บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 770 วิญญาณโลหิตฉยงฉี
บทที่ 770 วิญญาณโลหิตฉยงฉี
ฟู่! ฟู่!
นี่เป็นวัตถุประหลาดที่มีขนาดเท่าไข่ไก่และมีสีแดงสนิม ซึ่งดูเหมือนกับโลหะแต่ก็ไม่ใช่โลหะ ดูเหมือนหยกแต่ก็ไม่ใช่หยก และพื้นผิวของมันก็มีปราณโลหิตหนาแน่นอาบไล้อยู่โดยรอบ พร้อมกับเปล่งเสียงฟู่ ๆ ของการกัดกร่อนออกมา
พอฟังดี ๆ มันคล้ายกับเสียงของชิ้นส่วนโลหะกำลังถูกกัดกร่อน และได้แผ่กระจายความผันผวนที่ทำให้ใจสั่นไหวออกมา
วัตถุชิ้นนี้ถูกทิ้งไว้โดยชายในชุดคลุมโลหิตหลังจากตายตก และเกิดเป็นหลุมลึกเมื่อวัตถุประหลาดนี้หล่นกระแทกเข้ากับพื้นดิน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงน้ำหนักอันมากมายของมัน
ในขณะนี้ เฉินซีได้ถือมันไว้กลางอากาศเหนือมือของเขา กำลังตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
“ช่างแปลกยิ่งนัก เส้นปราณโลหิตเหล่านี้กลับผสานเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นค่ายกลยันต์อักขระแปลกประหลาด ซึ่งประทับความลึกล้ำไว้ในวัตถุนี้ การจะกำจัดปราณโลหิตนี้ด้วยวิธีการธรรมดาทั่วไปจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย”
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ เขาสังเกตเห็นในปราดเดียวว่า เส้นปราณโลหิตบนพื้นผิวของวัตถุชิ้นนี้ควบแน่นเหมือนกฎเกณฑ์ พวกมันดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้วกลับอัดแน่นมาก จนเกิดเป็นค่ายกลยันต์อักขระ ที่ทำให้สิ่งนี้แข็งแกร่งและควบแน่นมากยิ่งขึ้น และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฉินซี จึงไม่อาจบดขยี้มันได้ง่ายดายนัก
แน่นอนว่าหากชายหนุ่มใช้พลังมากกว่านี้ มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เนื่องจากวัตถุแปลกประหลาดสีแดงโลหิตนี้มาจากชายในชุดคลุมโลหิต มันจึงถือเป็นสมบัติประเภทหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นสิ่งเดียวที่ชายคนนั้นเหลือทิ้งไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้สึกเสียดายเกินกว่าจะทำลายมัน
ทันใดนั้น ประกายแห่งความคิดพลันเกิดขึ้นในใจของเฉินซี ในขณะที่เขานึกถึงผลอันน่าอัศจรรย์ของน้ำพุใต้พิภพ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ละทิ้งความคิดนี้ไปชั่วคราว เพราะหากล้มเหลว วัตถุชิ้นนี้ก็จะถูกทำลาย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าสำหรับเขาที่จะดูว่าวิญญาณโลหิตตนอื่นครอบครองสมบัติเช่นนี้หรือไม่ และมันก็ไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจในตอนนั้น
หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เฉินซีก็รุดหน้าขึ้นไปอีกครั้ง
การต่อสู้กับชายในชุดคลุมโลหิตทำให้ความมั่นใจของเฉินซีเพิ่มขึ้นมาก และเขาสามารถระบุได้อย่างคร่าว ๆ ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตน ย่อมมากพอที่จะเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งทั่วไปได้อย่างง่ายดาย
ทว่าชายหนุ่มไม่รู้ว่าขีดจำกัดของตนเองอยู่ที่ใด แต่เขาก็ตั้งตารอมันจริง ๆ
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เขาก็หยุดเคลื่อนไหว และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ‘วิญญาณโลหิตในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตชั้นที่ห้าสิบหกนี้ดูจะหาได้ยากมาก นอกจากชายในชุดคลุมโลหิตที่ข้าพบก่อนหน้านี้แล้ว จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่พบตนอื่นเลย’
นี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก เพราะตามความเข้าใจที่เกี่ยวกับถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตของเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิตจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนของพวกมันลดลงเมื่อเข้าไปข้างในมากขึ้น แต่มันน่าจะไม่ควรลดลงขนาดนี้
‘ที่นี่เกิดเรื่องอันใดกัน?’
