บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 763 ช่วงเวลาที่ผันผ่าน
บทที่ 763 ช่วงเวลาที่ผันผ่าน
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปสามปี
เนื่องจากความต่างของเวลาในโลกแห่งดาราที่ต่างกันราวสิบเท่า นั่นจึงเท่ากับว่า… เฉินซีได้ทำการบ่มเพาะมาร่วมสามสิบปีแล้ว!
ในตอนนี้ เฉินซีซึ่งกำลังนั่งเฉยดั่งต้นไม้โรยราและไม่ไหวติงประหนึ่งหินผา จู่ ๆ ก็มีเสียงแห่งเต๋าดังก้องกังวาน ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งโลกแห่งดารา!
ทันใดนั้น คล้ายดวงดาวทั้งหลายได้ยินเสียงเรียกหา พวกมันจึงพากันเปล่งแสงเยือกเย็นที่ดูราวกับธารน้ำตกสีเงินไหลอาบรดร่างของเฉินซี
จู่ ๆ ทุกอณูของร่างเฉินซีพลันอาบไล้ไปด้วยแสงสีเงินที่อัดแน่น จุดชีพจรและเส้นลมปราณทุกจุดคล้ายถูกชำระล้าง เพียงครู่เดียว มันก็สะท้อนล้อกับหมู่ดาวที่อยู่เหนือศีรษะห่างออกไปไกลลิบ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์เกินพรรณนา
ราวกับในชั่วพริบตานี้ เฉินซีได้กลายเป็นบุตรแห่งผืนฟ้าที่โอบล้อมไปด้วยดวงดาว เป็นผู้นำซึ่งปกครองเอกภพแห่งนี้!
ท่ามกลางรัศมีแสงที่กว้างใหญ่และลึกล้ำ ท่าทางของเขาเผยความสุขุมออกมา ทุกลมหายใจเข้าออกสร้างเสียงคำรามดั่งมังกรที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนฟ้า ก้องกังวานทั่วฟ้าจรดผืนดิน
เมื่อสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีรังสีเจิดจรัสหมุนวนรอบกายของเฉินซี พวกมันเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาและปล่อยลำแสงที่งดงามออกมาไม่รู้จบ
รัศมีเหล่านี้เกิดจากแก่นสสารแห่งมหาเต๋า เช่น ทอง พฤกษา วารี อัคคี ปฐพี หยิน หยาง วายุ อัสนี และดวงดาราซึ่งถูกควบคุมผ่านเต๋าแห่งยันต์อักขระ! เนื่องจากมหาเต๋าทั้งสิบประการบรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ ดังนั้นพวกมันจึงก่อตัวเป็นรัศมีทรงกลมดั่งจันทราเต็มดวง!
ที่อีกด้านหนึ่ง เส้นลมปราณภายในร่างของชายหนุ่มซึ่งจารึกด้วยอักขระยันต์ซับซ้อนอย่างแน่นขนัด ได้ส่งผลให้รัศมีพลังบนกายยิ่งดูลึกลับ ล้ำลึก และกว้างใหญ่ ราวกับทุกอณูเป็นหลุมดำจำนวนมากที่กำลังแผ่รังสีดำทะมึนและกลืนกินทุกสรรพสิ่ง!
ภายในจุดลมปราณ แดนฮุ่นตุ้นที่เขาสร้างขึ้นจากยันต์เทวะทั้งห้ากำลังวนเวียนเป็นวัฏจักรไร้สิ้นสุด กาลเวลาเปลี่ยนผ่านจากกลางวันสู่กลางคืน ทั้งดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ต่างหมุนเวียนเปลี่ยนสลับตามกาลผัน เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว การสั่นไหวของมันยามเปลี่ยนโมงยามนั้นรุนแรงยิ่งกว่า
ใช่แล้ว ในช่วงเวลาสามปีของโลกภายนอก หรือสามสิบปีในโลกแห่งดารานั้น มหาเต๋าแห่งหยิน หยาง และดาราของเฉินซีได้บรรลุขอบเขตสมบูรณ์แล้ว!
นอกจากเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน เต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้าง และเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ เต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ที่เขามีในครอบครองในตอนนี้ล้วนแต่บรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ทั้งสิ้น!
ส่วนเต๋าแห่งกระบี่ เต๋าแห่งยันต์อักขระ และเต๋าแห่งการกลืนกินคือมหาเต๋ากระบวนท่า และไม่ใช่มหาเต๋าที่เป็นแก่นสาร ดังนั้นระดับการบรรลุของมันจึงแตกต่างกับเต๋ารู้แจ้งที่มีความเป็นแก่นแท้โดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น เต๋าแห่งกระบี่ มันถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง ขั้นเอกภาพ ขั้นสมบูรณ์ ขั้นแนวทางใจหลอมรวมกระบี่ ขั้นสายใยปราณกระบี่ และอื่น ๆ ซึ่งเต๋าแห่งยันต์อักขระและเต๋าแห่งการกลืนกินก็มีลักษณะเดียวกัน
ในเวลาสามสิบปี ความลึกล้ำแห่งมหาเต๋าทั้งสามก็ได้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์!
เมื่อเทียบกับระยะเวลาของโลกภายนอกแล้ว มันย่อมเพียงพอจะทำให้ทุกคนตกตะลึง
ทว่าสำหรับเฉินซีผู้ครอบครองแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ นี่ยังถือว่าช้าไปด้วยซ้ำ!
สาเหตุก็มาจากมหาเต๋าแห่งดารา เนื่องจากแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬนั้นครอบครองธาตุทั้งห้า ได้แก่ หยิน หยาง วายุ อัสนี และกฎอื่น ๆ อีกมากมาย ทว่ามันหามีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งดาราเลย
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงเลือกใช้การหยั่งรู้ของตนเพื่อเรียนรู้มหาเต๋าแห่งดาราแทนแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ทำให้เขาล่าช้าไปมากถึงยี่สิบปี
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเองก็แปลกใจเช่นกัน เมื่อครั้งที่ยังเยาว์วัย เขาเข้าใจมหาเต๋าแห่งดาราผ่านการฝึกฝนวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ และการสร้างจินตภาพของรูปปั้นเทพเจ้าฝูซี ยิ่งไปกว่านั้น การหลอมรวมจิตวิญญาณของปีกนภาดารกะ ฝ่ามือมหาดารา และก่ออัสนีผสานดารา ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับเต๋ารู้แจ้งแห่งดวงดาว ก็ทำให้เขาบรรลุถึงขอบเขตขั้นสูงได้เมื่อนานมาแล้วเช่นกัน
แต่ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนว่าการบรรลุจากขอบเขตขั้นสูงไปสู่ขอบเขตสมบูรณ์ของมหาเต๋าแห่งดารา …จะเป็นเรื่องยากเย็นเพียงนี้! มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก!!
และเฉินซีก็พอจะเข้าใจสาเหตุอยู่บ้าง เพราะมหาเต๋าแห่งดารานับว่าหาได้ยากยิ่ง และมันก็ถือเป็นหนึ่งในมหาเต๋าที่ลึกลับและกว้างใหญ่ที่สุด เหมือนกับคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบที่แม้จะดูธรรมดา แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่สามารถเชี่ยวชาญมันได้อย่างสมบูรณ์
ในยุคบรรพกาล บรรพบุรุษได้สังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าเพื่อค้นหาลิขิตสวรรค์ โชคชะตา โชคลาภ และเภทภัย ดังนั้นหากพูดถึงมหาเต๋าที่ลึกลับและกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดามหาเต๋าทั้งสามพันประการ จึงแน่นอนว่าคงมีเพียงมหาเต๋าแห่งดาราที่เป็นเช่นนั้น!
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกภูมิใจที่สามารถพามันบรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ได้ภายในระยะเวลาเพียงยี่สิบกว่าปี
…
การมีมหาเต๋าสิบประการที่บรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ ย่อมหมายความว่า ต่อแต่นี้ไป เฉินซีจะมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากขึ้นถึงสิบเท่า และได้รับการยกย่องให้เป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในหมู่ผู้บ่มเพาะด้วยกัน! …ตั้งแต่ยุคบรรพกาลมาจนถึงปัจจุบัน จะมีคนสักกี่คนที่ได้รับการยกย่องเช่นนี้?!
