บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 715 นายน้อยที่เอาแต่ใจ
บทที่ 715 นายน้อยที่เอาแต่ใจ
ในฐานะที่เป็นร้านอาหารชื่อดั่งในเมืองหลีหั่ว คนที่สามารถเป็นลูกค้าของที่นี่ได้จะต้องเป็นผู้มั่งคั่งหรือผู้สูงศักดิ์เท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเพียงคนที่มีพลังและทรัพย์สินเท่านั้นที่สามารถซื้ออาหารและสุราราคาแพงของที่นี่ได้
ยิ่งกว่านั้น ผู้มีทรัพย์สินและความแข็งแกร่งมักจะให้ความสำคัญกับการกิริยามารยาทเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะหยิ่งผยอง แต่เมื่อสนทนาก็จะไม่ส่งเสียงดังเซ็งแซ่เหมือนผู้คนในตลาด
ตัวอย่างเช่น แม้ก่อนหน้านี้บรรยากาศในห้องโถงจะสงบยิ่ง แต่เมื่อมีเสียงสนทนาดังขึ้น ก็จะไม่มีใครสักคนเอะอะโวยวาย และมีเสียงโห่ร้องเพียงชั่วครู่เมื่อเยี่ยนสือซานมาถึงเท่านั้น
แต่เพียงชั่วครู่ หลังจากที่ชายหนุ่มนั่งที่โต๊ะของซูชิงเยียนแล้ว บรรยากาศก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ทว่าตอนนี้กลับมีใครบางคนส่งเสียงดังเข้ามาในห้องโถง ทั้งที่ตัวเขายังไม่ได้เข้ามาในห้องโถงเลยด้วยซ้ำ และมันก็ดังมาก จนทำให้หลายคนแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ไร้สาระ! โรงเตี๊ยมเซียนระเริงเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถมาได้มิใช่หรือ?” มีคนขมวดคิ้วและแสดงความไม่พอใจ
“จากน้ำเสียงของเขาดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจในตัวเองมาก หรือว่ามาจากกองกำลังที่ยิ่งใหญ่? แต่เหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่รู้จักสำรวมกิริยาและพูดจาเสียงดังเช่นนี้?” ใครบางคนดูจะหลงทางในความคิด
“เหตุใดถึงเป็นคนผู้นี้อีกแล้ว…”
เฉินซีพลันรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะแค่ฟังเสียงของคนผู้นี้ เขาก็รู้ว่าผู้มาเยือนคือใคร!
สายตาหลายคู่จดจ้องไปที่ทางเข้า เพราะพวกเขาต้องการดูว่าเป็นผู้ใดที่กล้ารบกวนผู้อื่นอย่างไร้ยางอาย
ในไม่ช้า ไป๋กู้หนานที่สวมเสื้อคลุมปักลายก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยความร่าเริงแจ่มใส ตัวคนยังถือพัดสีขาวที่เคลือบด้วยทองและมีภาพวาดเสมือนจริงของสาวงามสิบแปดคนอยู่บนนั้น เขาเดินส่ายอาด ๆ เข้ามาราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่
“นะ…นายน้อยไป๋!?”
“ใครกัน?”
“จะมีผู้ใดได้อีก? ไป๋กู้หนานจากตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง นายน้อยผู้เอาแต่ใจซึ่งมีชื่อเสียงในโลกแห่งการบ่มเพาะ ผู้คนเรียกเขาว่า ‘ภูตผีคร่ำครวญ’ อีกทั้งเขายังหยิ่งยโสและเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง”
“ที่แท้ก็เขา! ไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจเลย!”
ทุกคนเข้าใจทันทีเมื่อเห็นไป๋กู้หนาน และความรู้สึกไม่พอใจในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะพวกเขาจะกล้าไม่พอใจเมื่อเผชิญหน้ากับคนอย่างไป๋กู้หนานได้อย่างไร?
เป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า นามของผู้ยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนเงาของต้นไม้ แต่ชื่อเสียงส่วนใหญ่ของไป๋กู้หนานนั้นเบนไปในเชิงเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวประหลาดในโลกแห่งการบ่มเพาะ!
“โอ้! มีสาวงามมากมายเชียว!” ทันทีที่เข้ามา ชายหนุ่มไม่มีเวลาแม้จะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ทว่าเจ้าตัวก็ยังสังเกตเห็นหญิงสาวที่บอบบางและงดงามที่โต๊ะของซูชิงเยียน ก่อนที่ดวงตาของไป๋กู้หนานจะสว่างขึ้นทันที จากนั้นมันจึงค่อยหรี่ลง
เพราะไป๋กู้หนานสังเกตเห็นเยี่ยนสือซานซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นด้วย และคนผู้นี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องคลั่งการต่อสู้ ทำให้ไป๋กู้หนานผู้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินรู้สึกว้าวุ่นใจ
แม้จะเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการแยกแยะในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าตัวจะหยิ่งยโสมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นไป๋กู้หนานจึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดคุยกับสาวงามเหล่านั้นทันที
เขาเพียงหันไปรอบ ๆ ก่อนจะจ้องมองไปยังเฉินซี จากนั้นจึงรีบก้าวอาด ๆ เข้ามา
“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! ข้าได้ยินมาว่าไป๋กู้หนานนั้นหยิ่งยโส เอาแต่ใจและมากด้วยตัณหา ข้ากังวลมากว่าเขาจะเข้ามาพัวพันกับเรายามที่เห็นพวกเราเข้า” หญิงสาวที่โต๊ะของซูชิงเยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแย้มยิ้มออกมา
“เจ้าจะกลัวอันใดอีก ไม่เห็นหรือว่าเขาจากไปแล้ว?” ดวงตาของศิษย์พี่เหวินวูบไหว ขณะที่นางเหลือบมองเยี่ยนสือซานและยิ้มออกมาจาง ๆ “แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะพี่เยี่ยนอยู่ด้วย และมีเพียงคนอย่างพี่เยี่ยนเท่านั้นที่สามารถสยบไป๋กู้หนานได้” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยคำเยินยออย่างชัดเจน
ทว่าเยี่ยนสือซานเพียงยิ้มบาง ๆ และโบกมือ “ก็แค่เรื่องเล็กน้อย อย่าได้กล่าวถึงเลย เพราะนับตั้งแต่ข้าเยี่ยนสือซานอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกศิษย์น้องหญิงทุกคนของเจ้าเด็ดขาด”
ศิษย์พี่เหวินหัวเราะคิกคัก “ ข้าคิดว่าพี่เยี่ยนคงไม่ต้องการให้ใครรังแกศิษย์น้องซูเป็นพิเศษกระมัง?”
เยี่ยนสือซานยิ้มและไม่ปฏิเสธ เขาเพียงจ้องมองไปที่ซูชิงเยียนที่อยู่ใกล้เคียง โดยไม่คิดจะปิดบังความชมชอบแม้แต่น้อย
ทว่าซูชิงเยียนยังคงเงียบ ในขณะที่ใบหน้าของนางกลับดูเหมือนน้ำนิ่งในบ่อร้าง คล้ายหญิงสาวจะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย
…
“พี่เฉิน เจ้าอยู่ที่นี่จริง ๆ” ในอีกด้านหนึ่ง ไป๋กู้หนานพลันเดินมาที่โต๊ะของเฉินซีด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนเต็มใบหน้า
“เจ้าต้องการอะไร?” เฉินซีขมวดคิ้วและไม่ได้ลุกขึ้นมาทักทาย
“โธ่ พี่เฉิน ข้ามาที่เมืองหลีหั่วเพียงลำพัง และรู้สึกว้าเหว่เปลี่ยวเหงายิ่งนัก ดังนั้นเมื่อพบคนคุ้นเคยเช่นท่าน ข้าจึงต้องการดื่มให้สาแก่ใจเสียหน่อย” ไป๋กู้หนานนั่งข้างเฉินซีขณะที่เขากล่าว และอีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะคิดว่าตนเองเป็นคนนอก
“เจ้าคงไม่ได้มาที่เมืองนี้คนเดียวกระมัง? ไม่เช่นนั้น เจ้าจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”เฉินซีลูบคิ้วของเขาและรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เพราะคนผู้นี้เหมือนดั่งปูนที่ติดตัวไปทุกที่ที่ไป
“เอ่อ ข้าพาคนของข้ามาด้วย” ไป๋กู้หนานหัวเราะด้วยความเขินอาย จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พี่เฉิน เหตุใดท่านถึงไม่สั่งอาหารที่ชื่อว่า ‘ปาฏิหาริย์เฉิดฉาย’ เล่า นั่นคืออาหารจานพิเศษของโรงเตี๊ยมเซียนระเริงเชียวนะ และมันน่าเสียดายอย่างยิ่งหากไม่ได้ลิ้มลอง”
“ผู้ดูแลบอกว่าหมดแล้ว อาหารจานนี้มีจำนวนจำกัดและเราไม่สามารถเพลิดเพลินกับการดูแลเป็นพิเศษได้” เสี่ยวเฉินที่อยู่ใกล้เคียงฉวยโอกาสกล่าวก่อน นางยังเด็กแต่ซุกซนมาก และเด็กหญิงก็ยังจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้อย่างแม่นยำยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นนางเคยได้เห็นว่า ไป๋กู้หนานนั้นหยิ่งยโสและเอาแต่ใจมากเพียงใดในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า ดังนั้นเด็กหญิงจึงพลันเกิดความคิดที่บรรเจิด และเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง
เป็นที่แน่นอนว่า ไป๋กู้หนานย่อมระเบิดความโกรธเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพลันชี้พัดในมือไปที่ผู้ดูแลที่อยู่ข้าง ๆ ทันที “ไปเตรียมมันมาสิบจาน มิฉะนั้น หากเจ้ากล้าปฏิเสธละก็ นายน้อยคนนี้จะทำลายโรงเตี๊ยมของเจ้าซะ!”
ผู้ดูแลหญิงรู้สึกตื่นตระหนกทันที ก่อนที่นางจะออกไปอย่างเร่งรีบ
เหตุการณ์นี้ทำให้ลูกค้าที่อยู่รอบ ๆ ประหลาดใจอย่างมาก นายน้อยไป๋คนนี้ถือเป็นปีศาจร้ายในร่างมนุษย์โดยแท้ เขาถึงขนาดกล่าวว่าจะทำลายโรงเตี๊ยมเซียนระเริง …นี่คนเราต้องหยิ่งผยองขนาดไหนกัน จึงได้กล้ากล่าวคำเหล่านี้ออกมา?
“ไอ้พวกนี้เอาแต่ดูถูกดูแคลนผู้อื่น การดูแลพิเศษมารดามันเถอะ! พวกมันสมควรโดนตบสั่งสอนเสียจริง!” ไป๋กู้หนานตะคอกและดูหยิ่งผยองยิ่งนัก
แต่รอยยิ้มสดใสกลับเผยออกมาบนใบหน้าของเขา เมื่อหันไปเผชิญหน้ากับเฉินซี เจ้าตัวก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฉิน ร้านขยะแห่งนี้ไม่คู่ควรกับสถานะของท่านด้วยซ้ำ ถ้าข้าเป็นท่านและถูกปฏิบัติเช่นนี้ ข้าคงทำลายโรงเตี๊ยมทิ้งไปแล้ว!”
ดวงตาของเสี่ยวเฉินกลอกไปมา จากนั้นพวกมันก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนที่เด็กหญิงจะกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่มีคนบอกว่า ท่านพี่เฉินขาดความสามารถและไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกค้าที่นี่ และคนคนนั้นถึงกับบอกว่าเขากำลังหลอกตัวเอง!”
