บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 702 ปรมาจารย์อวิ๋นซู่
บทที่ 702 ปรมาจารย์อวิ๋นซู่
ประตูที่ลอยอยู่กลางอากาศ …เป็นดั่งหลุมดำลี้ลับไร้ก้นบึ้ง
นี่เป็นสถานที่สุดแสนจะธรรมดาในนรกขุมที่เก้า และมันก็รกร้างอย่างยิ่ง ผิวดินถูกปกคลุมด้วยกรวดเนื้อละเอียด ทว่าที่ผิดธรรมดาคือรูปลักษณ์ของประตูนี้
ตอนนี้ มีกองกำลังจากต่างพิภพจำนวนมากที่รักษาการณ์อยู่หน้าประตู พวกเขากระจายกำลังไปรอบ ๆ เพื่อป้องกันมันไว้
ณ บริเวณใจกลางของค่าย มีอาคารที่โดดเด่น งดงาม และเปล่งประกายระยิบระยับตั้งอยู่ เมื่อเทียบกับกระโจมอื่นทั่วทั้งบริเวณโดยรอบ มันก็เหมือนกับนกกระเรียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ และมันก็พิเศษมาก
ณ จุดที่สูงที่สุดของอาคาร มีชายรูปงามท่าทางนุ่มนวลกำลังนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่ขาก็ไขว้อยู่บนราวบันได
เขามีผมสีน้ำเงินเข้มเคลียบ่า ริมฝีปากบางเหมือนใบมีด เผยให้เห็นส่วนโค้งของอิสตรี ในขณะนี้ ดวงตาของเจ้าตัวกำลังหรี่ลง และจ้องมองไปยังประตูที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“เฮ้อ… ช่างน่าเสียดายที่ยังไม่ถึงเวลา มิฉะนั้นข้าอาจฉวยโอกาสผ่านประตูนี้และดูว่าภพทั้งสามเป็นอย่างไร…” ชายคนนั้นถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นเขาก็พลิกมือขึ้น เรียกกระบี่สีทองมหึมาให้มาอยู่ในมือ รูปลักษณ์ของมันเหมือนไม้กระดาน ขอบกระบี่เป็นฟันเลื่อย ยิ่งกว่านั้น ตัวกระบี่ยังถูกจารึกด้วยลวดลายสีเลือดที่แปลกประหลาดมากมาย ซึ่งเปล่งกลิ่นคาวเลือดอันหนาแน่นและน่ากลัวออกมา
ทันทีที่กระบี่มหึมาเล่มนี้ปรากฏขึ้น อากาศโดยรอบพลันหนักอึ้งขึ้น ในขณะที่ความว่างเปล่าก็ปั่นป่วนและส่งเสียงร้องคร่ำครวญ ราวกับมันกำลังถูกทำลาย
อย่างไรก็ตาม มือขาวเรียวที่ถือกระบี่ของชายหนุ่มนั้นกลับผ่อนคลาย ราวกับเขากำลังถือเข็มปักผ้า และถึงขนาดเริ่มใช้กระบี่ที่กว้างและใหญ่เพื่อเล็ม…เล็บของเขา!
ฉากนี้แปลกประหลาดยิ่ง มือที่ถือกระบี่นั้นทั้งขาวและบอบบาง ในขณะที่กระบี่สีทองดูแข็งกร้าวและหยาบเกินไป เมื่อนำทั้งสองมาเทียบกัน จึงได้ปรากฏเป็นภาพที่ขัดลูกตาอย่างรุนแรงขึ้น
ขณะนี้ ชายคนนั้นกำลังสำราญใจไปกับการตัดเล็บ การเคลื่อนไหวของเขาไหลลื่นและจริงจัง ราวกับคุ้นเคยและทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
“นายท่าน!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“กล่าวมา” ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับจ้องมองไปยังนิ้วที่ถูกตัดแต่งจนสะอาดเรียบร้อยของเขา และรอยยิ้มอ่อนโยนพลันปรากฏบนมุมปากของเจ้าตัว ทำให้ตัวคนดูสง่างามเป็นอย่างมาก
“ผู้รอดชีวิตจากเผ่านรกขุมที่เก้าได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกมันซ่อนตัวอยู่ในช่องเขาห่างจากที่นี่ประมาณเก้าพันลี้” ร่างที่ปรากฏมาพร้อมกับเสียงนี้คือชายที่มีรูปร่างเตี้ยแคระคนนั้น เขาโค้งคำนับขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังของอวิ๋นซู่
“โอ้ พวกมันปรากฏตัวแล้วหรือ? หากข้าจำไม่ผิด กองกำลังจากพิภพนภาแท้กำลังลาดตระเวนอยู่ใกล้ ๆ ใช่หรือไม่?” อวิ๋นซู่เก็บกระบี่สีทองอย่างไม่เร่งรีบ และในขณะที่กล่าว เจ้าตัวก็ดูจะจมอยู่ในห้วงความคิด
