บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 714 ปัญหาของคู่บำเพ็ญ
บทที่ 714 ปัญหาของคู่บำเพ็ญ
หลังจากเฉินซีและคนอื่น ๆ นั่งลงบนโต๊ะอาหารแล้ว ผู้ดูแลสาวสวยคนหนึ่งก็เดินจ้ำอ้าวเข้ามาและนำรายการอาหารมาให้
รายการอาหารนี้นับว่าหรูหรานัก และเป็นเครื่องมือวิเศษขนาดเล็กที่ทำจากเปลือกไม้ลวงตา มันเหมือนกับม่านโปร่งแสงที่มีรายชื่ออาหารและสุรามากมาย ซึ่งลอยอยู่บนนั้นราวกับน้ำไหล
ส่วนที่มหัศจรรย์ที่สุดของมันก็คือ บริเวณด้านหน้าของทุกชื่อ คือรูปภาพเสมือนจริงของอาหารจานนั้น นอกจากรสชาติที่ไม่อาจสัมผัสได้จริง ภาพพวกนี้กลับยังดูคล้ายของจริงยิ่ง!
เพียงใช้นิ้วปัดก็จะสามารถเลือกอาหารหรือสุราใดก็ได้ในรายการ และในบรรดาร้านอาหารทั้งหมดที่เฉินซีเคยไป อาจกล่าวได้ว่า ร้านนี้ช่างมีความคิดสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ชายหนุ่มชื่นชมมันอย่างเงียบ ๆ ‘…การที่สามารถใช้เต๋าแห่งการหลอมประดิษฐ์กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมเซียนระเริงเป็นคนช่างคิด’
เขาชำเลืองดูชื่อในรายการอาหารคร่าว ๆ ก่อนจะสั่งอาหารหลายสิบชนิดให้กับเด็ก ๆ โดยเลือกอาหารที่มีทั้งกลิ่นหอม ทั้งร้อน ทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย
เนื่องจากพวกเขามากันเป็นกลุ่มใหญ่ จึงแยกย้ายกันนั่งถึงสิบโต๊ะ ดังนั้นอาหารทั้งหมดจึงถูกสั่งมาสิบชุด นอกจากนี้ทุกโต๊ะยังต้องการลิ้มรสสุราขึ้นชื่อของทางร้าน นั่นคือสุราน้ำพุวิสุทธิ์!
“หืม?” เมื่อตาของชายหนุ่มเลื่อนไปที่อาหารรายการสุดท้าย เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
จานนี้มีชื่อว่า ‘ปาฏิหาริย์เฉิดฉาย’ มันปรุงจากวัตถุวิญญาณหายากหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น ไก่กระดูกดำสีฟ้า ปลาปะการัง ผลไม้หยกทองเก้าแฉก โป๊ยกั๊กม่วงลายดาว และอื่น ๆ อีกมากมาย เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบได้รับการเลือกสรรอย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังสอดคล้องกับธาตุทั้งห้า และหยินกับหยางที่อยู่ภายในนั้น โดยการปรุงอาหารจานนี้ พ่อครัววิญญาณจะต้องใช้สมาธิในการแกะสลักดอกไม้จากวัตถุวิญญาณแต่ละชนิด อีกทั้งยังต้องจารึกลวดลายอย่างประณีต และเมื่อดำเนินมาถึงจุดนี้ ขั้นตอนแรกจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์
หลังจากนั้นก็ต้องแช่ ต้องหล่อเลี้ยง ต้องขจัด ต้องต้มและอื่น ๆ ซึ่งมีกระบวนการซับซ้อนมากกว่าสามสิบกระบวนการ ก่อนที่ขั้นตอนที่สองจะเสร็จสมบูรณ์
ในตอนท้าย อาหารจะต้องถูกอบด้วยเปลวเพลิงวิญญาณดาราชาด และจะทำให้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์สามสิบหกอย่าง เช่น ปรากฏการณ์รุ้งสีทองพุ่งผ่านดวงอาทิตย์ ร่างของสัตว์มงคลอย่างมังกรและวิหคอมตะ ดอกบัวสีทองที่โผล่ออกมาจากทะเลทุกข์ นกกระเรียนขาวกระพือปีกเหนือภูเขาเซียน และอื่น ๆ อีกมากมาย
นี่คือที่มาของชื่อ ‘ปาฏิหาริย์เฉิดฉาย’
ตามคำแนะนำของอาหารจานนี้ อาหารจานนี้เพียงจานเดียวก็มีราคาแพงมหาศาล ซึ่งเทียบได้กับศิลาอมตะ!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มีเพียงพ่อครัววิญญาณเจ็ดใบของโรงเตี๊ยมเซียนระเริงเท่านั้นที่สามารถทำอาหารจานนี้ได้ ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายยังจำกัดไว้ที่หกจานต่อวัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้มีเงินมากพอ แต่หากมาช้าไป ก็มิอาจเพลิดเพลินไปกับมันได้
“อาหารจานนี้ยังพอมีอยู่หรือไม่?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นและถามผู้ดูแลหญิง
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะนายน้อย ปาฏิหาริย์เฉิดฉายจะต้องสั่งจองไว้ล่วงหน้าเท่านั้น และปาฏิหาริย์เฉิดฉายหกที่สำหรับวันนี้ได้ถูกสั่งจองล่วงหน้ามาตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว” ผู้ดูแลหญิงกล่าวด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตนหรือหยิ่งยโส
เฉินซีจึงส่ายศีรษะและกำลังจะส่งรายการอาหารคืนให้ผู้ดูแล แต่เสี่ยวเฉินซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ กลับพึมพำขึ้นเบา ๆ “แต่ข้าจำได้ว่าคนเหล่านั้นก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นพวกนางยังสั่งช้ากว่าเราด้วยซ้ำ คงไม่ใช่ว่าพวกนางได้สั่งล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วกระมัง?”
เฉินซีชำเลืองมอง และเห็นว่าเด็กหญิงกำลังกล่าวถึงซูชิงเยียนและคนอื่น ๆ
ที่โต๊ะนั้นมีหญิงสาวทั้งหมดหกคน รวมถึงซูชิงเยียน พวกนางทุกคนล้วนงดงาม สง่างามและโดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังดึงดูดสายตาของลูกค้าจำนวนมาก
โดยในขณะนี้ มีผู้ดูแลคนหนึ่งกำลังวางจานบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง อาหารถูกวางบนจานหยกสีขาวใส และด้านล่างมีเปลวเพลิงวิญญาณที่กำลังอบจากด้านล่าง ในไม่ช้า ปรากฏการณ์มากมายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจาน…
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมเย้ายวนใจก็โชยออกมา กลิ่นหอมนั้นไม่หนาแน่นและดูเย็นเยียบเหมือนน้ำในน้ำพุ ทว่าเพียงได้กลิ่นกลับกระตุ้นความอยากอาหารโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังแฝงด้วยความรู้สึกวิเศษที่ทำให้หัวใจสดชื่นและเบิกบาน
จานนี้คือ ‘ปาฏิหาริย์เฉิดฉาย’
เฉินซีพลันขมวดคิ้วเช่นกันเมื่อเห็นสิ่งนี้ เป็นเพราะเขารู้ดีว่าซูชิงเยียนและคนอื่น ๆ เข้ามาในเมืองพร้อมกันกับพวกตน ดังนั้นพวกนางจะสั่งจองอาหารจานนี้ล่วงหน้าตั้งแต่ครึ่งเดือนได้อย่างไร?
