บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 761 เสวี่ยเหยียนกลายเป็นข้ารับใช้ของเขา
บทที่ 761 เสวี่ยเหยียนกลายเป็นข้ารับใช้ของเขา
เสวี่ยเหยียนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถของปิงซื่อเทียน นางอ่อนโยนยิ่งกว่าดอกไม้และมีเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติ หากมีนางอยู่เคียงข้างกาย มันก็ถือเป็นอาหารตาไม่น้อย
แต่ในขณะเดียวกัน นางก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี!
โฉมงามที่เยาว์วัยและความสูงส่งเช่นนี้ กลับกำลังรินสุราให้เฉินซีอย่างเชื่อฟังเหมือนข้ารับใช้ หากปิงซื่อเทียนไม่โกรธเคือง ก็คงจะขี้ขลาดเกินไปแล้ว!
แสงในดวงตาของเขาประหนึ่งสายฟ้า ซึ่งสอดประสานกับกฎเกณฑ์อันไร้ตัวตนและพร่าเลือน ทันทีที่โทสะก่อตัวขึ้นในใจของปิงซื่อเทียน กฎแห่งฟ้าดินพลันตรวจจับพลังของเขาได้ในทันที ทำให้อากาศสั่นสะเทือน กระแสลมปั่นป่วน และบรรยากาศเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทว่าใบหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่เขายกจอกสุราดื่ม และสั่งให้เสวี่ยเหยียนรินให้อีกครา
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปมา ขณะพยายามดิ้นรนในใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องทำหน้าที่ต่อไป
เพล้ง!
จอกสุราในมือของปิงซื่อเทียนถูกขยี้จนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เศษกระเบื้องกระเด็นไปรอบ ๆ ขณะที่ใบหน้าของเจ้าตัวซีดเผือดและเย็นยะเยือกยิ่ง ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงดูจะตกอยู่ในมหาสมุทรแห่งความพิโรธ ยิ่งกว่านั้นอากาศ แสง กระแสลมและทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างดูเหมือนจะคำรามและโกรธเกรี้ยว ราวกับความโกรธของเซียนสวรรค์ทำให้โลหิตหลั่งไหลเป็นแม่น้ำ!
“ราชทูตปิง การไม่โกรธเกรี้ยวย่อมเป็นเรื่องดี เพราะหากโลหิตหลั่งไหลเป็นแม่น้ำ มันอาจเป็นอันตรายต่อเจ้าเช่นกัน เช่นนั้นก็ควรระงับความโกรธของเจ้าเสีย!” เวินหัวถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประหนึ่งเสียงคำรามของมังกรจากสวรรค์ทั้งเก้า มันดังก้องไปทั่วห้องโถง ทำให้ปรากฏการณ์ทั้งหมดในบริเวณโดยรอบสงบลง สภาพแวดล้อมกลับคืนสู่ความสงบ และเป็นระเบียบเรียบร้อย
“ประเสริฐมาก!” ปิงซื่อเทียนยืนขึ้น ร่างของเขาตรงดุจเสาค้ำฟ้า ในขณะที่เจ้าตัวเป็นเหมือนจักรพรรดิที่ควบคุมโลกา การจ้องมองของเขาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดผ่านทุกคนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “วันนี้ทุกคนทำให้ข้าประหลาดใจอย่างยิ่ง ความกรุณาต้องได้รับการตอบแทน หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าย่อมทดแทนความกรุณาคืนให้เช่นกัน!”
ทันทีที่กล่าวจบ ปิงซื่อเทียนก็เดินออกไป ก่อนแวะมาถึงตรงหน้าเฉินซี จากนั้นจึงจ้องมองไปที่ชายหนุ่มอยู่เป็นเวลานาน ทว่าสุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่กล่าวอะไร ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
“เสวี่ยเหยียน มากับข้า”
น่าตกใจที่เขาตั้งใจจะจากไปทั้งแบบนี้!
“นายท่าน โปรดอภัยให้ข้าด้วย แต่ข้าไม่สามารถทำตามความปรารถนาของท่านได้ ข้าได้เข้าร่วมกับเฉินซีแล้ว และไม่อาจติดตามท่านได้อีกต่อไป จากนี้ไปจะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเราอีกต่อไป ข้าหวังว่าท่านจะอภัยให้ข้าได้” เสวี่ยเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นและพยายามดิ้นรนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกัดฟันและกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเทา แผ่วเบา และแหบแห้ง ซึ่งแฝงความเด็ดเดี่ยวไว้
ภายนอกห้องโถง ร่างที่เหมือนภูเขาของปิงซื่อเทียนถูกอาบไล้ท่ามกลางแสงแดด จนไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “เสวี่ยเหยียน อย่าได้ลืมในสิ่งที่เจ้ากล่าวในวันนี้เสียเล่า!”
เสียงของเขาดังกึกก้องราวกับคำตัดสินจากสวรรค์ ขณะที่ร่างของปิงซื่อเทียนหายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงของเจ้าตัวที่ยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ
เมื่อเห็นปิงซื่อเทียนจากไป ทุกคนในห้องโถงต่างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แสดงท่าทีราวกับว่าเทพเจ้าแห่งภัยพิบัติในที่สุดก็จากไปเสียที มีเพียงใบหน้างดงามของเสวี่ยเหยียนเท่านั้นที่ยังคงเย็นชา ขณะที่นางยืนอยู่เงียบ ๆ ตรงนั้น
มีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจนิสัยของปิงซื่อเทียนได้ดีที่สุด เนื่องจากอีกฝ่ายประสบกับความสูญเสียในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในวันนี้… เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน และนางที่เป็น ‘คนทรยศ’ อาจจะต้องพบกับจุดจบที่น่าสยดสยอง…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บรรยากาศในห้องโถงก็กลับสู่สภาพเดิม
สายตามากมายอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปยังเฉินซี เพราะผู้เยาว์คนนี้ได้ทำให้มุมมองของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดกว้างขึ้น พวกเขาก็กะทั่งประหลาดใจด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังประหลาดใจที่อีกฝ่ายกล้าเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียน และไม่แม้แต่จะตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ กระทั่งพวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมศิษย์คนนี้เล็กน้อย
พวกเขาเชื่อมั่นว่า เฉินซีย่อมรู้ชัดเจนยิ่งกว่าพวกเขาว่าตัวตนเช่นปิงซื่อเทียนนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด และความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นน่าเกรงขามมากขนาดไหน แต่ชายหนุ่มกลับกล้าที่จะแสดงท่าทีเช่นนั้นออกไป ทั้งยังทำได้ดีมากเสียด้วย! ไม่ต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา แม้แต่พวกเขาที่อยู่มานานก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้!
“เฉินซี เจ้ามีลูกกับชิงซิ่วอี้จริง ๆ หรือ?” เวินหัวถิงไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นในใจได้ และเอ่ยถามออกไป
ถ้าปิงซื่อเทียนเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีใครกล้าเพิกเฉย ชิงซิ่วอี้ก็คือการดำรงอยู่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เมื่อหลายปีก่อน นางได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ในแดนภวังค์ทมิฬ!
นางเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ถึงเก้าครั้งในคืนเดียว แต่นางไม่ได้ทะยานสู่การเป็นเซียนสวรรค์ ทว่าเลือกที่จะเวียนว่ายตายเกิดหนึ่งร้อยชาติ และนั่นทำให้โลกต้องตกตะลึง ในตอนนี้นางได้กลับไปยังนิกายวิถีกระแสสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ และขจัดกรรมของนางทั้งร้อยชาติ! ดังนั้นเมื่อหญิงสาวประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ นางจะต้องทำให้ภพทั้งสามตกใจอย่างแน่นอน และกระทั่งตัวนางอาจบรรลุเส้นทางสู่เต๋าสูงสุด!
ทว่าหญิงสาวที่มีพรสวรรค์อันน่าประหลาดใจ และเป็นดั่งตัวตนในตำนานผู้นี้กลับมีความสัมพันธ์กับศิษย์ในนิกายของพวกเขา ดังนั้นผู้เป็นประมุขนิกายจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ไม่ต้องกล่าวถึงเขา เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ซึ่งมีชีวิตอยู่มานานนับไม่ถ้วนก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เพราะเรื่องดังกล่าวน่าตกใจเกินไปจริง ๆ ดั่งการได้รับรู้ว่าเทพธิดาจากสวรรค์ทั้งเก้ากำลังแต่งงานกับเด็กยากไร้จากโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น …ดังนั้นผลกระทบที่รุนแรงเช่นนี้ย่อมไม่มีใครรับได้อย่างแน่นอน!
แม้เสวี่ยเหยียนก็หายจากความรู้สึกหวาดกลัวและความไม่สบายใจที่ซับซ้อนแล้ว นางเองก็กำลังเงี่ยหูฟังและเผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นออกมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ จิตใจของเฉินซีกลับสงบมาก และทำเพียงพยักหน้ารับอย่างซื่อตรงเท่านั้น
ทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างตกใจจนกล่าวไม่ออก!
…
ในวันนี้ ปิงซื่อเทียนได้มายังนิกายกระบี่เก้าเรืองรองด้วยความยินดี แต่เขาต้องจากไปพร้อมกับความโกรธ
ในวันเดียวกันนั้น นิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้กระจายข่าวว่า ผู้อาวุโสเยว่ฉือ ปรมาจารย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้หายตัวไป และเขาอาจทรยศต่อนิกาย!