“นายท่าน กองกำลังจากพิภพนภาแท้นั้น…” ชายร่างเตี้ยกล่าวอย่างลังเล
“ถูกทำลายหมดสิ้นแล้วกระมัง?” อวิ๋นซู่ยิ้มบาง ๆ และดูจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
“ใช่แล้วขอรับ ผู้รอดชีวิตเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว พวกมันทั้งหมดได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง อีกทั้งยังใช้กระบวนทัพที่สอดประสานกันอย่างธรรมชาติ ดูเหมือนว่าพวกมันจะได้รับการชี้แนะจากผู้เยี่ยมยุทธ์!” ชายร่างเตี้ยพยักหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอ้?” อวิ๋นซู่รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นความดูถูกเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “พวกมันถูกกลุ่มผู้เยาว์ที่ยังไม่โตเต็มวัยทำลายล้างด้วยซ้ำ พวกโง่เขลาจากพิภพนภาแท้พวกนั้น …ช่างไร้ประโยชน์นัก”
เขาไม่ได้ปกปิดสิ่งที่คิดเลยแม้แต่น้อย และดูจะไม่ได้ระงับอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้ชายร่างเตี้ยได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เนื่องจากตัวเขารู้ดีว่า แม้อวิ๋นซู่จะดูถูกผู้คนจากพิภพนภาแท้ต่อหน้าตรง ๆ ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่กล้าขุ่นเคือง และไม่กล้ากล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย!
“ช่างเถอะ ระดมกองทัพอีกห้ากองและปิดล้อมผู้รอดชีวิตเหล่านั้นซะ” อวิ๋นซู่โบกมือและกล่าวอย่างไม่แยแส “หากพวกมันยังจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ไม่ได้ ก็ให้พวกมันรีบไสหัวกลับบ้านไปเล่นกับดินซะ!”
“ขอรับ!” ชายร่างเตี้ยรับคำสั่ง แต่ก่อนจะจากไป เจ้าตัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน จะไม่ไปดูสักหน่อยหรือขอรับ? ข้าได้ยินมาว่า ผู้รอดชีวิตจากเผ่านรกขุมที่เก้านั้นมีเคล็ดวิชาขัดเกลากายาที่เรียกว่า ‘คัมภีร์กำเนิดเต๋าแห่งนรกขุมที่เก้า’ อีกทั้งมันยังเป็นเคล็ดวิชาขัดเกลากายาที่ล้ำลึกและมิอาจหยั่งถึง ซึ่งสืบทอดมาจากเผ่าเทพอสูรในยุคบรรพกาลของภพทั้งสาม”
“เผ่าเทพอสูรได้ถูกกวาดล้างในช่วงยุคบรรพกาลไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่น่าเกรงขามจะส่งต่อมาถึงพวกมันได้อย่างไร? มันคงเป็นเพียงทักษะต่ำต้อยที่ไม่ควรค่าจะเหลือบแลแม้แต่นิดมากกว่า” อวิ๋นซู่ส่ายศีรษะและหัวเราะเยาะเย้ย
ชายร่างเตี้ยพยักหน้า จากนั้นจึงจากไปอย่างไม่ลังเล
…
ในไม่ช้า กองกำลังต่างพิภพทั้งห้ากองก็ลอบเข้าใกล้ช่องเขาอย่างเงียบ ๆ
พวกเขาทั้งหมดมีจำนวนมากกว่าพันคน!
แม้ตัวเลขดังกล่าวจะดูธรรมดา แต่เมื่อมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน มันก็ค่อนข้างโอ่อ่า ทุกที่ที่สายตามองเห็นคือมวลผู้คนที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทันทีที่กองกำลังต่างพิภพทั้งห้ากองได้มาถึง พวกเขาก็ได้ปิดล้อมพื้นที่โดยรอบของช่องเขาทั้งหมด
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด
“นี่คือที่ซ่อนของไอ้พวกหนูสกปรกเหล่านั้นหรือ?” ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้นำมองไปยังช่องเขาที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววับ และหลังจากที่สังเกตเป็นเวลานาน เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ค่ายกลหรือ!?”
