บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 676 วงกตมิติ
บทที่ 676 วงกตมิติ
มีสิ่งใดอยู่ภายในด่านแห่งความล้ำลึกกันแน่?
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองเข้ามาหาอะไรที่นี่?
เฉินซีไม่ทราบ เขารู้เพียงแต่ต้องทำตามที่หม้อใบจิ๋วคอยบอกไว้
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ขยับ เงาสายหนึ่งพลันแวบผ่านสายตาของชายหนุ่ม เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่รากจะชอนไชลงไปอีกครั้ง!
ลำต้นของมันเหยียดตรงเหมือนกระดูกสันหลังของจักรวาล กิ่งก้านสีเงินระยิบระยับเหมือนทางช้างเผือกพาดผ่านเอกภพ ใบไม้ทรงกลมส่องแสงเหมือนดวงดาวประดับบนกิ่งก้านจำนวนมหาศาลขณะที่สาดแสงสีเงินลงมาดั่งฝนโปรยปราย เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์และเหนือธรรมดานัก
ปัจจุบัน เฉินซีตระหนักแล้วว่านี่เป็นการปรากฏตัวของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในยุคบรรพกาล ทว่ามันเรียวบางและบริสุทธิ์ยิ่งกว่า ต้นไม้นี้มีความสูงเพียงแค่หนึ่งจั้ง ซึ่งดูไม่น่าจะมีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับภพเซียนเข้าด้วยกันได้เลย
ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นช่างอลังการและมาพร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หาตัวจับได้ยาก คล้ายมันได้ผนวกทุกสิ่งเข้าด้วยกันจนกลายเป็นกระดูกสันหลังแห่งจักรวาลเพียงหนึ่งเดียว ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้นไม้ต้นนี้รู้สึกด้อยทันที และไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากคุกเข่าบูชา
ทว่าเฉินซีทราบว่านี่เป็นเพียงเงามายาเท่านั้นไม่ใช่ของจริง เพราะก่อนหน้านั้นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้ทำลายต้นไม้ด้วยการสะบัดแขนเสื้อไปแล้ว ฉะนั้นเฉินซีจึงไม่จริงจังกับสิ่งนี้
“เก็บมันซะ!” หม้อใบจิ๋วพลันกล่าว
“อันใดนะ?” เฉินซีงงงัน “นี่เป็นเพียงเงาลวงเท่านั้น จะเก็บได้อย่างไร?”
“หากมีเงาย่อมมีของจริงอยู่ ไม่เช่นนั้น เงาจะมาจากที่แห่งใดกัน? ตั้งใจจดจ่อกับเสี้ยววิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬของเจ้า และเปิดสัมผัสทั้งห้าให้ดี ๆ บางทีเจ้าอาจจะได้รับแก่นแท้มหาเต๋าของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬมาก็เป็นได้ มันล้ำค่าเสียจนชิ้นส่วนมหาเต๋านั้นไม่มีมูลค่าเลยเมื่อเทียบกับมัน” หม้อใบจิ๋วอธิบายคร่าว ๆ
หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ จากนั้นเขาก็รีบโคจรแดนฮุ่นตุ้นเพื่อให้พลังแก่ต้นอ่อนเงาทมิฬ
ฉับพลันนั้น ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่า ต้นไม้ซึ่งอาบด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์นี้กำลังไชรากอยู่ในห้วงมิติที่อยู่ไกลห่างออกไป และมันก็มีรูปร่างคล้ายกับต้นไม้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขามาก
วิ้ง!
เวลาถัดไป เขาเริ่มรู้สึกถึงต้นอ่อนเงาทมิฬซึ่งทำให้มิติสั่นคลอนที่อยู่ภายในร่างกายของตน ก่อนที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในห้วงมิติลับจะพลันมาปรากฏตรงหน้าของเฉินซี!
…ต่างจากเงาที่เขาเคยเห็น ครานี้มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านใบทั้งหมดล้วนถูกหล่อเลี้ยงโดยท่วงทำนองแห่งเต๋า ซ้ำยังเห็นเส้นชีพจรได้อย่างชัดเจน และแม้แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็กว้างใหญ่ไพศาล!