‘หรือว่าที่นี่มีใครบางคนกำลังขัดเกลาตัวเองอยู่ก่อนที่ข้าจะมาถึง?’
เฉินซีขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานไปยังชั้นถัดไป
ณ ชั้นที่ห้าสิบเจ็ด
เมื่อเฉินซีเข้าสู่ชั้นนี้ เขาก็โคจรปราณแท้ในทันที เพราะแรงกดดันของที่นี่นั้นมากกว่าชั้นที่ห้าสิบหกถึงสองเท่า ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับแบกภูเขาลูกมหึมาไว้บนบ่า และมันก็หนักอย่างยิ่ง
เฉินซีกำลังผ่อนลมหายใจออกทางปาก ก่อนที่จะสลายแรงกดดัน แต่ปากที่เพิ่งเปิดของเขาก็ต้องปิดลงทันที เพราะชายหนุ่มเกรงว่าการผ่อนลมหายใจออก อาจทำให้แรงดันภายในและภายนอกของร่างกายไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้หน้าอกถูกกดทับทันทีและได้รับบาดเจ็บ
ชายหนุ่มกวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ และสังเกตได้ทันทีว่า หากไม่ได้ใช้เนตรเทวะแห่งความจริง เขาจะตรวจสอบพื้นที่รอบข้างได้เพียงสามลี้เท่านั้น เพราะจิตสัมผัสเทพของเขาถูกจำกัดมากขึ้นที่นี่
การค้นพบนี้ทำให้เฉินซีระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ตามการคาดการณ์ของเฉินซี ขณะที่เขาเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต แรงกดดันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกชั้น และข้อจำกัดที่ส่งผลต่อจิตสัมผัสเทพก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
บางทีอาจมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เข้าใจญาณเทวะอมตะเท่านั้น จึงสามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่นี่ได้
เหนือกว่าจิตสัมผัสเทพก็คือ ญาณเทวะอมตะ!
ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้ หลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์อัสนีครามระลอกที่หนึ่งของขอบเขตเซียนปฐพี …และมันทรงพลังยิ่งกว่าจิตสัมผัสเทพนัก แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ญาณเทวะอมตะนั้นสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของกฎแห่งเต๋าสวรรค์ได้แล้ว!
เช่นเดียวกับจิตสัมผัสเทพของผู้บ่มเพาะ ซึ่งสามารถใช้เพื่อทำความเข้าใจความล้ำลึกของเต๋าแห่งสวรรค์ ญาณเทวะอมตะของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ก็สามารถสัมผัสและรับรู้ถึงกฎแห่งเต๋าสวรรค์ได้เช่นกัน!
สิ่งนี้นับเป็นเรื่องปกติมากที่จิตสัมผัสเทพจะถูกจำกัดไว้ที่นี่ เพราะถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตชั้นที่ห้าสิบห้า เป็นสถานที่ที่มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้ ดังนั้นข้อจำกัดที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาต้องเผชิญ หลังจากเข้ามายังชั้นนี้จะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเท่าตัว!