“ผู้นำชวีถ่า เจ้ามีสายตาที่เฉียบแหลมมาก!” ชายร่างเตี้ยพยักหน้าและกล่าวว่า “มันเป็นค่ายกลใหญ่ที่ซ่อนทุกสิ่งในช่องเขา และเมื่อมองจากภายนอก มันก็เป็นการยากที่จะสังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ ภายในนั้น”
ทันใดนั้นเขาก็ลดเสียงลงและกล่าวว่า “ตามที่ข้าทราบมา ผู้รอดชีวิตเหล่านี้มีเคล็ดวิชาขัดเกลากายาที่เรียกว่า ‘คัมภีร์กำเนิดเต๋าแห่งนรกขุมที่เก้า’ และมันถือเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของเผ่านรกขุมที่เก้า นายท่านอวิ๋นซู่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่ได้สนใจเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ ดังนั้นหากผู้นำชวีถ่าต้องการมัน เจ้าก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”
“โอ้? เป็นเรื่องจริงหรือ?” ชวีถ่าเผยให้เห็นสีหน้าที่สั่นไหว
“มันเป็นความจริงแน่นอน” ชายร่างเตี้ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบา ๆ “เมื่อนานมาแล้ว กองทัพของเราได้ทำลายล้างดินแดนบรรพบุรุษของเผ่านรกขุมที่เก้าและค้นหามาเป็นเวลานาน แต่กลับไม่พบเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้ ต่อมาเราก็พบว่าผู้รอดชีวิตเหล่านั้นนำมันไปด้วย …พวกมันนำเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่สืบทอดมาจากเผ่าเทพอสูรที่ประเมินค่าไม่ได้ติดไป”
ชวีถ่าลูบคางของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้ว่าเผ่าเทพอสูรจะถูกทำลายตั้งแต่ยุคบรรพกาลไปตั้งนานแล้ว แต่ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวมากมายถือกำเนิดจากเผ่าเทพอสูร พวกเขาก้าวออกมาจากภพทั้งสามในช่วงยุคบรรพกาล และสร้างฝนเลือดในโลกต่าง ๆ นอกภพทั้งสามมากมาย ทำให้โลกต่างพิภพทั้งหลายต้องพรั่นพรึงหวาดผวา
ในโลกต่าง ๆ นอกภพทั้งสาม มีคนจำนวนมากที่ถือว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของเผ่าเทพอสูร อีกทั้งยังเป็นตัวตนที่สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่สืบทอดมาจากพวกเขาจะน่าเกรงขามเพียงใด?
ทันใดนั้น ชวีถ่าก็หันกลับมาและแสดงท่าทางจริงจัง “อาไหลมานี่หน่อย จงมาดูว่าเป็นค่ายกลใดที่ปกคลุมช่องเขานี้อยู่”
คนที่ถูกเรียกว่า ‘อาไหล’ เป็นคนหนุ่มที่มีใบหน้าซีดเซียว แต่แท้จริงแล้ว เขามีดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยประกายอันน่ากลัวและน่าสยดสยอง
“มันเป็นค่ายกลสังหารและไม่ธรรมดา” อาไหลเพ่งมอง ทันใดนั้นก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทว่าปราณวิญญาณในนรกขุมที่เก้าได้เหือดแห้งไปนานแล้ว ดังนั้นปราณเซียนที่หนาแน่นจะแผ่ออกมาจากค่ายกลใหญ่ได้อย่างไร?!”
“ปราณเซียนหรือ!?”
ชวีถ่ากับชายร่างเตี้ยตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาพลันหรี่ลง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอยู่ภายในนั้น?”
อาไหลเกิดมาพร้อมดวงตาสองคู่ ทำให้เขามีความสามารถในการหยั่งรู้ ในขณะที่เจ้าตัวก็ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับค่ายกลและเชี่ยวชาญในการสร้างค่ายกลยันต์อักขระต่าง ๆ มาไม่น้อย ดังนั้นท่าทีประทับใจเช่นนี้ของอาไหลจึงนับว่าหาได้ยากนัก
เพียงครู่เดียว สีหน้าของชวีถ่าพลันจริงจังมากขึ้น เพราะเขาคาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้จะต้องจัดการไม่ง่าย แต่ด้วยกองกำลังที่อยู่เคียงข้างและไพ่ตายอย่างอาไหล ชวีถ่าจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวเท่าไร ทว่าตัวเขากลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ค่ายกลใหญ่ตรงหน้าจะมีพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวเช่นปราณเซียนอยู่!