“คุณหนู เกรงว่าท่านจะมิทราบ แต่พวกนางเป็นศิษย์ของตำหนักสำนึกสวรรค์ และพวกนางได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษในโรงเตี๊ยมเซียนระเริงของเราเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลอธิบาย
“การดูแลเป็นพิเศษหรือ? เหตุใดเราถึงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง?” เสี่ยวเฉินรู้สึกผิดหวังขณะที่จ้องไปที่ผู้ดูแล
ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุยังไม่ถึงสิบขวบ ฉะนั้นนางจะรู้ได้อย่างไรว่า โลกนี้มีลำดับชั้นที่เข้มงวดตามความแตกต่างของความแข็งแกร่ง ภูมิหลังและสถานะที่บางคนสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษ ในขณะที่สิ่งที่เรียกว่าข้อกำจัดและกฎมักจะมุ่งเป้าไปที่คนธรรมดา
ผู้ดูแลคนนั้นดูราวกับได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่ และอดที่จะหัวเราะมิได้ จากนั้นจึงรู้ตัวว่าไม่เหมาะสม พลันรีบปิดปากของตน ทว่านางก็ไม่ได้คิดจะอธิบายเพิ่มเติม
เฉินซีขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อเขาได้ยินเสียงหัวเราะของนาง จากนั้นชายหนุ่มก็จึงโบกมือไล่อีกฝ่าย
“ฮิ ฮิ! นางต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อย ช่างน่าหัวร่อเสียจริง”
ในขณะนี้ หญิงสาวจากโต๊ะของซูชิงเยียนหัวเราะเบา ๆ แต่ร่องรอยความเย่อหยิ่งที่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย กลับทำให้นางดูหยิ่งยโส
“ศิษย์พี่เหวิน อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย นางยังเป็นแค่เด็กน้อย ศิษย์พี่ของนางต่างหากที่ควรถูกตำหนิว่าไร้ความสามารถ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเพลิดเพลินกับการดูแลเช่นนั้นได้ แล้วเหตุใดต้องแบกหน้ามาที่นี่ด้วย?” หญิงสาวอีกคนดูเหมือนจะให้คำแนะนำ แต่แท้จริงแล้ว นางกลับถากถางเยาะเย้ยอย่างรุนแรง และไม่เป็นที่น่าพอใจยิ่งกว่า ‘ศิษย์พี่เหวิน’ เสียอีก!
“จริงของเจ้า แล้วมันไปเถอะ พวกเขาก็แค่กลุ่มคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม พวกเรามากินข้าวกันเถอะ” ศิษย์พี่เหวินเงยหน้าขึ้น และชำเลืองมองอย่างเย่อหยิ่งไปทางชายหนุ่ม ก่อนจะเบือนสายตาออก
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สายตาของเฉินซีพลันกลายเป็นเย็นชาทันที เพราะเสี่ยวเฉินยังเด็ก และเด็ก ๆ มักจะกล่าวทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่นางกลับอดกลั้นต่อการถากถางดังกล่าว ดังนั้นจึงทำให้เกิดความโกรธขึ้นในใจของเขาแทน
“พี่เฉิน พวกนางไม่มีค่าพอที่จะโกรธหรอก” เสี่ยวเฉินยิ้มขณะที่นางกล่าว …กลับเป็นตัวนางที่ปลอบโยนเขาแทน
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงยิ้มบาง ๆ และลูบหัวของเด็กหญิงตัวเล็กในขณะที่พยักหน้า “เสี่ยวเฉิน เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เรามากินข้าว ไม่ได้มาเพื่อขุ่นเคือง”
“ฮึ่ม! อย่าได้หลอกตัวเองเลย” หญิงสาวคนที่ชื่อว่าศิษย์พี่เหวินโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังเผยความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน!