“อันใดนะ!?” ไป๋กู้หนานรู้สึกประหลาดใจและจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม “พี่เฉิน เหตุใดท่านจึงต้องทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ด้วย?”
เฉินซีพลันเหลือบไปที่เสี่ยวเฉิน ทำให้เด็กหญิงเผยยิ้ม ก่อนที่จะปิดปากของนางอย่างเชื่อฟัง
“นี่ถือเป็นความอัปยศอดสูหรอกหรือ?” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมย
“แน่นอน!” สีหน้าของไป๋กู้หนานเปลี่ยนเป็นจริงจัง ในขณะที่กล่าวว่า “พี่เฉิน ใจของท่านกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ในเมื่อข้าได้รู้เรื่องนี้แล้ว ข้าจะร้องขอความยุติธรรมให้กับท่านอย่างแน่นอน! ดังนั้นขอให้ข้าดูหน่อยเถอะว่าใครมันกล้ากล้ารังแกพี่ใหญ่ของข้า!”
เฉินซีประหลาดใจ
‘ข้าไปเป็นพี่ใหญ่ของไป๋กู้หนานตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
ขณะกล่าว ไป๋กู้หนานพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกับสายตาที่ไร้ความปรานี จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างเย็นชา คล้ายกับว่าต้องการจะหาตัวคนร้าย
การสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้กล่าวผ่านกระแสปราณ ดังนั้นมันจึงเข้าสู่หูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องลอบทอดถอนหายใจ ไป๋กู้หนานนับเป็น ‘ภูตผีคร่ำครวญ’ อย่างแท้จริง เพราะคนผู้นี้สามารถสร้างปัญหาได้เสมอ แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดก็ตาม!
แน่นอนว่าพวกเขาได้แต่คิดในใจและไม่กล้ากล่าวออกมา เพราะท้ายที่สุด พวกเขาย่อมไม่สามารถล่วงเกินคนของตระกูลไป๋ด้วยสถานะที่มีได้
แต่ทุกอย่างก็ย่อมมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ หญิงสาวที่ชื่อว่าศิษย์พี่เหวินสังเกตเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ตั้งแต่ต้น นางเป็นคนที่เคยเยาะเย้ยถากถางเฉินซีและเสี่ยวเฉินก่อนหน้านี้ ดังนั้นคำกล่าวของไป๋กู้หนานจึงเป็นเพียงการสบถใส่นาง ดังนั้นหญิงสาวจะไม่หงุดหงิดได้อย่างไร?
แม้แต่สหายของนางก็พากันมองหน้าไปมา พลางขมวดคิ้วแน่น ด้วยในขณะนี้พวกนางรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาเสียแล้ว!
ตอนที่เข้าเมืองมาก่อนหน้านี้ กลุ่มของเฉินซีต่างสวมชุดหนังสัตว์แทนเสื้อผ้าทั่วไป แล้วพวกเขาจะดูเหมือนคนมีฐานะได้อย่างไร? และแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมแล้ว แต่ในสายตาของพวกนาง เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม พวกเขาเป็นเพียงลิงที่สวมมงกุฎเท่านั้น!
นี่คือความรู้สึกประทับใจแรกพบของพวกนาง ในทำนองเดียวกัน การตัดสินหนังสือจากปกก็ถือเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ และแม้แต่ผู้บ่มเพาะก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้
ดังนั้นพวกนางจึงประหลาดใจ เมื่อเห็นไป๋กู้หนานนั่งกับเฉินซีและคนอื่น ๆ ซึ่งในทีแรกพวกนางไม่ได้จริงจังกับมันนัก
แต่ตอนนี้ไป๋กู้หนานกลับตั้งใจจะยืนหยัดเพื่อคนเหล่านั้น ซึ่งนอกจากทำให้ศิษย์พี่เหวินและคนอื่น ๆ ตกตะลึงแล้ว พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดในใจ เพราะรู้สึกว่าไป๋กู้หนานผู้นี้หยิ่งผยองเกินไป!
“นี่คือเมืองหลีหั่ว! อาณาเขตของตำหนักสำนึกสวรรค์!”
“หรือว่าคนผู้นี้ยังคงคิดว่านี่คืออาณาเขตของตระกูลไป๋?”
“ใครมันด่าพี่ใหญ่ข้าก่อนหน้านี้?! ไสหัวออกมาซะ มิฉะนั้น หากข้าจับตัวเจ้าได้ ผลที่ตามมาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทานทนได้!” ไป๋กู้หนานเผยสีหน้าโหดเหี้ยมและเอาแต่ใจอย่างยิ่ง ในขณะที่เขาตะโกนออกมาเสียงดัง
ในขณะนี้ ศิษย์พี่เหวินไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไปเช่นกัน นางจึงตบโต๊ะดังปั้ง ตัวคนพลันลุกขึ้นยืนแล้วตวาดว่า “นี่คือโรงเตี๊ยมเซียนระเริง ไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลไป๋ของเจ้า ดังนั้นเจ้าควรทำตัวให้ดีกว่านี้!”
สาเหตุที่นางกล่าวเช่นนี้เพราะนางมีความมั่นใจ ประการแรก นี่คืออาณาเขตของตำหนักสำนึกสวรรค์ และประการที่สอง มียอดฝีมืออย่างเยี่ยนสือซานอยู่เคียงข้างนาง ดังนั้นหญิงสาวจึงมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้กับไป๋กู้หนานได้
“เอ๊ะ พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์ของตำหนักสำนึกสวรรค์หรือ?” ไป๋กู้หนานรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาจำตัวตนของพวกนางได้จากเสื้อคลุมสีม่วงที่ทุกคนสวมอยู่
“ถูกต้อง!” ศิษย์พี่เหวินยกคางขาวราวหิมะของนางขึ้น และกล่าด้วยความเย่อหยิ่ง ทว่าสงวนท่าทีอื่นไว้
“แล้วก็เป็นเจ้าหรือที่ก่นด่าพี่ใหญ่ของข้าก่อนหน้านี้?” ไป๋กู้หนานขมวดคิ้ว ขณะที่ร่องรอยความโหดเหี้ยมส่องประกายในดวงตาของเขา
“ข้าไม่ได้ก่นด่าสาปแช่งใคร ข้าแค่กล่าวความจริงบางส่วนเท่านั้น” เสี้ยวความรังเกียจเผยขึ้นตรงมุมปากของนาง ขณะที่หญิงสาวกล่าวอย่างเฉยเมย
“แม่นาง เจ้ามันรนหาที่ตาย!” ไป๋กู้หนานเผยความเป็นศัตรูทันทีที่เขาได้รับคำตอบที่ชัดเจน ก่อนที่เจ้าตัวจะตะโกนออกมาอย่างดุดันว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไร?! นี่เจ้าอยากถูกตบสั่งสอนอย่างนั้นหรือ??”
พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดุเดือด บรรยากาศในห้องโถงดูเหมือนกับว่าการต่อสู้จะปะทุขึ้นในทันที
ทุกคนในห้องโถงต่างมองไปทางเดียวกันตั้งแต่ต้น และพวกเขาก็ลอบตกใจ
“หรือว่านายน้อยไป๋จะลงมือกับศิษย์หญิงของตำหนักสำนึกสวรรค์ในครั้งนี้?”
“งานนี้พลาดไม่ได้เด็ดขาด!”
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ทั้งคู่ต่างได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังที่น่าตกใจ และเป็นการยากที่จะบอกว่า จะเป็นผู้ใดที่ถูกสยบเมื่อเผชิญหน้ากัน!