“ช่างเป็นสมบัติที่ดีอะไรเยี่ยงนี้! ข้าสัมผัสได้ทั้งมหาเต๋าแห่งหยิน หยาง อัสนี วายุ และอีกมากมายอยู่ภายในนั้น!” เฉินซีอุทานด้วยความชื่นชมขณะที่ดวงตาลุกเป็นไฟ
หากกล่าวว่าชิ้นส่วนมหาเต๋าที่เขาได้จากอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬเป็นของล้ำค่าหนึ่งชิ้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าก็ถือว่าเป็นศูนย์รวมของล้ำค่าที่เปี่ยมด้วยชิ้นส่วนมหาเต๋ามากมาย มูลค่าของมันนั้นเหนือชิ้นส่วนมหาเต๋าที่หามาได้ทั้งหมดเสียอีก!
กล่าวตามตรงว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นชิ้นส่วนมหาเต๋าอีกต่อไป …แต่เป็นแก่นแท้ซึ่งมีความล้ำลึกแห่งเต๋าที่ยากหยั่งถึง หากนำมาสู่โลกภายนอก ผู้คนมากมายจะต้องฆ่ากันตายเพื่อมันอย่างแน่นอน
ตู้ม!
ทว่าเมื่อเฉินซีเอื้อมมือไปคว้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นที่โดยรอบกำลังสั่นคลอน ปราณอันน่ากลัวผ่าเข้าตัวชายหนุ่มราวกับสายฟ้าฟาด
ปราณนี้น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ มันทำให้เขารู้สึกกลัวจนขนหัวลุก และไม่กล้าลังเลที่จะหลบไปด้านข้าง
ทว่าต่างกับอดีต ท่วงท่าการหลบของเขาในครานี้แตกต่างออกไป ฝีเท้าของชายหนุ่มเคลื่อนไหวไปมาเหมือนงูกำลังเลื้อย โดยที่ความเร็วไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
โครม!
ศาสตร์เต๋าซึ่งบรรจุด้วยแสงสีครามระเบิด ณ จุดที่เขาเคยยืนอยู่ ทำให้คลื่นลมแผ่ออกไปรอบ ๆ พร้อมกับปล่อยคลื่นเหนือเสียงออกมา
เมื่อเฉินซีเห็นร่างของผู้ลอบทำร้ายชัดถนัดตา ใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันถมึงทึง สายตาที่จ้องเขม็งกลับกลายเป็นเย็นยะเยือก
“เหอะ! ไอ้เด็กนี่ คิดว่าของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะมีใครยอมแบ่งให้เจ้ากัน?” เสียงตะโกนดังก้อง ร่างสูงใหญ่นับสิบปรากฏตัวขึ้น พวกเขามองไปยังชายหนุ่มด้วยความเกลียดชังและเผยจิตสังหารออกมา
ที่แท้คนพวกนี้ก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มาจากกองกำลังทั้งหลายนั่นเอง!
เมื่อเผชิญกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีนับสิบคนในเวลาเดียวกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั่วไปคงจะกลัวจนหัวหดไปตั้งนานแล้ว และพยายามเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะขอบเขตทั้งสองนี้มีระดับแตกต่างกันมาก และการสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็ง่ายราวกับบี้มดสำหรับตัวตนเช่นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!!
ทว่าเฉินซีไม่ได้เผ่นหนี เขากลับแสดงสีหน้าเย็นชาไม่เกรงกลัวออกมา
“ทำไมเจ้าไม่หนีไปเล่า? กลัวจนสติแตกไปแล้วหรือไร? ครั้งนี้ไอ้มดจักรพรรดิอัปรีย์นั่นไม่มาช่วยเจ้าแล้วนะ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งแสยะยิ้มขณะจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังเฉินซีพลางกล่าวด้วยความเกลียดชัง
“เฉินซี?” บรรพบุรุษหลิงหยากับเฟิงเสวียนจื่อมองเพียงครู่เดียวก็จดจำอีกฝ่ายได้และตกตะลึงอย่างยิ่ง ตอนที่พวกเขาสู้กับมดจักรพรรดิก็รู้สึกคุ้น ๆ บ้างแล้ว และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือเฉินซี ชายหนุ่มที่พวกเขาพบเห็นในสมรภูมิบรรพกาล!