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะหรือพลังการต่อสู้ แต่เป็นเพียงข้อจำกัดของขอบเขตการบ่มเพาะเท่านั้น
แม้ว่าเฉินซีในตอนนี้จะสามารถจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากเขาถูกจำกัดจากขอบเขตการบ่มเพาะ ผลกระทบของสถานที่นี้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากไปโดยปริยาย
เมื่อเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนไปยังระยะไกล และยังคงระแวดระวังต่อสิ่งรอบข้าง ในขณะที่สัมผัสได้ถึงผลกระทบจากแรงกดดันรอบข้างที่มีผลต่อตนเอง
“ช่างช้ายิ่งนัก!” เขาสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า ปราณแท้ในร่างกายของตนโคจรช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ในอดีต เมื่อเฉินซีใช้เคล็ดวิชาบ่มเพาะ ปราณแท้ในร่างกายจะโคจรด้วยความเร็วสูงสุด เหมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างบ้าคลั่ง แต่ในขณะที่ชายหนุ่มอยู่ในชั้นที่ห้าสิบเจ็ดของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ความเร็วในการโคจรของปราณแท้ได้ลดลงไปมากกว่าสามเท่า ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาทำได้ยากยิ่ง ราวกับว่าเส้นลมปราณตีบตัน
“ไม่ว่าร่างกาย จิตวิญญาณ หรือปราณแท้ของข้า ล้วนถูกสะกด ดังนั้นหากข้าบ่มเพาะอยู่ที่นี่ บางทีข้าอาจกระตุ้นศักยภาพของข้าได้มากมายทีเดียว…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตระหนักได้อย่างราง ๆ ว่า แรงกดดันของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตนี้อาจมีผลกระทบบางอย่างต่อการบ่มเพาะ!
หากใช้แรงกดดันถึงระดับสูงสุด เพื่อบีบบังคับคนจนถึงขีดกำจัด อาจทำให้คนผู้นั้นพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น แต่แน่นอนว่าการกดดันมากเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี
…ถึงอย่างไร ศักยภาพของคนคนหนึ่งย่อมไม่อาจถูกบีบเค้นออกมาในทันทีได้ จึงจำเป็นต้องมีระดับความหนักเบา เพราะหากกดดันมากเกินไปย่อมทำให้คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ แล้วจะนับประสาอะไรกับการพัฒนาการบ่มเพาะกัน?
แต่เฉินซีก็พบว่า การที่ปราณแท้โคจรช้าลงกลับไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเช่นกัน บางครั้งการที่ปราณแท้โคจรรวดเร็วเกินไปอาจทำให้พลาดรายละเอียดได้ง่าย มันก็เหมือนกับการกลืนอาหารเลิศรสโดยไม่ได้ลิ้มรสมันให้ดีเสียก่อน
เมื่อปราณแท้โคจรช้าลงในตอนนี้ ชายหนุ่มพลันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ปราณแท้ของเขาโคจรได้อย่างชัดเจน และทุก ๆ การโคจรก็ดูจะแตกต่างกันเล็กน้อย
เส้นลมปราณและจุดชีพจรได้ปกคลุมทั่วร่างกายของเฉินซีอย่างหนาแน่น และเนื่องจากความแตกต่างของตำแหน่ง ความแกร่ง และความกว้าง ผลที่เกิดจากการโคจรปราณแท้ผ่านพวกมันจึงแตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น เส้นลมปราณบางส่วนมีประโยชน์ต่อการเร่งการโคจรของปราณแท้ แต่เนื่องจากความกว้างที่แตกต่างกัน มันจึงเกิดความผันผวนในปราณแท้ได้ง่าย แม้ว่าเส้นลมปราณบางส่วนจะปกติดี แต่ก็มีผลกระทบต่อการควบแน่นของปราณแท้ที่ไม่สามารถแทนที่ได้เช่นกัน
แม้การค้นพบเหล่านี้จะไม่เด่นชัด แต่มันทำให้เฉินซีตระหนักว่า เนื่องจากเส้นลมปราณและจุดชีพจรทั่วร่างกายของเขา ได้รับการจารึกด้วยอักขระยันต์ต่าง ๆ ไว้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นเขาก็อาจใช้มันเพื่อขัดเกลาการโคจรของปราณแท้ของตนได้!
ปัง!
ขณะที่เฉินซีกำลังก้าวไปข้างหน้า และกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงโครมครามพลันดังขึ้นทันทีจากระยะไกล …ดูเหมือนกับมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่!
เฉินซีเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และมองไปที่นั่นจากระยะไกล ‘แน่นอนว่ามีคนนำหน้าข้าไปหนึ่งก้าว และมาที่นี่เพื่อสังหารวิญญาณโลหิต…’
ฟิ้ว!
ในช่วงเวลาต่อมา ร่างของชายหนุ่มได้กลายเป็นลำแสงทะยานไปอย่างรวดเร็ว
เขาใคร่สงสัยเป็นอย่างมากว่า ผู้อาวุโสของนิกายคนใดกำลังบ่มเพาะอยู่ที่นี่ และมีฝีมือร้ายกาจจนสามารถกวาดล้างชั้นที่ห้าสิบหก ก่อนที่จะมาล้างบางชั้นที่ห้าสิบเจ็ดในตอนนี้
“อันดับที่หนึ่ง! ข้าต้องทวงอันดับที่หนึ่งของข้าคืนมาให้ได้ก่อน! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
ขณะที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เสียงตะโกนก็กระทบโสตของเฉินซีอย่างชัดเจน และหลังจากที่ใช้เนตรเทวะแห่งความจริงเพื่อมองดู การแสดงออกที่แปลกประหลาดพลันปกคลุมบนใบหน้าของชายหนุ่มในทันที
การต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินกำลังเกิดขึ้นบนพื้นดินสีน้ำตาลแดงอันกว้างใหญ่ในระยะไกล
วิญญาณโลหิตที่ใหญ่โตดุจภูเขา แม้จะดูเหมือนโค แต่ก็เหมือนพยัคฆ์เช่นกัน อีกทั้งยังมีปีกมหึมาคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังต่อสู้กับชายหนุ่มรูปงามในชุดนักพรตเต๋าสีม่วงเข้มอย่างดุเดือด และสวมเข็มขัดชั้นดีที่ทำจากโลหะอ่อนฝังด้วยไข่มุก
เดิมที อีกฝ่ายคงเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น แต่ผมเผ้าของเขาในขณะนี้กระเซอะกระเซิง ในขณะที่สีหน้าก็เผยความดุร้ายออกมา ทำให้ตัวคนดูเหมือนปีศาจบ้าคลั่ง ซึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดจนอาบไปด้วยเลือด …ยิ่งกว่านั้น เสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีม่วงเข้มของเขาก็ยังโชกไปด้วยเลือด!
การที่สีหน้าของเฉินซีนั้นแปลกไป เป็นเพราะเหตุผลนี้ เดิมทีเขาคิดว่าผู้อาวุโสขอบเซียนปฐพีของนิกายกำลังบ่มเพาะอยู่ที่นี่ แต่ชายหนุ่มไม่คาดคิดแม้แต่น้อย …ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนผู้นี้!
เสิ่นหลางหยา!!!
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
“เหตุใดเขาถึงต้องบ่มเพาะพลังอย่างสิ้นหวังเช่นนี้?”
เฉินซีสัมผัสได้ว่า กลิ่นอายของเสิ่นหลางหยานั้นน่ากลัวกว่าเมื่อก่อนมาก ในขณะที่อีกฝ่ายต่อสู้ ร่างกายของเจ้าตัวก็จะแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังและกดขี่ออกมา
เห็นได้ชัดว่า คู่ต่อสู้ของเสิ่นหลางหยาคือวิญญาณโลหิตที่ก่อตัวจากสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาล ‘ฉยงฉี’*[1] ซึ่งมีพลังทางกายภาพและความดุร้ายที่ไม่ธรรมดา กรงเล็บแหลมคมของมันเปล่งแสงสีเลือดออกมา ในขณะที่ฉีกกระชากโลกออกจากกัน ความเร็วของมันรวดเร็วราวกับกำลังเคลื่อนย้ายมิติ อีกทั้งมันยังดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก …ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของมันยังเหนือกว่าชายในชุดคลุมสีเลือดที่เฉินซีเคยพบก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ!
เสิ่นหลางหยาสามารถต่อสู้กับมันได้อย่างดุเดือดจนถึงตอนนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้เสียเวลาหลายปีนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์!