สิ่งนี้ทำให้เขาได้กลิ่นของอันตราย แต่ทันใดนั้น ชวีถ่าก็เริ่มหัวเราะทันที “ไม่เป็นไร มีทั้งหมดห้ากองกำลังที่มาในครั้งนี้ และมันคงไม่เลว หากจะให้คนอื่น ๆ ตรวจสอบก่อน”
ดวงตาของคนอื่นสว่างวาบขึ้นมา
ชายร่างเตี้ยกลับกำลังรู้สึกขบขันปนเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่เขาก็ตระหนักดีว่า การกระทำของชวีถ่าถือเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมาจากต่างพิภพ แต่ก็ไม่ได้มาจากฝ่ายเดียวกัน!
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอำนาจของอวิ๋นซู่ แม้แต่ความร่วมมือก็คงไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับกองกำลังจากต่างพิภพเหล่านี้
…
นอกเหนือจากการปรากฏตัวของกองกำลังจากต่างพิภพทั้งห้านี้แล้ว บรรยากาศในช่องเขาก็ตึงเครียดเช่นเดียวกัน
ด้วยกองกำลังที่ว่า มีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงห้าคนกำลังลาดตระเวนรอบ ๆ ช่องเขาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดแรงกดดันและความตึงเครียดในหัวใจ
หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงหนึ่งหรือสองคนปรากฏขึ้น ผู้คนในเผ่านรกขุมที่เก้าก็จะไม่รู้สึกเกรงกลัวนัก เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็มีเหมิงเหวยกับโม่ย่า ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา แต่เมื่อจำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงเพิ่มขึ้นเป็นห้า พวกเขาก็พลันรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กดทับพวกตนอยู่
ไม่ต้องกล่าวถึงว่า มีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับทองจำนวนมากในหมู่กองกำลังของศัตรู ดังนั้นคงยากที่จะไม่ให้พวกเขากังวลใจ
แต่ไม่ว่าจะหวั่นใจสักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกเกรงกลัว สีหน้าของทุกคนทั้งสงบและสำรวม
ความสงบทั้งหมดนี้มาจากความไว้วางใจของพวกเขาที่มีต่อเฉินซี และพวกเขาล้วนเชื่อมั่นในค่ายกลไฟนรกตะวันครามที่ปกคลุมบริเวณช่องเขาอยู่!
“พวกมันมาแล้วจริง ๆ” เหมิงเหวยจ้องมองออกไปภายนอกช่องเขา
“พวกมันมาเพียงห้ากองกำลัง ไอ้สารเลวพวกนี้ช่างดูถูกพวกเราจริง ๆ” ริมฝีปากแดงสดของโม่ย่าเผยความเย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร นางไม่มีความประทับใจต่อเผ่าจากต่างพิภพเลย และหญิงสาวก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการทำลายล้างพวกมันทั้งหมด!
ขณะที่สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่อยู่ภายในน้ำเสียงของโม่ย่า เหมิงเหวยเองก็กำหมัดแน่นเช่นกัน คนในเผ่าของพวกเขากว่าล้านคนถูกสังหาร หนี้เลือดเช่นนี้ ความแค้นจะเรียบง่ายอย่างที่คิดได้อย่างไร?
ครืนนนน!
ในขณะนี้ เสียงระเบิดพลันดังก้องฟ้าและมาพร้อมกับแสงเจิดจ้ามากมายทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ก่อนที่จะตกลงมาเหมือนห่าฝนดาวตก ทำให้ค่ายกลไฟนรกตะวันครามถูกเปิดใช้งาน
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เปลวเพลิงสีครามทั้งหนึ่งร้อยแปดดวงก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ประสานกันเป็นอักขระยันต์ที่ไร้ขอบเขต ราวกับมหาสมุทรแห่งเปลวเพลิง เข้าพัดพาการโจมตีทั้งหมดออกไป
เหมิงเหวยเงยหน้าขึ้นมอง และก็เห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงนำกลุ่มผู้บ่มเพาะเข้าโจมตี ด้วยความตั้งใจที่จะทะลวงผ่านค่ายกล!
“มันเริ่มขึ้นแล้ว…” สีหน้าของเหมิงเหวยเย็นชา เขากำตราคำสั่งยันต์อักขระในฝ่ามือเบา ๆ …มันเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมค่ายกลไฟนรกตะวันครามที่เฉินซีมอบให้กับเขา