“ฮิฮิ! มีอะไรมากมายให้เจ้าสำรวจ แต่เจ้าก็ดันมาที่นี่ …วันนั้นเป็นเพราะอวิ๋นหลานเซิงเข้ามาขวาง เจ้าจึงรอดปลอดภัยจากหายนะมาได้ แต่ครานี้ ข้าล่ะอยากรู้นัก… ว่าใครจะมาช่วยเจ้าได้!” บรรพบุรุษหลิงหยาระลึกถึงเหตุการณ์ที่เหล่าศิษย์ตระกูลซางของตนถูกเฉินซีฆ่ายกหมู่ ทันใดนั้น เปลวเพลิงในใจของเขาก็พลันลุกโชน ทำให้ใบหน้าซูบตอบของชายชราเปลี่ยนไปจนดูน่ากลัวยิ่ง
เฟิงเสวียนจื่อเองก็กะพริบตาปริบ ๆ เช่นกัน ณ สมรภูมิบรรพกาลในวันนั้น เขาตั้งใจเมินเฉยต่อรายนามของเหล่าศิษย์ในราชวงศ์ซ่งระหว่างการประกาศรายชื่อ เพราะได้รับคำสั่งมาจากปิงซื่อเทียน
ทว่าตอนนี้ เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงจะไม่ตาย แต่ยังอยู่ครบสามสิบสอง และอยู่ดีขนาดที่ว่าแข็งแกร่งขึ้นกว่าวันนั้นหลายพันเท่านัก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน!
หลังจากนั้นจิตสังหารก็พรั่งพรูออกมาจากจิตใจของเฟิงเสวียนจื่อ ความบาดหมางเริ่มบังเกิด ด้วยหากเขาปล่อยให้เจ้าเด็กคนนี้เติบโตต่อไป มันก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ในวันข้างหน้า ฉะนั้นย่อมดีกว่าหากใช้โอกาสนี้กำจัดเฉินซีให้สิ้นซาก!
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเริ่มสังเกตเห็นท่าทีแปลก ๆ และจิตสังหารที่โจ่งแจ้งของทั้งสองคนนี้ ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่ง ทว่าก็ไม่มีใครซักถามแต่อย่างใด
อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่มดน้อยในขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น แม้จะรอดจากหายนะครั้งก่อนได้ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้แน่นอน!
บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความอาฆาตในทันทีทันใด กลิ่นอายแห่งจิตสังหารทำให้หัวใจของทุกคนแทบสั่นคลอน
ส่วนเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ก็พากันมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองมดตัวน้อยที่กำลังจะตาย มันเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ซ้ำยังมีความเย่อหยิ่งแฝงอยู่ในนั้น
ทว่าในเวลาสำคัญเช่นนี้ เฉินซีกลับหัวเราะซ้ำยังกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดีว่า “ไอ้แก่ ที่นี่คือด่านแห่งความลึกล้ำ และมันก็มีค่ายกลปกคลุมอยู่ทั่ว หากเดินพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจพาเจ้าไปไกลลิบแล้ว และเจ้าจะไม่มีหนีได้เลย ดังนั้นในฐานะที่พวกเจ้าทั้งหมดก็แก่หงำเหงือกกันแล้ว ดังนั้นอย่าหุนหันพลันแล่นทำตัวเป็นผู้น้อยเลย”
ไอ้แก่?
หงำเหงือก?
เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ร้ายกาจเช่นนี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ถลึงตาจนเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก ไอ้บัดซบนี่กล้ามาสบถคำใส่พวกเขาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ!?
นี่เด็กคนนี้กำลังมองหาความตายอยู่หรือไร?
ทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬจะมีใครกล้ามาต่อว่าพวกข้าเช่นนี้?
“ไอ้สารเลว! ตายซะ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนหนึ่งไม่อาจดับเพลิงโทสะในจิตใจได้ จู่ ๆ ก็ตะโกนออกมาและก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับยกแขนขึ้น ทำให้อัสนีเส้นใหญ่หนาผ่าตรงไปยังเฉินซี
ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ต่างเผยสีหน้าเย้ยหยันเมื่อเห็นคนผู้นั้นลงมือ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองดูการแสดงอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าในจังหวะถัดมา พวกเขาก็ต้องตัวแข็งทื่อราวเห็นผี เพราะแม้ว่าเสียงตะโกนก้องของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนนั้นจะยังคงดังก้องไปทั่วพื้นที่ แต่เมื่อมองไปยังตำแหน่งที่ว่า คนผู้นั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว!
แม้แต่อัสนีเพลิงซึ่งเป็นการโจมตีของเขาก็หายไปโดยไม่ส่งเสียงหรือแสดงร่อยรอยด้วยซ้ำ
นี่มัน…
บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีถึงกับงงงัน เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีชีวิตอยู่มาหลายปีนับไม่ถ้วน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เผชิญกับศึกสงครามมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชน จะหายไปกับสายลมเพียงแค่ก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวเดียวได้อย่างไร!?
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็เป็นแค่คนแก่หงำเหงือกที่พร้อมลงโลงได้ทุกเมื่อ แต่กลับยังกล้าประหม่าเช่นนี้อีก นี่พวกเจ้ากำลังถามหาความตายอยู่หรือไร?” เฉินซีที่อยู่ไกลห่างหัวเราะลั่น
สาเหตุที่ชายหนุ่มหลบหลีกด้วยท่าทางแปลกประหลาดก่อนหน้านี้ ก็เพราะเขากำลังหลบค่ายกลรอบ ๆ ไปพร้อมกันนั่นเอง
…และมันก็เป็นดั่งที่เขากล่าว หากผู้ใดก้าวผิดไปก้าวเดียวก็จะถูกส่งตัวไปไกลแสนไกล และจะหลงอยู่ท่ามกลางค่ายกล ที่แม้แต่ทวยเทพก็ไม่อาจหลุดพ้นได้!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้นพลันกลับมาตั้งสติ และเมื่อเห็นเฉินซีแสดงท่าทีจองหอง พวกเขาก็ไม่หวังสิ่งใด นอกจากจะซัดหมัดใส่รอยยิ้มอันน่ารังเกียจของอีกฝ่ายทีหนึ่ง!
แต่เมื่อนึกถึงผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นและเริ่มชั่งใจ ท่าทีของคนทั้งหมดก็พลันเปลี่ยนไป
…หรือว่าไอ้เด็กเปรตนี่จะพูดความจริง? ทุกฝีก้าวนั้นเต็มไปด้วยค่ายกล? และเพียงก้าวเดียวเท่านั้น พวกเขาก็จะถูกเคลื่อนย้ายจนหลงทางอยู่ในที่แห่งนี้ไปตลอดกาล?
แต่นี่มันน่าบัดซบเกินไปแล้ว!
ศัตรูของพวกเขาก็อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถเข้าประชิดได้ แล้วเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาเจ็บใจได้อย่างไร?
มีผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนไม่เชื่อสิ่งนี้ พวกเขายืนนิ่งพลางใช้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าไปยังเฉินซี ทว่าทันทีที่กระบวนยุทธ์พุ่งออกไป พวกมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ชั่วอึดใจนี้เองที่บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเรื่องจริง แม้สถานที่แห่งนี้จะดูไม่มีอันใด ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าแม้จะอยู่เพียงเอื้อมมือ กลับไกลห่างออกไปลิบโลก!
“หรือว่าจะเป็นวงกตมิติ สุดยอดค่ายกลในตำนานที่แม้แต่ทวยเทพก็ไม่อาจรอดออกไปได้?” มีคนตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ แล้วสีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดในทันที เพราะเหตุการณ์แปลกประหลาดตรงหน้านั้นไม่ต่างกับตำนานที่ว่านี้!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เองก็เริ่มนึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาพลันหม่นหมองลงทันที การก้าวไปในวงกตมิตินั้นเหมือนกับการก้าวข้ามไปยังพิภพอื่น เมื่อตกหลุมของสุดยอดค่ายกลนี้แล้ว โอกาสกลับมาย่อมเหลือน้อยนิด เพราะมันเป็นค่ายกลที่แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ไม่อาจหนีออกไปได้!
ไม่มีใครคาดฝันว่าสิ่งที่น่าเกรงขามเช่นนี้จะฝังอยู่ภายในด่านแห่งความลึกล้ำ!!!
“ฮ่า ๆ ในที่สุดพวกเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะว่าเป็นเพียงพวกแก่หงำเงือก? แม้จะก้าวไปข้างหน้าก็ยังไม่กล้า และหากข้าเป็นพวกเจ้า ก็คงเชือดคอตัวเองทิ้งไปแล้วหากเป็นเช่นนี้” เฉินซีหัวเราะดังลั่น พลางคว้าต้นไม้ที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไว้ในกำมือ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป “ไอ้แก่ทั้งหลาย ขอประทานโทษที่ข้าไปกับพวกเจ้าไม่ได้!”
เสียงของเขายังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ หากแต่ตัวของผู้พูดนั้นได้หายไปแล้ว
…การถูกเฉินซีเยาะเย้ยต่อหน้า แต่ไม่อาจทำอะไรได้นั้น ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา
สารเลวเอ๊ย!
เจ้านั่นมันสารเลวจริง ๆ!
ครั้งที่แล้วเขารอดพ้นมาได้เพราะการช่วยเหลือจากจักรพรรดิมด ส่วนครั้งนี้เขามีจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ ทำให้รอดพ้นจากหายนะอีกครั้ง สวรรค์… ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย!