก ๆ ว่าเส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพราะจะต้องสู้กับสวรรค์ สู้กับผู้คน หรือแม้แต่สู้กับตัวเอง ต้องผ่านคืนวันแห่งการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แล้วจะมีสักคนที่สามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้กัน?
…
ในเวลาไม่นาน เฉินซีได้มาถึงใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่างเงียบ ๆ และเริ่มปีนขึ้นไป
เบื้องหน้าเขามีค่ายกลหนาแน่นอยู่นับไม่ถ้วน มันทับซ้อนกันและปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของใครก็ตามต้องซีดเซียว
ซึ่งหากเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดาที่ก้าวเข้าไป พวกเขาจะถูกบดขยี้จนตายทันที และไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใด ค่ายกลก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเท่านั้น และไม่ต้องกล่าวถึงทางลัด เพราะไม่มีแม้แต่ช่องว่าง ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่พึ่งพาพลังของตัวเองและก้าวขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่างแข็งขัน
ฟุ่บ!
อย่างไรก็ตาม ค่ายกลเหล่านี้ซึ่งท่วมท้นไปด้วยจิตสังหารในสายตาของผู้อื่นกลับไม่ส่งผลใดต่อเฉินซี และในขณะที่เขาถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของต้นอ่อนเงาทมิฬ ชายหนุ่มก็เหมือนกับมัจฉาที่ดำดิ่งลงสู่ห้วงทะเลลึก ทุกที่ที่เขาผ่านไป ชั้นของค่ายกลก็ดูเหมือนกับมีเพียงชื่อเท่านั้น และไม่อาจส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เฉินซีเคลื่อนไหวราวกับกำลังเดินอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบ และมันก็ง่ายดายนัก
แต่ชายหนุ่มไม่กล้าประมาท และสะกดกลิ่นอายของเขาอย่างระมัดระวัง ในขณะที่เข้าใกล้ยอดยอดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้เปรียบเสมือนกับภูเขาเสียดฟ้า เมื่อเดินอยู่ภายในนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนมดที่กำลังคลานอยู่บนสะพานขนาดใหญ่ ซึ่งเล็กกระจ้อยร่อยจนแทบมองไม่เห็น…
ในทางกลับกัน การต่อสู้ที่รุนแรงและดุเดือดกำลังเกิดขึ้นที่ตรงกลางของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีกำลังต่อสู้กับจักรพรรดิมดจำนวนมาก ซึ่งระเบิดประกายแสงอย่างไร้ขอบเขตและสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ในตอนนี้เฉินซีไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่ายกลอีกต่อไป เขาเพียงกังวลต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีและจักรพรรดิมดเท่านั้น เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสังเกตเห็นเขาเข้าละก็ ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดาได้
แต่นับว่าโชคดีที่หม้อใบจิ๋วจะลงมือหากมันจำเป็น และมันทำให้เขาสบายใจขึ้นมาก ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ในเวลาปกติ ชายหนุ่มคงหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
เพราะเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับคนเหล่านั้น และการไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับแส่หาความตาย
ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็มาถึงตรงกลางของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิมดกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
ครืนน!
ปราณเซียนระเบิดเสียงดังก้องกังวาน ร่างที่ทรงพลังมากมายต่างสั่นไหวไปมา จักรพรรดิมดต่างคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในขณะที่เจตจำนงกระบี่ก็สั่นสะท้านบริเวณโดยรอบ
พวกเขาทั้งหมดต่างต่อสู้อย่างสิ้นหวัง และคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากสิ่งนี้ ก็ท่วมท้นบริเวณตอนกลางของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
หัวใจของชายหนุ่มบีบรัดแน่น และแทบจะหายใจไม่ออก คลื่นพลังนี้น่ากลัวเกินไป ถึงแม้ค่ายกลจะถูกกำจัดออกไปแล้วชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง
และสิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ พลังที่เกิดจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นน่าสะพรึงเกินไป จึงทำให้มันปิดกั้นเส้นทางของเขาโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า หากต้องการจะไปถึงจุดสูงสุดของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาจะต้องผ่านสนามรบนี้ไป!
“ข้าควรทำอย่างไรดี? หากปรากฏตัวในสนามรบ ข้าอาจจะถูกสังเกตเห็นในทันที…” เฉินซีซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลและขมวดคิ้วแน่น เขาลังเลเล็กน้อยว่าจะฝ่าเข้าไปโดยตรงดีหรือไม่?
“หืม?”
ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปหยิกที่หู และแท้จริงแล้ว มีมดตัวเล็กอยู่ในระหว่างนิ้วของชายหนุ่ม!
มันเป็นมดตัวเล็กธรรมดาที่มีสีดำเป็นมันเงา ไม่ต้องกล่าวถึงเขา แม้แต่เด็กก็สามารถทุบมันให้ตายได้ด้วยมือเปล่า
“แม้ว่ามดจะมีชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมาย แต่เจ้ากลับปรากฏตัวในที่ที่อันตรายเช่นนี้ เฮ้อ เจ้าช่างโง่เขลาและไร้ความกลัวอย่างแท้จริง แต่นับว่าโชคดีที่เจ้าได้เจอข้า…”
เฉินซีมองดูมดในมือและรู้สึกขบขันเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตนเองจะได้พบกับมดตัวเล็ก ๆ และอ่อนแอเช่นนี้ในสถานที่ที่น่าอัศจรรย์ และเป็นขอบสนามรบที่อันตรายยิ่ง
เฉินซีส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็วางเจ้าตัวเล็กลงบนพื้น และตั้งใจจะปล่อยมันไป ทว่าในชั่วพริบตาต่อมา ร่างกายของชายหนุ่มพลันกลายเป็นแข็งทื่อไป ใบหน้าเผยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ใช่แล้ว ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอยู่หลายชั้น และมันทำลายล้างสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามนับไม่ถ้วนมาตั้งแต่สมัยโบราณ แล้วมดตัวเล็กกลับไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร?