บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 711 ตบอย่างแรง
บทที่ 711 ตบอย่างแรง
ผู้ดูแลตกตะลึงราวกับถูกท่อนไม้ฟาดใส่หัว เขาปากสั่นเล็กน้อยขณะเอ่ยถามขึ้น “คุณชาย ท่าน...อยากได้ทั้งหมดนี้ร้อยชุดจริงหรือขอรับ?”
เฉินซีมุ่นคิ้ว “หรือว่าเจ้าไม่มี?”
ผู้ดูแลรีบส่ายหัว “มีขอรับมี! รอสักประเดี๋ยวนะขอรับ ข้าจะไปจัดเตรียมมาให้” ว่าแล้วก็เหมือนมีน้ำมันป้ายอยู่ใต้รองเท้าของคนผู้นี้ อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งหายไปทางด้านหลังโดยไว
นี่เป็นลูกค้ารายใหญ่ หากปิดการขายนี้ได้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหากินไปทั้งปีเลย!
เฉินซีอดส่ายหน้าไม่ได้ ว่ากันตามตรงแล้ว แม้ราคาเสื้อผ้าเหล่านี้จะแพง แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขา เพราะถึงจะมีวัตถุวิญญาณ โอสถวิญญาณ หรือว่าวัตถุดิบอื่นที่คล้ายกันซึ่งหมดไปเมื่อตอนที่อยู่ในนรกขุมที่เก้าแล้ว แต่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ก็ยังมีน้ำอมฤตกว่าหมื่นชั่งอยู่!
เขาได้มันมาตอนที่เข้าไปในพระราชวังแห่งการรังสรรค์ในเหวเงาทมิฬ ตอนนั้นเขาชิงน้ำอมฤตในบ่อมาได้กว่าครึ่ง และทำให้เหวินเต้าหราน นักพรตเต๋าสุริยันชาด และคนอื่น ๆ ไม่พอใจ
น้ำอมฤตนั้นมีความหนาแน่น ส่องประกาย และเจือกลิ่นหอมสดชื่น ทำให้เป็นเหมือนทองหลอม ทั้งยังมีกลิ่นอายมหาเต๋าแฝงอยู่หลายส่วน แค่เพียงหยดเดียวก็มีค่ากว่าศิลาอมตะแล้ว!
ดังนั้นการใช้มันเพื่อซื้อชุดร้อยชุดก็เหมือนกับการใช้ขนวัวเส้นหนึ่งจ่ายออกไปก็เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเฉินซีตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าที่มีราคาแพงกว่าร้อยชุดในพริบตาเช่นนี้ หงซานก็อดรู้สึกริษยาขึ้นมาไม่ได้
ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง!
ผู้อาวุโสท่านนี้เก็บความสามารถไว้เสียมิด สมบัติที่ข้าเก็บสะสมมาทั้งชีวิตยังไม่มีค่าเทียบเท่ากับเสื้อผ้าพวกนี้สักชิ้นด้วยซ้ำ…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หงซานก็มีสีหน้าขรึม
เฉินซีที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวหงซาน จึงคลี่ยิ้มแล้วมองชายร่างผอมตรงหน้า “ข้าจะมอบให้เจ้าสักชุดภายหลังเช่นกัน ถือเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยนำทางให้”
หงซานชะงักไปในทันที คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นี่มัน…เรื่องจริงหรือ?
จังหวะนั้นเองที่เขาพลันได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง “อ้าว นั่นมันหงซานนี่? อันใดกัน? คิดจะนำขยะมามอบให้ข้าอีกแล้วหรือ? ข้าไม่อยากได้หรอก เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ ถึงตัวข้าหร่านเจียวจะไม่ได้ตบแต่งกับใครในชั่วชีวิตนี้ แต่ข้าก็ไม่มีทางตกหลุมรักเจ้าหรอก!”
ถ้อยคำประชดประชันถากถางเช่นนี้ ส่งผลให้ใบหน้าของหงซานขึ้นสีแดง ทั้งยังกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
เฉินซีหันไปตามเสียงนั้น ก่อนพบเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้างดงามประณีต คิ้วสีดำโก่งราวคันศร ริมฝีปากบางเฉียบ สันจมูกโด่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย ผู้กำลังส่งสายตาดูถูกมองหงซาน และมุมปากเผยแววเยือกเย็น
นางเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม ใบหน้าเชิดสูง ฝีเท้าดังสะท้อนราวกับเสียงเครื่องดนตรี ก่อนที่ผู้ดูแลซึ่งอยู่ใกล้เคียงจะเผยใบหน้าเคารพให้เมื่อเห็นนาง จากนั้นก็โค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “แม่นางหร่าน!”
หร่านเจียวทำราวกับไม่ได้ยินเสียง นางเผยสีหน้าเย่อหยิ่งราวกับนกยูงรำแพนหาง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหงซาน มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา “ข้าเพิ่งเห็นว่านอกจากเจ้าจะช่วยผู้อื่นเก็บสมุนไพรแล้ว นี่เจ้ายังไปหางานเป็นผู้นำทางอีกหรือ? น่าเสียดายที่อย่างไรก็ยังยากจนอยู่เช่นเดิม ขนาดข้ายังรู้สึกสงสารเจ้า แต่ในเมื่อวันนี้ได้พบกัน ให้แม่นางคนสวยเช่นข้ามอบอาหารให้เจ้าบ้างดีหรือไม่?”
“หร่านเจียว! เจ้าอย่าได้กล่าวล่วงเกินกันนัก! ลืมไปแล้วหรือว่าใครส่งเจ้าเข้าหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าไปเป็นหญิงรับใช้ของแม่นางตระกูลเริ่น!” ใบหน้าของหงซานแดงก่ำ เขากำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือด
“ช่างน่าขันเสียจริง! ถึงไม่ได้พ่อของเจ้าช่วยเหลือ ตัวข้าหร่านเจียวก็พึ่งพาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้อยู่แล้ว!” หร่านเจียวกอดอกพลางกล่าวเยาะ “ดูตระกูลหงของเจ้าเสียก่อน เมื่อก่อนเจริญรุ่งเรือง แต่ตอนนี้เหลือแต่ขยะเช่นเจ้าอยู่ นี่ล่ะคือวงจรโชคชะตา เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ว่าแล้วนางก็หันไปมองเฉินซี “คุณชายแยกทางกับเขาเถอะเจ้าค่ะ และหากท่านทำเช่นนั้น ข้าก็ยินดีที่จะมอบสมบัติอย่างหนึ่งเป็นของตอบแทน”
เฉินซีขมวดคิ้วทันที เขาเอ่ย “ข้าไม่ได้เป็นคนว่าจ้างหงซาน จึงไม่มีอำนาจใดเหนือเขา”
“เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หร่านเจียวคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนหันมองหงซานแล้วกล่าว “หงซาน เจ้าฟังนะ เดี๋ยวนี้หางานไม่ง่าย เอาเป็นว่าเจ้ามาอยู่กับข้าดีหรือไม่? ด้วยการมาเป็นทาสรับใช้ของข้า มันยังดีเสียกว่าต้องออกไปเก็บสมุนไพรข้างนอกนั่นตั้งเยอะ”
หงซานรู้สึกว่าในอกร้อนรุ่มไปหมด เกือบจะเคี้ยวขบฟันจนแหลก “ฝันไปเถอะ!”
เพียะ!
เสียงเพียะดังก้อง!
หงซานถึงกับอึ้งไป ความรู้สึกถูกดูหมิ่นพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ ดวงตากลายเป็นแดงก่ำ หน้าผากมีเส้นเลือดขึ้นปูดโปน ต้องการจะกระโจนเข้าต่อสู้เต็มแก่
ทว่าหร่านเจียวยังคงรอยยิ้มเยาะเอาไว้ นางไม่คิดปิดบังแววถากถางสักนิด “หากกล้าลงมือ เจ้าได้ตายแน่ ที่นี่คือหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า ไม่ใช่ตระกูลหงที่ล่มสลายของเจ้า”
ร่างของชายหนุ่มพลันแข็งทื่อ เจ้าตัวเผยสีหน้าซับซ้อนและพยายามระงับไฟแค้นในใจ เขายังอยากบ่มเพาะพลัง ยังอยากแข็งแกร่งขึ้นเพื่อสร้างตระกูลหงขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจะยอมทิ้งทุกอย่างแล้วเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ได้อย่างไร?
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่?!” เขากัดฟันถาม
เพียะ!
หร่านเจียวใช้หลังมือตบหน้าเขาอีกครั้ง “ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ? หลายปีก่อนพ่อเจ้าอยากให้ข้าแต่งงานกับขยะเช่นเจ้า หากข้าไม่รีบฉวยโอกาสหนี ชั่วชีวิตนี้ก็คงถูกทำลายไปแล้ว!”
ใบหน้าของหงซานบิดเบี้ยวในทันที เขาเบิกตากว้างจนแทบถลน “เจ้า… ในเมื่อไม่ต้องการแต่งงานกับข้า เหตุใดต้องหลอกให้ท่านพ่อส่งเจ้ามาที่หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าด้วย? ท่านพ่อถึงขนาดต้องคุกเข่าต่อหน้าแม่นางเริ่นเชียวนะ!”
พอพูดมาถึงท่อนสุดท้าย เขาก็ตะโกนออกมา ในใจเต็มไปด้วยความโกรธาที่จวนจะเบิดอยู่รอมร่อ
“เจ้าโง่ หากข้าไม่ได้เข้าหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่ามาหาที่คุ้มภัย มีหรือจะปฏิเสธสัญญาแต่งงานที่พ่อเจ้าสร้างขึ้นได้?” หร่านเจียวมองหงซานด้วยความสมเพช “โชคดีที่พ่อเจ้าตายก่อน ทำให้ใจข้าสงบลงได้เล็กน้อย ส่วนเจ้าจงอยู่นิ่ง ๆ แล้วยืนให้ดีเถอะ!”
เพียะ!
จากนั้นก็อีกหนึ่งเพียะ!
หงซานราวกับถูกฟ้าผ่า โกรธถึงขั้นกระอักเลือด สีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง
สัญญาแต่งงานอะไรนั่นอีกแล้ว…
เฉินซีตกอยู่ในภวังค์นึกถึงเรื่องในอดีต ที่หว่างคิ้วเผยแววเหี้ยมเกรียม ก่อนจะก้าวขึ้นมาขวาง “พอแล้ว!”
หร่านเจียวจึงหยุดแล้วยิ้มเยาะขึ้น “ช่างฝืนชะตาเสียจริง คิดหรือตัวเจ้าว่าจะมีสิทธิ์สั่งในเขตหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าของข้าได้? เจ้าเป็นหน้าใหม่หรือไร? จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้หากยังไม่อยากตาย!”
เฉินซีที่ได้ยินแบบนั้นพลันเริ่มคลี่ยิ้ม หากแต่ภายในใจกลับเยือกเย็นยิ่ง “เจ้าพูดถูก ข้าเป็นหน้าใหม่!”
เฉินซีเอื้อมมือคว้าตัวหญิงสาวที่ยังไม่ทันตอบสนอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าชอบตบคนอื่นนัก เช่นนั้นก็ลองโดนเองสักหน่อยเป็นไร!”
ว่าแล้วเขาก็สะบัดมือตบใบหน้างามของหร่านเจียวซ้ำไปมา มันทั้งดุดันและดังก้องกังวาน เพราะเฉินซีไม่คิดเห็นใจแม้แต่น้อย!
สิ่งนี้ทำให้ผู้ดูแลที่อยู่ใกล้เคียงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว รีบร้องขึ้นด้วยความตกใจ “หยุดมือเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าอยากตายกันหมดหรือ!?”
“ปล่อยแม่นางหร่านนะ!” ผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
“ไสหัวไป!” เฉินซีหันไปมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราดดั่งฟ้าลั่น ทำให้เหล่าผู้คุ้มกันราวกับถูกฟ้าผ่า ภายในหัวอื้ออึง หงายหลังล้มลงกับพื้น บางคนที่อ่อนแอหน่อยก็สะเทือนถึงขนาดเลือดออกเจ็ดรูทวารก่อนจะหมดสติไป
สิ่งนี้…ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในทันที!
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงว่า หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าเป็นหนึ่งในหอการค้าที่มีความหรูหราที่สุดในเมืองหลีหั่ว พวกเขายังมีทรัพยากรอยู่มากมาย ดังนั้นไม่นานจึงมีกลุ่มผู้คุ้มกันพากันพุ่งเข้ามาอีก
เหมิงเหวยกับโม่ย่าต่างมองหน้ากัน ก่อนจะกระโจนเข้าสู่วงต่อสู้ทันที พวกเขาขัดเกลากายาจนถึงขอบเขตสถิตกายาแล้ว ดังนั้นเมื่อลงมือจึงเหมือนพายุสองลูกเข้ากระหน่ำซัด!
เจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าโล้น เจ้าหิน และคนอื่น ๆ เองก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับสีหน้าเหี้ยมเช่นกัน พวกเด็ก ๆ ไม่สนว่าหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าจะเป็นสถานที่อะไร ในเมื่อท่านลุงเฉินซีลงมือ พวกเขาก็จะไม่สนและลงมือเช่นกัน!
…
ทางด้านเฉินซี เขาไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หลังจากตบอีกฝ่ายไปหลายครั้ง ใบหน้างดงามของหร่านเจียวก็บวมเป่งไปด้วยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด
“ลนหาเท่ตาย! จ้าวมันลนหาเท่ตาย!” กระทั่งปากของหร่านเจียวยังปูดบวม ทำให้เสียงกรีดร้องที่มากไปด้วยความเกลียดชังนี้ฟังแล้วยากจะเข้าใจ
เฉินซีอึ้งไป จากนั้นเขาก็เพิ่งจะตอบสนองได้เมื่อผ่านไปอึดใจหนึ่ง ที่แท้นางกล่าวว่า ‘รนหาที่ตาย! เจ้ามันรนหาที่ตาย’ นี่เอง แต่จะมีตัวร้ายประเภทไหนที่เขายังไม่เคยเจอบ้าง? ดังนั้นมีหรือที่เขาจะสนคำขู่จากคนเช่นนี้
เฉินซีโยนตัวหญิงสาวไปด้านข้างเหมือนโยนขยะ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไม่เช่นนั้นยามข้าเห็นเจ้า ข้าก็จะตบอีกครา!”
หงซานที่อยู่ใกล้เคียงมองภาพนี้ด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะดำเนินจนถึงขั้นที่หร่านเจียวถูกตบจนหน้าบวมเหมือนหมูเช่นนี้!
เมื่อมองหร่านเจียวที่ล้มลงกับพื้นพร้อมกับผมเผ้าที่ไม่เป็นทรง เขาก็รู้สึกสะใจอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นใบหน้าก็เผยความกังวลออกมา
การที่เฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าช่วยเหลือเขาเช่นนี้ หงซานรู้สึกซาบซึ้งนัก แต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าเช่นกันว่าการกระทำนี้จะชักนำภัยมาสู่ผู้อื่น!
เพราะอย่างไร นี่ก็คือหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าซึ่งเป็นทรัพสินย์ของหนึ่งในตระกูลมีชื่อที่สุดในเมืองหลีหั่ว ดังนั้นการสร้างปัญหาในอาณาเขตของพวกเขา ย่อมเท่ากับดึงภัยเข้าหาตนเอง
“ผู้อาวุโส พวกท่านรีบออกไปเถอะ ให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่เอง!” หงซานกัดฟันเอ่ยเสียงเบา
“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก ข้าจะเผากระดูกโปรยขี้เถ้าเจ้าทิ้งให้เป็นศพไร้ที่ฝัง คอยดู!” หร่านเจียวร้องโหยหวนเสียงแหลมราวกับเสียสติไปแล้ว
ส่วนเฉินซีนั้นเพียงแค่เลิกคิ้วสูงโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะฉุดร่างของอีกฝ่ายขึ้นมาสะบัดมือตบอีก ตบจนนางเห็นดาว ใบหน้าบวมเป่งเผยความหวาดกลัวออกมา
นางเพิ่งนึกได้ว่าตัวนางเองก็ยังไม่พ้นภัยเช่นกัน…
“หากกล้าพูดอีก ข้าจะสังหารเจ้าเสีย” ชายหนุ่มโยนร่างของสตรีชั่วร้ายทิ้งไปด้วยความนึกรังเกียจ และไม่ปิดบังจิตสังหารแม้แต่น้อย
วาจานี้ทำให้หร่านเจียวสะท้านไปทั่วร่าง ราวกับถูกโยนลงไปในบ่อน้ำแข็ง เพราะจิตสังหารที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาทำเอานางแทบสิ้นสติ ร่างทรุดลงกับพื้นแล้วปิดปากเงียบด้วยความกลัว
หงซานซึ่งทั้งซึ้งใจและกังวลใจ พลันร้องออกมาไม่หยุด “พวกท่านรีบไปเร็วเข้า! นี่เป็นเรื่องของข้า พวกท่านไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว รีบไปเสียเถอะ!”
แต่ทว่าเฉินซีกลับยิ้มให้ พลางคิดในใจว่าคนผู้นี้ไม่เลวทีเดียว ไม่ได้ช่วยไว้อย่างเปล่าประโยชน์
เหมิงเหวยกับโม่ย่าเองก็เริ่มยิ้ม เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มอ่อนแอผู้นี้ก็มีความหนักแน่นอยู่เหมือนกัน แต่… พลังบ่มเพาะยังอ่อนด้อยเกินไป
“ไปหรือ? ในเมื่อกล้าสร้างปัญหาในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าของตระกูลเริ่นของข้าแล้ว เช่นนั้นก็ฝันไปเถอะว่าจะได้จากไปแบบเป็น ๆ!” เป็นจังหวะนั้นเองที่น้ำเสียงเยียบเย็นดังขึ้นจากด้านนอก
สิ้นเสียงนั้น หญิงสาวคนหนึ่งพลันเดินเข้ามาพร้อมกับชายชราสามคนที่ยืนล้อมรอบกาย เหมือนดาวล้อมเดือนก็มิปาน
“นายหญิง! ช่วยข้าด้วย! ช่วยเจียวเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ!” หร่านเจียวรวบรวมกำลังมาจากที่ใดไม่รู้ ส่งเสียงร้องน่าสงสารออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้