ในเวลาเดียวกัน นิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็กระจายข่าวเช่นเดียวกันว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถของปิงซื่อเทียนแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์ จิ้งจอกเก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ เสวี่ยเหยียนได้เข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับปิงซื่อเทียน!
ข่าวทั้งสองนี้เป็นดั่งเสียงฟ้าร้องที่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าสองครั้ง ทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดตกตะลึง และทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตื่นตระหนก
แม้กระทั่งคนส่วนใหญ่ก็พอคาดเดาได้ราง ๆ ว่านี่อาจเป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างนิกายวิถีกระแสสวรรค์และนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ถึงอย่างไร ช่วงเวลาที่ข่าวทั้งสองนี้ถูกปล่อยออกมานั้นก็บังเอิญเกินไป! …ในวันเดียวกันนั้นเอง จู่ ๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายกลับทรยศต่อนิกายที่ตนเองสังกัด และสาเหตุของเรื่องนี้ก็กระตุ้นให้ผู้คนครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา
มันเหมือนกับฝ่ายหนึ่งชก ในขณะที่อีกฝ่ายเตะตอบโต้ แม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากัน แต่มันก็เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ
สรุปแล้ว ข่าวทั้งสองนี้ทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะสังเกตเห็นว่า ความสัมพันธ์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองและนิกายวิถีกระแสสวรรค์นั้นน่าจะเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับไฟ!!!
…
เมื่อกลับมาที่ยอดเขาจรัสตะวันตก เฉินซีก็ได้ไปหาศิษย์พี่รองและคนอื่น ๆ ในทันที
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสของนิกายได้ตรวจสอบพวกเขาด้วยตัวเองแล้ว และไม่พบภัยใดแฝงเร้นในร่างของหลูเซิงและคนอื่น ๆ จากที่เขาคาดการณ์ พวกเขาต้องการพักฟื้นเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก่อนจะจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่
เรื่องนี้ทำให้เฉินซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ออกจากห้องไปตามหาอาซิ่ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เฉินซีชี้ไปยังเสวี่ยเหยียนที่ติดตามอยู่ทางข้างหลัง ในขณะที่ขมวดคิ้วพลางถาม
“อ้อ นางรู้สึกว่าการอยู่เคียงข้างเจ้าให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าการอยู่เคียงข้างคนอื่น ดังนั้นนางจึงติดตามอยู่ทางข้างหลังไม่ห่าง” อาซิ่วกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด
นางกำลังนั่งอยู่ริมทะเลสาบ ในขณะที่ขาเรียวขาวราวหิมะของหญิงสาวเหยียดลงไปในน้ำ และเท้าเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนของนางกำลังตีน้ำใสในทะเลสาบ ทำให้เกิดระลอกคลื่นเป็นวงกลมกระจายตัวออกไปในทะเลสาบ
ส่วนไป๋คุยก็นอนอยู่ในอ้อมกอดของอาซิ่ว และกำลังกัดแทะผลไม้วิญญาณสีเหลืองอร่ามจนส่งเสียงดังกร้วบ ๆ ทั้งยังเผยสีหน้าอิ่มเอมและมึนเมาออกมา
ผีเสื้อกำลังโบยบินไปมา ในขณะที่หมู่วิหคส่งเสียงร้องไพเราะ และเหล่าสัตว์ก็เดินไปมารอบ ๆ หญิงสาวชุดสีเขียวที่นั่งริมทะเลสาบ ปล่อยให้กายอาบไล้แสงแดด ซึ่งเมื่อผนวกกับการมีสัตว์ตัวน้อยสีขาวราวหิมะอยู่ในอ้อมกอด และใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ฉากตรงหน้านี้ก็พลันกลายเป็นงดงามจับใจยิ่งนัก!
แต่เฉินซีกลับขมวดคิ้ว และไม่สนใจฉากที่งดงามนี้โดยสิ้นเชิง เพราะเขากังวล รวมถึงรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่มีเสวี่ยเหยียนอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้
เดิมทีอารมณ์ของเสวี่ยเหยียนก็ย่ำแย่มากพอแล้ว เพราะนางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทรยศปิงซื่อเทียนด้วยความรู้สึกลังเล ละอายใจ และรู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคตของตนเองยิ่งนัก
แต่ตอนนี้เมื่อชายหนุ่มแสดงท่าทางเช่นนี้ ความโกรธพลันผุดขึ้นในใจของนางอย่างช่วยไม่ได้!
“ความงามของข้าทำให้โลกต้องประหลาดใจ และเสน่ห์ของข้าก็สามารถพลิกคว่ำทั้งอาณาจักรได้ มีคนมากมายไม่รู้ตั้งกี่คนที่ยอมสยบอยู่ใต้กระโปรงของข้า? แม้จะเป็นเซียนปฐพีหรือเซียนสวรรค์ที่เห็นความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของข้า พวกเขาก็ยังต้องน้ำลายสอด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แต่ท่าทางของเจ้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!?”