การบรรลุถึงขอบเขตระดับนี้นั้นเพียงพอที่จะกวาดล้างทุกคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน และนับได้ว่าอยู่ยงคงกระพัน!
อันที่จริง… เฉินซีโดดเด่นยิ่งกว่านั้นเสียอีก เนื่องจากความแข็งแกร่งที่เขามีเหนือชั้นกว่าผู้บ่มเพาะในระดับเดียวกันมาก แค่ในช่วงแรกที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมาเป็นหกเท่า ชายหนุ่มก็สามารถจัดการเสิ่นหลางหยาที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากถึงห้าเท่า ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว!
…ในตอนนั้นเสิ่นหลางหยาไม่อาจต้านทานการโจมตีของเฉินซีได้แม้แต่น้อย แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนนี้?
อาจกล่าวได้ว่า แม้แต่ยอดบุรุษที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ราว ๆ สิบเท่าหรือสิบสองเท่า ก็ไม่คณามือเขาแม้แต่น้อย!
อีกทั้งแดนฮุ้นตุ้นที่สร้างขึ้นจากยันต์เทวะทั้งห้าของเขา และการบ่มเพาะที่แสนหฤโหดก็มีส่วนในการเสริมความแข็งแกร่งอย่างมาก
ฟิ้ว!
เฉินซีลืมตาขึ้น ภายในดวงตาที่พร่างพรายด้วยอักขระยันต์นั้น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กำลังหมุนเวียนเปลี่ยนผันเป็นวัฏจักร ทันทีที่เขากวาดสายตาออกไป เพียงแค่การจ้องมองคราเดียว ก็ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนแล้ว!
ชายหนุ่มหยัดกายยืนขึ้นพลางเอามือไพล่หลัง รูปร่างที่องอาจของเขาคล้ายจะฉีกกระชากผืนฟ้าให้เปิดออก เสื้อผ้าของชายหนุ่มพลิ้วไปตามสายลม ขณะที่ตัวคนยืนอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับร้อยนับพันบนท้องฟ้าด้วยท่าทางภาคภูมิ ทุกย่างก้าวของเขาเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความสง่างาม!!
เขาเป็นเหมือนผู้ปกครองของเอกภพแห่งนี้ ดวงดาวที่พร่างพรายเกินคณานับล้วนแต่เป็นสิ่งของในการครอบครอง นี่คือกลิ่นอายพลังอันไพศาลและทรงพลังที่มีเพียงผู้มีพลังระดับสุดขั้วเท่านั้นที่จะได้ถือครอง เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
หลังจากนั้นเฉินซีก็ได้เดินเตร็ดเตร่อยู่ในโลกแห่งดารา โดยไม่ได้บ่มเพาะเต๋าอีกต่อไป
มีเพียงการสกัดแก่นแท้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่ยังคงทำต่อไป เขาสกัดมันออกเป็นชิ้นส่วนมหาเต๋าจำนวนเก้าชิ้นซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งห้า ได้แก่ หยิน หยาง อัสนี และวายุตามลำดับ โดยชายหนุ่มตั้งใจจะแจกจ่ายมันให้แก่บรรดาศิษย์พี่ของเขา
ส่วนมหาเต๋ารู้แจ้งที่หายากทั้งสี่ประเภท อันได้แก่ มหาเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา การลืมเลือน นิรันดร์ และการกลืนกินนั้น ค่อนข้างคลุมเครือและยากเกินไป แม้เขาจะปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลาหลายร้อยปี ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถบรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์ได้
ในโลกภายนอก เวลาได้ผ่านมาสามปีแล้ว เขาจึงสงสัยเหลือเกินว่าท่านน้าไป๋จะเป็นอย่างไรบ้าง… เมื่อสิ้นความคิด เฉินซีพลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะหายไปจากโลกแห่งดาราอย่างรวดเร็ว
…
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
ริ้วแสงเคลื่อนผ่านราวสายฝน เด็กหนุ่มสาวจากค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งครามต่างกำลังอยู่ภายใต้การฝึกฝนที่เข้มงวด กลิ่นอายดุเดือดและจิตสังหารอัดแน่นไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นภาพที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่านี่เป็นสนามรบขนาดย่อม
“ยังไม่ดีพอ! จำไว้ว่าพวกเจ้าต้องมีลูกล่อลูกชน! อย่าใช้กระบวนท่าทื่อ ๆ มีแต่รูปแบบที่จำกัดความสามารถของพวกเจ้าได้ ขณะที่สถานการณ์ในสนามรบของจริงน่ะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแม้ในชั่วพริบตา ขืนเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจะรับมืออย่างไรกัน?”
“ค่ายอัสนีม่วง โจมตี! พวกเจ้าล้วนเป็นผู้ขัดเกลากายา ดังนั้นความเหี้ยมโหดอาจหาญจึงเป็นข้อได้เปรียบเดียวของพวกเจ้า!”
“บุก! แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าพลังน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงเป็นอย่างไร! แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าพลังทำลายล้างเป็นอย่างไร! ดึงพลังที่อยู่ภายในออกมา! พวกเจ้ามีเป้าหมายเดียวเท่านั้นในสนามรบ นั่นคือการสังหารศัตรูทั้งหมด! อย่าปล่อยให้สิ่งใดมาขัดขวางหนทางของเจ้า!” ชิงอวี่ยืนอยู่ในระยะไกลพลางตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน ใบหน้าอันอ่อนโยนของเขาบัดนี้ฉายชัดถึงความบ้าคลั่ง ไม่มีผู้ใดอยากจะเชื่อเลยว่าเขานั้นเป็นหนุ่มน้อยขี้อายที่แสนใจดี…
ข้างกายของเขา ประกอบด้วยศิษย์พี่ทั้งหญิงชาย เหมิงเหวยและโม่ย่าที่กำลังรับชมการประลอง แม้แต่อาซิ่วที่มีไป๋คุยอยู่ในอ้อมแขนก็ยังยืนมองการต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเฉินซีเดินออกมาจากห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือการต่อสู้ที่ดุเดือดประหนึ่งพายุคลั่ง
บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวจากค่ายอัสนีม่วงและค่ายผลึกเยือกแข็งครามต่างสวมใส่อุปกรณ์ที่คล้ายกัน ได้แก่ ปีกหงส์อัสนีวิสุทธิ์ รองเท้าแสงวิญญาณวายุ สายรัดเอวค่ายกลสี่ลักษณ์ สายรัดข้อมือแอ่งทองคำดำ …ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสมบัติวิเศษขั้นสุดยอดระดับปฐพี
ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม เห็นได้ชัดว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพวกเด็ก ๆ โดยเฉพาะ ส่งผลให้พวกเขาสามารถแสดงความสามารถที่มีทั้งหมดออกมาได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาเริ่มการต่อสู้ไปได้ระยะหนึ่ง พวกมันก็ได้สร้างรูปแบบการเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาขึ้นมา
แม้ว่าเด็กหนุ่มสาวจากค่ายอัสนีม่วงจะเป็นผู้ขัดเกลากายาทั้งหมด แต่สมบัติวิเศษชุดนี้ก็ยังสร้างประโยชน์ให้แก่พวกเขาอย่างมาก มันช่วยดึงความแข็งแกร่งทั้งมวลออกมา!
เฉินซีไม่สงสัยเลย …ของพวกนี้ต้องมาจากหั่วโม่เลยอย่างแน่นอน!
การต่อสู้ในครั้งนี้รุนแรงมาก มีผู้ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเรื่อย ๆ ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายมีฝนเลือดโปรยปราย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนการฝึกซ้อมเลยสักนิด มันแทบไม่ต่างกับการต่อสู้ของจริงเลย เพียงแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บถึงตาย
นั่นก็เป็นเพราะฝีมือในการควบคุมที่น่าเกรงขามของชิงอวี่ เขาควบคุมและสั่งการการรบระหว่างค่ายทั้งสองด้วยตนเอง ทุกครั้งที่มีคนได้รับบาดเจ็บ เจ้าตัวจะออกคำสั่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้คนเจ็บได้รับการปกป้องทันที ยิ่งกว่านั้น ด้วยการสั่งการของเขา สถานการณ์ในสนามรบจึงเป็นไปอย่างราบรื่น และไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการบาดเจ็บ!
…ความสามารถในการควบคุมกองทัพที่ไม่ธรรมดาของชิงอวี่ ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนแม่ทัพที่ผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน
ฉากนี้ทำให้เฉินซีค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็เห็นว่าภาพเจ้าหนุ่มขี้อายและอ่อนโยนนั้นได้สลายไปสิ้นแล้ว ชิงอวี่ในยามนี้เคร่งขรึม ทว่าดวงตาของเขากลับฉายแววกระหายเลือด
ช่างเป็นรูปลักษณ์ที่เขาไม่เคยนึกเลยว่าจะได้เห็น!
“นี่! นี่! เฉินซี! พวกข้าอยู่ตรงนี้” อาซิ่วโบกไม้โบกมือมาจากจุดที่อยู่ไกลออกไป เสียงของนางยังคงเอะอะทว่าใสกังวานเหมือนเคย
และก็เป็นตอนนี้เองที่ทุกคนต่างสังเกตเห็นเขา พวกเขาต่างทักทายชายหนุ่มอย่างอบอุ่น ทว่าจะมีก็แต่ชิงอวี่เท่านั้นที่ยังคงจดจ่ออยู่ที่สนามรบด้วยความตั้งอกตั้งใจ ราวกับเขาหลงลืมสรรพสิ่งรอบตัวไปเสียสนิท
เฉินซีเดินเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านั้น พร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันมาสามปี ยอดเขาจรัสตะวันตกของเราครึกครื้นขึ้นเยอะเลยนะ”
ทุกคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาเองก็ชื่นชอบชีวิตเช่นนี้ไม่น้อย เพราะมันทำให้พวกเขาได้ใช้ความสามารถที่มี และแม้ทุกคนจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดในทุกวัน แต่หัวใจของพวกเขากลับพองฟูอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เหมิงเหวยกับโม่ย่าก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาจรัสตะวันตกไปแล้ว ในทุก ๆ วัน นอกเหนือจากการลาดตระเวนไปทั่วภูเขาตามกำหนดเวลาแล้ว พวกเขายังหมั่นฝึกฝนและคอยสังเกตพัฒนาการของเด็ก ๆ ในเผ่านรกขุมที่เก้า ซึ่งภาพเหล่านั้นได้สร้างความปีติยินดีให้แก่พวกเขายิ่งนัก
หากพวกเขายังอยู่ในนรกขุมที่เก้าในตอนนี้ ชีวิตเช่นนี้แม้แต่จะคิดฝันถึงก็คงไม่กล้า!
มีเพียงอาซิ่วเท่านั้นที่ว่างมากกว่าใคร นางปล่อยให้เสวี่ยเหยียนรับภาระทั้งหมด ในขณะที่ตัวเองนั้นอุ้มไป๋คุยไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกวัน เป็นชีวิตที่สนุกสนานไม่น้อย
เฉินซีทอดถอนใจออกมา ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าพอจะมีข่าวคราวของมู่ขุยกับหลิงไป๋บ้างหรือไม่ขอรับ?”
หั่วโม่เลยส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ไม่เลย ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งนามไป๋กู้หนานมาที่นี่ พอเห็นว่าเจ้าปิดด่านฝึกบ่มเพาะ เขาจึงทิ้งแผ่นหยกเอาไว้และจากไป”
ไป๋กู้หนานหรือ?
เหตุใดเขาจึงมาที่นี่?
เฉินซีตกใจ ความคิดบางอย่างทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบแผ่นหยกในมือของหั่วโม่เลยขึ้นมาดู