ในขณะนี้ แม้แต่เหล่าเด็ก ๆ ก็ยังแยกแยะได้ว่า หญิงงามที่โต๊ะนั้นดูจะจงใจยั่วยุและเป็นศัตรูกับพวกเขา ทำให้ทุกคนเงียบและมองไปที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียง
“เราควร…” เหมิงเหวยเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม
“ช่างมันเถอะ” เฉินซีมองไปที่ซูชิงเยียน และส่ายศีรษะในที่สุด
“เพราะหญิงสาวคนนั้นหรือ?” ในฐานะสตรี สัญชาตญาณของโม่ย่าจึงรุนแรงยิ่ง และนางก็อ่านความคิดของเฉินซีออกด้วยการชำเลืองมองเพียงแวบเดียว “การปรานีสตรีเป็นสิ่งดี แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้คิดอันใดกับท่าน และนางก็ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่าท่านอยู่ที่นี่”
เฉินซีรู้สึกงุนงง เขาเป็นเพียงสหายธรรมดากับซูชิงเยียน แต่คำกล่าวของโม่ย่ากลับทำให้ตัวเขากลายเป็นคนน่าสงสารที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความรักที่ไม่สมหวัง
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นเช่นกันว่า ซูชิงเยียนดูจะมีบางอย่างถ่วงอยู่ในใจ และหญิงสาวก็เอาแต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าด้วยความงุนงงตั้งแต่นางมาถึงแล้ว
ในขณะนี้ คลื่นเสียงโห่ร้องพลันดังขึ้นในห้องโถง
“คุณชายเยี่ยน!”
“คุณชายเยี่ยนก็มาเช่นกันหรือ? คาดไม่ถึงเลย! เหตุใดคนอย่างเขาถึงมาที่เมืองหลีหั่วของเราได้”
“คุณชายเยี่ยนคนใดกัน? หรือว่ามาจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์?
“ชู่! กล่าวเบา ๆ หน่อย นี่เจ้าอยากตายหรือไร!?”
เฉินซีตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาจากทางเข้า หลังของอีกฝ่ายตรงดั่งทวน มีไหล่กว้าง รูปลักษณ์ที่หล่อเหลา และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทุกการเคลื่อนไหวของคนผู้นี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความหยิ่งผยองและเย่อหยิ่ง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน
แท้จริงแล้วก็คือคนคลั่งผู้มีชื่อเสียงของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เยี่ยนสือซานนั่นเอง!
“ศิษย์น้องซู คุณชายเยี่ยนมาถึงแล้ว ท่านควรรู้ไว้ว่า เราได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้พวกท่านทั้งสองได้พบกัน อีกทั้งยังไหว้วานองค์หญิงเหลิ่งฉานเอ๋อร์เป็นการส่วนตัว เพื่อเชิญนายน้อยเยี่ยนมา”
“ใช่แล้วศิษย์น้องซู คุณชายเยี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ มีสง่าราศีและไม่ธรรมดา ซึ่งในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเดียวกัน ไม่ค่อยมีใครสามารถเทียบเคียงกับเขาได้ ยิ่งกว่านั้น ยังมีหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วนในโลกที่ปรารถนาจะเป็นคู่บำเพ็ญกับเขา ดังนั้นเจ้าต้องรักษาโอกาสที่ได้มายากนี้เอาไว้นะ”
“ศิษย์น้องซู ผู้อาวุโสของนิกายเราจะต้องยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นสิ่งนี้ และยังไม่ต้องกล่าวถึงว่า เมื่อเจ้ามีคู่บำเพ็ญที่น่าเกรงขามเช่นเยี่ยนสือซาน สถานะของเจ้าในตำหนักสำนึกสวรรค์ของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
หลังจากหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงที่โต๊ะของซูชิงเยียนเห็นเยี่ยนสือซาน ดวงตาของพวกนางก็สว่างขึ้น เผยสีหน้ามีความสุข จากนั้นนางก็กล่าวเป่าหูอีกฝ่ายไม่หยุด
ทว่าซูชิงเยียนกลับยังคงนิ่งเงียบ ในขณะที่คิ้วงดงามของนางก็ขมวดเข้าหากันแน่น หญิงสาวดูเหมือนจะต้องการปฏิเสธ แต่ก็กังวลว่าจะขัดต่อความปรารถนาดีของศิษย์พี่ และนางกำลังดิ้นรนอย่างรุนแรงในใจ
แม้ว่าพวกนางจะใช้การกล่าวผ่านกระแสปราณ แต่จิตสัมผัสเทพของเฉินซีนั้นกว้างใหญ่และเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ดังนั้นเขาจึงได้ยินทุกอย่างชัดเจนในทันที
และเป็นตอนนี้เองที่เขาได้เข้าใจทุกอย่าง ปรากฏว่าซูชิงเยียนและคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อรอเยี่ยนสือซาน และเมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกนางคือการเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เยี่ยนสือซานกับซูชิงเยียนได้เป็นคู่บำเพ็ญ!
เมื่อทราบถึงเรื่องนี้ เฉินซีพลันขมวดคิ้วและรู้สึกว่าสถานการณ์ขณะนี้ลำบากอย่างยิ่ง
ตอนที่เขาอยู่ในเหวเงาทมิฬ เยี่ยนสือซานเคยใช้ชีวิตของอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยเพื่อคุกคามเขาครั้งหนึ่ง และสิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเกลียดเยี่ยนสือซานเข้ากระดูกดำ ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหนีไปพร้อมกับยันต์เซียนจักรวาล ชายหนุ่มคงฆ่าเยี่ยนสือซานไปตั้งนานแล้ว!
ในขณะเดียวกันซูชิงเยียนก็เป็นสหายของเขา ดังนั้นหากสหายของเขากลายเป็นคู่บำเพ็ญของศัตรู เช่นนั้นมันจะไม่น่าลำบากใจหรอกหรือ?
ในเวลานี้เยี่ยนสือซานได้นั่งลงที่โต๊ะของซูชิงเยียนแล้ว
เนื่องจากห้องโถงใหญ่เกินไป จึงมีลูกค้ามากมายอยู่โดยรอบ และโต๊ะของซูชิงเยียนที่เต็มไปด้วยหญิงสาวผู้ละเอียดอ่อน งดงามและน่ารักดึงดูดสายตา เยี่ยนสือซานจึงไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเฉินซีหลังจากที่เข้ามาภายในห้องโถง
การมาถึงของชายหนุ่มทำให้โต๊ะของซูชิงเยียนกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจ และดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
ศิษย์พี่เหวินและคนอื่น ๆ ดูจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกที่กลายป็นจุดสนใจอย่างมาก พวกนางทุกคนล้วนยิ้มอย่างอ่อนหวานและเปล่งประกายความสุขออกมา ในขณะที่พากันดื่มอวยพรให้เยี่ยนสือซานอย่างต่อเนื่อง
เยี่ยนสือซานย่อมยินดีต้อนรับคนทั้งหมด และยิ้มขณะดื่มด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ หากดูแค่จากรูปลักษณ์ภายนอกก็แยกแยะได้ยากว่าเขาคือบุรุษผู้โด่งดังในแดนภวังค์ทมิฬที่หมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้
แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจับจ้องไปที่ซูชิงเยียนเป็นส่วนใหญ่ และเจ้าตัวมักยิ้มที่มุมปากขณะที่พูดคุยกับนาง เห็นได้ชัดว่า เยี่ยนสือซานพึงพอใจอย่างมากกับรูปร่างหน้าตาที่งดงามปานล่มเมืองของหญิงสาว
คิ้วของเฉินซีกลับขมวดเข้าหากันแน่นในทันที และเขารู้สึกลังเลในใจว่าตนควรจะเคลื่อนไหวหรือไม่?
ตึก! ตึก! ตึก!
ในขณะนี้ มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากนอกห้องโถงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ชัดเจน “พี่เฉิน โอ้ พี่เฉิน! ข้าเกือบจะพลิกหาทั่วเมืองหลีหั่วแล้ว แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะมาเพลิดเพลินอย่างอิสระอยู่ที่นี่”