เมื่อนางไตร่ตรองดูว่า หากต้องคอยติดตามเคียงข้างไอ้สารเลวที่ไม่รู้จักชื่นชมความงามของนาง และต้องคอยเป็นข้ารับใช้เช่นนี้ เสวี่ยเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคืองใจ และไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการปิดหน้าร่ำไห้
“ไอหยา! นี่เจ้ายังไม่พอใจที่ข้ามอบสุนัขจิ้งจอกเก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ให้กับเจ้าไปเป็นข้ารับใช้อีกหรือ?” อาซิ่วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้าอุตส่าห์ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฝึกให้นางเชื่อฟังเชียวนะ”
ร่างกายของเสวี่ยเหยียนสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ฝึกจนเชื่องหรือ? ช่างเป็นคำที่น่าอัปยศยิ่งนัก…”
คิ้วของเฉินซีพลันขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น และเขาก็ลังเลเล็กน้อยว่าจะจัดให้เสวี่ยเหยียนอยู่ที่ใดดี
“เฮ้อ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจนัก งั้นก็หาใครสักคนแล้วมอบนางให้คนผู้นั้นไปก็แล้วกัน” อาซิ่วโบกมือไปมา และกล่าวด้วยความเฉยเมย
“อย่า!” เสวี่ยเหยียนกล่าวโดยไม่ไตร่ตรองใด ๆ ร่างกายอันบอบบางของนางสั่นเทา กระทั่งรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง ด้วยถ้าหญิงสาวถูกเฉินซีมอบให้กับผู้อื่น มันก็จะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของนาง และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ เสวี่ยเหยียนก็แทบอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด!
“ดูสิ เจ้าคิดเช่นไรกับการที่ข้าฝึกนางจนเชื่อง? นางไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะจากไปเห็นหรือไม่?” อาซิ่วยิ้มกว้าง
“เฮ้อ” เฉินซีถอนหายใจและได้แต่ยอมรับ
เสวี่ยเหยียนพลันรู้สึกว่าเลือดลมตีกลับจนแทบทะลักออกจากลำคอของนาง ขณะที่มองดูคนสองคนตรงหน้าพูดคุยกันเกี่ยวกับชีวิตของนางต่อจากนี้…
…
วันถัดไป
หลูเซิง อี้เฉินจื่อ ต้วนอี้ อาจิ่ว และชิงอวี่ต่างทยอยฟื้นขึ้นมาทีละคน ซึ่งทุกคนก็พากันร้องไห้ แย้มยิ้ม และตื่นเต้นที่ได้เห็นเฉินซีกับหั่วโม่เลยเป็นอย่างมาก
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะสามารถกลับมายังยอดเขาจรัสตะวันตก และได้พบเจอกันอย่างพร้อมหน้าเช่นนี้อีกครา
ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้งในเวลานี้ ความตื่นเต้นในใจของทุกคนก็ฉายชัดผ่านใบหน้า
ในคืนวันนั้นเอง เฉินซีได้ดื่มสุรากับศิษย์พี่ทุกคน ต่างพากันกล่าวคุยกันอย่างมีความสุข จะมีก็เพียงมู่ขุยกับหลิงไป๋เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจมาก
แม้เฉินซีจะไม่ได้กล่าวอะไรมาก แต่ในใจของเขานั้นมั่นใจว่า พวกเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน!
หลังจากจัดการและกำชับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ
ในคืนนี้ หลูเซิงและคนอื่น ๆ ได้ทำความรู้จักกับเหมิงเหวย โม่ย่า และเหล่าเด็ก ๆ จากเผ่านรกขุมที่เก้า แน่นอนว่ายังมีอาซิ่วและเสวี่ยเหยียนด้วย
เฉินซีเชื่อว่าเมื่อมีอาซิ่วอยู่ด้วย เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับยอดเขาจรัสตะวันตกอีก และเมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล เขาก็จึงทำการปิดด่านบ่มเพาะอย่างสบายใจ
ภายในโลกแห่งดารา เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิ ก่อนที่เขาจะดึงพลังแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬออกมา จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มดูดซับและขัดเกลาความลึกล้ำของมหาเต๋าที่อยู่ภายในนั้น…
เขาต้องการจะเติมเต็มมหาเต๋าของตนให้สมบูรณ์และทะลวงไปสู่ขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุด!
“ถึงตอนนั้น พลังต่อสู้ของข้าจะเพิ่มขึ้นสักกี่เท่ากัน?”
ดวงตาของเฉินซีเต็มไปด้วยความคาดหวัง