บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 758 ศัตรูความรักมาเยือน
บทที่ 758 ศัตรูความรักมาเยือน
ปิงซื่อเทียนจะไปเยี่ยมนิกายในอีกสามวันอย่างนั้นหรือ?
เมื่อเฉินซีกลับยอดเขาจรัสตะวันตก เขายังคบคิดเรื่องนี้อยู่
ส่วนเรื่องการทรยศของเยว่ฉือ ชายหนุ่มไม่เก็บเรื่องนั้นมาคิดตั้งนานแล้ว เพราะชายชราเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด ปิงซื่อเทียนต่างหากที่เป็นผู้ร้ายตัวจริง เป็นมือมืดหลังม่าน!
ตอนที่อยู่บนยอดเขาสัประยุทธ์ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มถึงขนาดขอให้เวินหัวถิงรวบรวมกองกำลังทั่วทั้งนิกายมากำจัดกับปิงซื่อเทียนเมื่อเจ้าตัวมาถึงด้วยซ้ำ
คนผู้นั้นชั่วช้าสามานย์เกินไป เมื่อลงมือก็ไม่สนสิ่งใดอีก เริ่มแรกก็สั่งให้เยว่ฉือทำร้ายชิงอวี่ จากนั้นก็ลอบโจมตีเขาที่เหวเงาทมิฬจนเกือบเอาชีวิตเขาไปได้
ภายหลังถึงกับสั่งให้เยว่ฉือหลอกหั่วโม่เลยกับคนอื่น ๆ ทำร้ายและทรมานผู้อื่นจนอับอาย ซึ่งนอกจากหั่วโม่เลยที่เขาช่วยไว้ได้แล้ว ศิษย์พี่ทั้งหญิงชายคนอื่น ๆ ต่างก็ยังถูกกักขังอยู่ในนิกายวิถีกระแสสวรรค์
คนต่ำช้าที่กล้าลงมือกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ สมควรถูกกำจัดโดยเร็วเพื่อตัดปัญหาในอนาคต!
น่าเสียดายที่เฉินซีไม่อาจทำอะไรได้ เพราะเวินหัวถิงไม่เห็นด้วย กระทั่งไม่อยากถกประเด็นนี้ต่อ
ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดาย เพราะว่าปิงซื่อเทียนเป็นตัวตนระดับสูงที่มีประกาศิตเซียนสวรรค์ของภพเซียน ทั้งยังมีอำนาจมากมายในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ฉะนั้นหากลงมือ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงร้ายแรงจนนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่อาจรับไหว
และนี่เป็นเพียงผลกระทบโดยทั่วไปเท่านั้น แม้เวินหัวถิงอยากสังหารปิงซื่อเทียนใจจะขาดเพราะการทรยศของเยว่ฉือ เจ้าตัวก็ได้แต่ยอมรอมชอมและไม่ลงมือโดยตรง
เพราะอย่างไรเขาก็เป็นประมุขของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จึงต้องนึกถึงนิกายเป็นหลักก่อน จะลงมือผลีผามไม่ได้
สิ่งนี้จึงทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่ใช่พวกยึดมั่นในแนวปฏิบัติ ฉะนั้นเมื่อศัตรูไม่เคารพกฎและทำการเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เกรงกลัวหากจะใช้ทุกวิธีทางเพื่อรับมือเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการลอบโจมตี การวางยาพิษ หรือวิธีรุนแรงทั้งหลาย เขาย่อมไม่ลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่สนลมปากคนอื่น เพราะกระทั่งปิงซื่อเทียนยังไม่สนใจ ไยเขาต้องสนด้วย?
ผู้ชนะคือฝ่ายถูกเสมอ วิธีการเป็นเพียงกระบวนการหนึ่งเท่านั้น ทุกคนต่างจดจ้องก็แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา นี่แหละคือโลกความเป็นจริง มีแต่ต้องยอมรับมันเท่านั้นจึงจะสามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่น่าเสียดายที่เฉินซีเองนั้นไร้ทางเลือก ต้องยอมยับยั้งจิตใจไว้ชั่วคราว และยอมรับความจริงอีกอย่างหนึ่งคือปิงซื่อเทียนจะตายที่ไหนก็ได้ แต่จะมาตายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่ได้!
นี่คือความเป็นจริงและความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเฉินซีที่ไร้ทางเลือกก็ได้แต่ต้องยอมรับมัน
…
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องหลุดออกจากภวังค์ความคิด ก่อนกล่าวพร้อมเผยสีหน้าตกตะลึง “ไป๋คุย!?”
ตอนนี้เขากลับมาที่ริมสระชำระกระบี่บนยอดเขาจรัสตะวันตกแล้ว และห่างออกไปไม่มากคืออาซิ่วที่กำลังอุ้มอสูรตัวจ้อยก้อนกลมเหมือนหิมะไว้ในอ้อมแขน กำลังเดินเตร่ไปมาอยู่ริมทะเลสาบสีหยก
อสูรตัวน้อยดูคล้ายกับเสือหิมะที่มีขนนุ่มฟู มีดวงตากลมโตดูดำขลับคู่หนึ่ง และมันจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากร่างทารกของปี่เซียะ…ไป๋คุย?
ก่อนหน้านี้เฉินซีคิดว่าเจ้าตัวน้อยออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไปพร้อมกับมู่ขุยและหลิงไป๋แล้ว ใครจะไปคิดว่าไป๋คุยจะมาปรากฏอยู่ในอ้อมกอดของอาซิ่วได้?
นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจโดยแท้!
ทว่าชายหนุ่มพลันต้องขมวดคิ้ว เพราะไป๋คุยไม่สนใจเขาสักนิด ก่อนหน้านี้เฉินซีลองเรียกอีกฝ่ายแล้ว แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของอาซิ่วด้วยดวงตาหรี่ลง ท่าทางสบายนัก มันแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียกรงเล็บจิ๋วอยู่หลายครั้ง ดูสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก
“อาซิ่ว มานี่หน่อยสิ” เฉินซีกวักมือเรียก
“อ๊ะ มีอันใดหรือ?” อาซิ่วกะพริบตาถาม นางสวมชุดกระโปรงสีเขียว ท่าทางดูสง่างาม เผยความงดงามของตนเองออกมายามยืนอยู่ริมสระหยกที่ประดับประดาไปด้วยพืชพันธุ์และบุปผามากมาย
“ส่งเจ้านั่นมาให้ข้า” เฉินซีชี้ไปที่ไป๋คุย
“ไม่เอาหรอก เสี่ยวไป๋ได้รับความอยุติธรรมอย่างมากเวลาอยู่กับเจ้า เจ้าแทบไม่ให้อาหารเขาด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร จึงไม่แปลกที่ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่โตสักที” หญิงสาวส่ายหน้า ขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“แต่เขาเป็นของข้านะ!” เฉินซีเอ่ยแย้ง
ไป๋คุยคือปี่เซียะเด็ก เป็นสัตว์มงคลที่สามารถนำโชคได้ เป็นสิ่งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพทั้งสามล้วนต้องการอยากครอบครอง ดังนั้นมีหรือที่เขาจะมอบให้อาซิ่วไปง่าย ๆ?
อีกทั้งไป๋คุยยังอยู่ข้างกายชายหนุ่มมาหลายปี ทำให้เกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้น เป็นเหมือนคู่หูกันไปแล้ว ดังนั้นเฉินซีย่อมไม่ยอมให้ใครมาพรากมันไปจากเขาแน่
“อ้อ ข้ารู้ดีว่าเขาเป็นของเจ้า แต่เจ้ายุ่งนี่ ให้ข้าช่วยดูแลเสี่ยวไป๋สักประเดี๋ยวเป็นไรไป?” อาซิ่วคลี่ยิ้มพลางลูบขนนุ่มนิ่มของไป๋คุยไปด้วย “เสี่ยวไป๋ ให้ข้าพาเจ้าไปเล่นดีหรือไม่?”
‘เสี่ยวไป๋…’ มุมปากเฉินซีกระตุกยิก ๆ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน แต่นางกลับเปลี่ยนชื่อให้ไป๋คุยแล้วหรือ? อีกทั้งยังเป็นชื่อที่หยาบกระด้างและดูไม่ประสายิ่งนัก!
แต่ที่พูดไม่ออกมากกว่านั้นคือไป๋คุยยังอุตส่าห์ยื่นหัวเล็ก ๆ ออกมาพยักหน้าอย่างมีความสุขเสียด้วย ทั้งยังเอาหัวถูอกอวบอิ่มของอาซิ่วอย่างรักใคร่…
เฉินซีหนังตากระตุก เกือบกระชากร่างเจ้าตัวอกตัญญูกลับมาแล้ว แต่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในอ้อมกอดอาซิ่ว หากลงมือก็อาจเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันได้ จึงพยายามยับยั้งอารมณ์ตนเองไว้ก่อน
แต่สีหน้าเขาเริ่มไม่สู้ดีแล้ว
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเสี่ยวไป๋เป็นอย่างดี พอข้าเลี้ยงเขาจนอ้วนแล้วค่อยคืนเจ้าก็ยังไม่สาย” อาซิ่วว่าจบ ผลไม้วิญญาณสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือขาวดั่งหยก นางส่งมันให้ไป๋คุย ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ได้ใช้กรงเล็บคว้าไว้ด้วยความยินดี ก่อนจะกัดกร้วมลงไปราวกับกำลังกัดแทะแครอท
ผลไม้วิญญาณนี้มีรูปร่างเหมือนหน่อไผ่ มีแสงสีม่วงเรืองออกมา มันมีชื่อว่าผลสาละม่วงจากต้นสาละศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นของหายากยิ่ง ทั้งยังเป็นผลไม้มงคลอีกด้วย
ตามตำนานเล่าไว้ว่า หากผู้บ่มเพาะกินมันเข้าไป ก็จะช่วยขจัดมลทินทั้งหลายในร่าง ช่วยชำระล้างโชคร้ายออกไปได้ มันมีผลลัพธ์น่ามหัศจรรย์ในการขจัดโรคภัยและความวิบัติทั้งหลายอีกด้วย
เฉินซีเองก็เคยได้ยินชื่อมันมาอยู่บ้าง คิดว่ามันเป็นของในตำนานมาโดยตลอด ดังนั้นพอเห็นอาซิ่วหยิบสมบัติล้ำค่าเช่นนั้นออกมาให้ไป๋คุยกิน เขาจึงอดรู้สึกปวดใจไม่ได้
หญิงสาวผู้นี้…ช่างเอาสมบัติมาใช้ให้เสียของได้เก่งจริง ๆ!
แต่เท่านี้ ชายหนุ่มก็รู้แล้วว่าไป๋คุยคงได้รับการดูแลจากอาซิ่วอย่างดี …แน่นอนว่าดีกว่ายามอยู่ข้างกายเขาแน่!
อย่างไรเสีย เขาก็เลี้ยงดูไป๋คุยมาอย่าง ‘อิสระ’ ตั้งแต่อดีต เขาอนุญาตให้มันไปไหนมาไหนได้ จะหาอะไรมากินก็ได้ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน
“เสวี่ยเหยียนอยู่ที่ใดเล่า?” ไม่นานชายหนุ่มก็หยุดคิดเรื่องนี้แล้วถามถึงเสวี่ยเหยียน
“นางหรือ? กำลังช่วยข้าทำความสะอาดห้องอยู่” อาซิ่วชะงักไป จากนั้นดวงตาพลันเปล่งประกายก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ” เฉินซีพยักหน้าแล้วไม่ถามอีก ก่อนจะหันหลังเดินกลับห้องตนเองไป
ปิงซื่อเทียนจะมาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในอีกสามวัน จากที่เขาคาดคะเนดูแล้ว ปิงซื่อเทียนย่อมต้องมาเพราะเสวี่ยเหยียนเป็นแน่ ซึ่งถึงตอนนั้นอีกฝ่ายย่อมต้องคืนศิษย์พี่คนอื่น ๆ กลับคืนมา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้เสวี่ยเหยียนรอดพ้นสายตาไปได้ ไม่เช่นนั้นชายหนุ่มก็จะไร้ซึ่งข้อต่อรอง
“เจ้าดูจะมีเรื่องหนักใจอยู่หรือ?” อาซิ่วพลันถามขึ้นจากด้านหลัง
มันเป็นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้เฉินซีชะงักได้ ด้วยกระทั่งหญิงสาวสบายอารมณ์อย่างอาซิ่วยังรู้สึกได้ว่าเขามีเรื่องหนักใจ จึงทำให้เขารู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก
ดูท่าช่วงนี้อารมณ์ข้าจะไม่ค่อยดีเท่าไร…
เขาเงียบไปนาน ก่อนจะเดินเข้าห้องไป ในช่วงสามวันก่อนที่ปิงซื่อเทียนจะมาถึงที่นี่ เขาไม่คิดทำอันใดทั้งนั้น และจะทำเพียงวิเคราะห์จิตใจตนเองให้ดีเท่านั้น
หญิงสาวยิ้มและมองเฉินซีเดินจากไป จากนั้นก็หันหลังกลับไปเล่นกับไป๋คุยต่อ
…
สามวันต่อมา ท้องฟ้าไร้เมฆบัง เฉินซีเดินออกมาจากห้อง ท่าทีเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เขาดูมั่นคงและเงียบสงบมากขึ้น ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม
เป็นเหมือนคมในฝัก เหมือนมังกรซุ่มซ่อน
เฉินซีที่เจอหน้าเสวี่ยเหยียนได้เอ่ยขึ้น “มากับข้า”
เสวี่ยเหยียนดูไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย นางพยักหน้าให้อย่างนิ่งสงบ ไม่ตกใจหรือตื่นเต้นแต่อย่างไร ทำให้ดูผิดปกติไปบ้าง
เฉินซีพลันชำเลืองมองนางเล็กน้อย ก่อนร่างจะเปลี่ยนเป็นเส้นแสงแล้วพุ่งไปยังยอดเขาสัประยุทธ์
ทว่าที่ริมสระหยก อาซิ่วผู้กำลังอุ้มไป๋คุยไว้ในอ้อมแขน จู่ ๆ ก็โบกแขนเรียกพร้อมกับเอ่ย “รีบมาเร็วเข้า”
เฉินซีที่ได้ยินก็ไม่พูดอะไร แต่รู้สึกได้ว่าร่างบอบบางของเสวี่ยเหยียนที่อยู่ใกล้ ๆ สั่นสะท้านเบา ๆ
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มขบขันเล็กน้อย หลายวันที่ผ่านมานี้ อาซิ่วหาเรื่องแปลก ๆ มาให้เสวี่ยเหยียนทำอยู่ตลอด นับว่าเป็นการทรมานนางอย่างมาก
…พริบตาเดียว เฉินซีกับเสวี่ยเหยียนก็มาถึงยอดเขาสัประยุทธ์ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปจนถึงห้องโถงที่อยู่กลางยอดเขา
ห้องโถงใหญ่ในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ประมุขนิกายเวินหัวถิงกำลังนั่งหลังตรงอยู่ข้างใน พร้อมกับผู้อาวุโสขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ แต่ที่น่าแปลกคือมีเลี่ยเผิงอยู่ด้วย และอีกฝ่ายนั่งอยู่ด้านล่างตรงตำแหน่งของเวินหัวถิงพอดิบพอดี
ฟิ้ว!
ทุกสายตาต่างจับจ้องมาทางเฉินซีพร้อมกัน มีทั้งความสงสัย ความประหลาดใจ และความชื่นชมแฝงอยู่ในแววตาเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสนใจในตัวชายหนุ่มไม่น้อย
อย่างไรเสีย ชื่อเสียงของเฉินซีในช่วงนี้ก็ดังไปไกลไม่ใช่น้อย ตัวคนโด่งดังเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน มีหลายคนที่พูดคุยเรื่องเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นจะบอกว่าไม่มีคนรู้จักก็คงไม่ได้
ส่วนเสวี่ยเหยียนนั้น ทุกคนไม่สนใจนางไปโดยปริยาย เพราะตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้ว รวมถึงเรื่องที่เยว่ฉือร่วมมือกับปิงซื่อเทียนแล้วจับตัวศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันตกไปนั่นก็ด้วย
แม้ว่าเสวี่ยเหยียนจะเป็นคนจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ อีกทั้งยังอยู่ขอบเขตเซียนปฐพี แต่ผู้อาวุโสนิกายกระบี่เก้าเรืองรองภายในห้องโถงก็ไม่สนใจนางสักนิด
แต่ก็ยังมีบ้างที่ตกตะลึงกับความงดงามของหญิงสาว …ต้องไม่ลืมว่านางเป็นจิ้งจอกเก้าหางเลือดบริสุทธิ์ที่เดิมทีก็มีความเย้ายวนใจอยู่แล้ว และเมื่อนางในตอนนี้บ่มเพาะพลังจนมาถึงขอบเขตเซียนปฐพี ความเย้ายวนจึงเพิ่มขึ้นสูงจนยากจินตนาการ …หากศิษย์ธรรมดาทั่วไปสบตากับนางเข้าก็คงถูกดึงวิญญาณไปแล้ว
เฉินซีทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งหลายในนิกาย ก่อนจะนั่งลง
เมื่อเห็นดังนั้น เสวี่ยเหยียนก็เดินตามเขาไปเหมือนข้ารับใช้ผู้นอบน้อม ยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มด้วยสีหน้าถ่อมตนที่ดูจริงใจอย่างยิ่ง
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็พลันรู้สึกชื่นชม อีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตสถิตกายา แต่กลับสามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพียอมสยบอย่างว่าง่ายได้เช่นนี้ …เฉินซีผู้นี้ สมแล้วที่ไม่ธรรมดาสมคำร่ำลือจริง ๆ
เป็นตอนนั้นเองที่ศิษย์ภายนอกห้องโถงพลันประกาศขึ้นด้วยเสียงก้องกังวาน “ประมุขนิกาย ผู้อาวุโสปิงซื่อเทียนแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์เดินทางมาถึงแล้วขอรับ!”
“ยินดีต้อนรับ!” เวินหัวถิงนั่งนิ่งไม่ขยับไหว ไม่ยืนขึ้นต้อนรับปิงซื่อเทียนด้วยซ้ำ นี่คือท่าทีของประมุขนิกายที่มาจากกองกำลังไม่ธรรมดา มีท่าทางน่าเกรงขามและงามสง่า มีฐานะน่าเคารพนบน้อม เปรียบได้ดั่งประมุขของโลกมนุษย์ แม้ว่าปิงซื่อเทียนจะเป็นทูตจากภพเซียน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีเกียรติมากพอให้เวินหัวถิงต้องลุกขึ้นยืนต้อนรับด้วยตัวเอง!