“ตาย! ไปตายซะ! ข้าเสิ่นหลางหยาคืออันดับหนึ่งที่แท้จริง! ข้าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์จากยอดเขาจรัสเทวะ!” เสิ่นหลางหยาคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่โจมตีอย่างดุเดือดไร้ความปรานี ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังจินตนาการว่าฉยงฉีเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตน
เฉินซีลูบจมูกอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าศัตรูที่เสิ่นหลางหยากำลังจินตนาการอยู่น่าจะเป็นตัวเขาเอง แม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็นึกไม่ถึงว่าการสูญเสียตำแหน่งศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาจรัสเทวะ จะทำให้อีกฝ่ายเสียใจอย่างมากจนถึงขั้นไม่อาจปล่อยวาง หลังจากผ่านไปหลายปี
อันที่จริง หากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เสิ่นหลางหยากับเขาไม่ได้มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มีเพียงเสิ่นหลางหยาที่หยิ่งผยองเกินไปยามอยู่ในโถงพินิจกระบี่ ณ วันนั้น ทำให้เฉินซีซัดอีกฝ่ายเสียจนปลิวกระเด็นด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ก่อนที่จะกลบชื่อเสียงของอีกฝ่ายเสียมิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน และไม่เคยพบกันอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วเฉินซีจะทราบได้อย่างไรว่าคนผู้นี้จะหมกมุ่นกับเรื่องนี้มาก?
ชายหนุ่มส่ายศีรษะและตั้งใจจะจากไป
ทว่าในเวลานี้เอง วิญญาณโลหิตอีกดวงหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นในสนามรบที่ห่างไกล และทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็รวมพลังกับฉยงฉีเพื่อโจมตีเสิ่นหลางหยาครั้งแล้วครั้งเล่า!
นี่เป็นวิญญาณโลหิตที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดมาก มันเหมือนถุงสีแดงเลือดนกที่มีหกขาและปีกสี่คู่ แต่ไม่มีหน้า ความแข็งแกร่งของมันน่ากลัวอย่างยิ่ง และมันก็สามารถเคลื่อนย้ายระหว่างมิติได้ มันเคลื่อนที่ไปมาในมิติ และดูจะทำการลอบโจมตีทุกครั้งที่สบโอกาส ทำให้คนอื่นไม่สามารถหาร่องรอยของมันได้เลย!
ทันใดนั้น เสิ่นหลางหยาก็เผยสีหน้าที่ตกใจ โกรธจัด และแม้แต่ร่องรอยของความตื่นตระหนกออกมา อีกทั้งบาดแผลจำนวนมากที่ลึกจนเห็นกระดูกได้ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาในชั่วพริบตา ทำให้เลือดสาดกระเซ็นไปในอากาศ
สถานการณ์พลิกผันในทันที เสิ่นหลางหยากำลังตกอยู่ในอันตราย!
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับเสิ่นหลางหยาก็คือ หลังจากเขาทำลายยันต์เคลื่อนย้ายมิติในมือ มันกลับไร้ผล! ราวกับพื้นที่แห่งนี้ถูกผนึกไว้
‘ฉิบ… ข้าประมาทเกินไป!’
‘วิญญาณโลหิตขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองกลับปรากฏตัวขึ้นมา หรือข้าเสิ่นหลางหยากำลังจะตายที่นี่?’
ความไม่เต็มใจพลันผุดขึ้นในใจของเสิ่นหลางหยา เขาไม่กลัวความตาย แต่เขาก็ไม่ต้องการตายเช่นนี้ เพราะเขาต้องการทวงตำแหน่งอันดับหนึ่งและกอบกู้เกียรติยศในอดีตกลับคืนมา!
ครืน!
ฉยงฉีกระพือปีกที่เปื้อนเลือด และทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังก้องออกมา ในชั่วพริบตาต่อมา มันได้มาถึงอากาศเหนือร่างของเสิ่นหลางหยา ก่อนที่กรงเล็บมหึมาของมันจะพุ่งลงมาอย่างรุนแรงราวกับหัตถ์ของเทพอสูร!
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณโลหิตที่ดูแปลกประหลาดอีกตัว ได้โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าทางด้านหลังของชายหนุ่ม และโจมตีเขาโดยไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว…
[1] ฉยงฉี คือ หนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล มันมีร่างกายคล้ายพยัคฆ์มีปีก ชอบกินมนุษย์ มักสนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดี