บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 789 ธงเทพโลหิตผสาน
บทที่ 789 ธงเทพโลหิตผสาน
เสียงคำรามของกระบี่พุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำที่สะท้านสวรรค์ทั้งเก้า
ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของหลวงจีนจื่ออวิ๋นกลับมืดมน “ข้าไม่คู่ควรจะกล่าวเรื่องโชคชะตากับเจ้าหรือ? วิเศษ ข้าชักแปลกใจจริง ๆ แล้วสิว่า เจ้ามีขวัญกล้าเทียมฟ้าตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวมาตรงนี้ เขาก็จ้องมองลงมาและกวาดสายตามองผ่านทุกคนในตำหนัก จากนั้นจึงกล่าวว่า “ทุกคน ข้าแนะนำให้พวกเจ้าเชื่อฟังแต่โดยดีและอย่าได้ขยับ บางทีพวกเจ้าอาจจะมีโอกาสรอดชีวิต มิฉะนั้น ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปลงนรก!”
ทุกคนล้วนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เผยสีหน้าที่ดิ้นรนและไม่แน่นอนออกมา
โดยเฉพาะเวินเทียนซั่ว ชิงผิง ฮุ่ยจง และโหลวฉี ซึ่งกำลังดิ้นรนอย่างหนักในใจ อันที่จริง หากเป็นก่อนที่หลวงจีนจื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ จะมาถึง พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย และช่วยเฉินซีสังหารไฮว่หมิงและเป่ยหวง
แต่ตอนนี้…พวกเขากลับลังเล!
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เป็นเพราะความแข็งแกร่งของหลวงจีนจื่ออวิ๋น นักพรตฉือหยา และปรมาจารย์หวงเจียวนั้นน่ากลัวเกินไป …ห่างชั้นเกินกว่าพวกเขาจะต้านทานได้!
แต่เฉินซีในตอนนี้ดูจะไม่มีทางได้เปรียบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพราะถึงอย่างไร คู่ต่อสู้ของเขาก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีห้าคน ซึ่งมือของคนพวกนี้ก็ล้วนแต่อาบเลือดมาอย่างโชกโชน
ภายใต้สภาวะนี้ เวินเทียนซั่วและคนอื่น ๆ จะไม่ร้อนรนใจได้อย่างไร?
“เราควรทำอย่างไรดี?”
“เราควรช่วยหรือไม่?”
พวกเขาตระหนักดีว่า การตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจทำให้พวกเขาตายอย่างไร้ที่ฝังในวันนี้ จึงทำให้สีหน้าของทุกคนไม่แน่นอน
แม้แต่มดก็ยังหวงแหนชีวิต นับประสาอะไรกับสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเขาที่มีอายุมาอย่างยาวนาน ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งหวงแหนชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่อาจตำหนิพวกเขาที่มีท่าทีได้เช่นนี้!
“ข้าลืมบอกเจ้าไปอย่าง …สาเหตุที่ข้าออกจากนิกายเพื่อท่องสัญจรไปในโลกหล้า เพราะข้าต้องทำภารกิจของนิกายให้เสร็จ และข้าต้องฆ่าผู้ครองบาปมหันต์ทั้งสิบคน ซึ่งเมื่อลองคำนวณดูแล้ว หากข้าฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด มันก็ยังขาดอีกสอง เฮ้อ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ” ชุดสีเขียวของเฉินซีพลิ้วไหวตามสายลม ตัวเขาก็ดูดุร้ายขึ้นเรื่อย ๆ เผยท่าทีดั่งจักรพรรดิกระบี่ออกมา!
“ภารกิจของนิกายหรือ?”
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยิน และในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ และคนผู้นี้อาจเป็นตัวตนลึกลับจากแดนไร้นามก็เป็นได้
ถึงอย่างไร ชายหนุ่มก็ได้ฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสามคนไปอย่างง่ายดายในเมื่อครู่ที่ผ่านมา และเป็นการยากที่คนหนุ่มเช่นนี้จะปรากฏตัวอยู่ในนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ
หลวงจีนจื่ออวิ๋นเพียงยิ้มบาง ในฐานะจ้าวเหนือหัวในหมู่ผู้บ่มเพาะที่ชั่วร้าย ซึ่งสังหารผู้คนไปมากมายนับไม่ถ้วน เขาจะได้รับผลกระทบจากคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ก็อย่าได้ตำหนิข้าเลย”
ทันใดนั้น เจ้าตัวก็สะบัดแขนเสื้อสีม่วงออกไป ทำให้ธงขนาดเล็กสีเลือดห้าผืนปลิวออกไป ก่อนที่จะขยายออกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น พวกมันก็กลายเป็นธงสีแดงเลือดที่มีความสูงถึงสิบห้าลี้ที่โบกสะบัดในสายลม ทำหน้าที่เป็นเหมือนม่านปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งย้อมฟ้าดินจนเป็นสีแดงเลือด
ฆ่า!
ฆ่า!
ธงสีแดงเลือดทั้งห้าผืนนี้ดูราวกับเพิ่งถูกถอนขึ้นมาจากทะเลเลือด พื้นผิวของพวกมันอาบไปด้วยโลหิต อีกทั้งยังมีข้อจำกัดที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยองอยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งดึงดูดทุกคนทันทีที่พวกมันปรากฏตัว พวกมันต่างพากันเปล่งเสียงแห่งความทุกข์ระทมและเสียงร้องโหยหวนที่สั่นสะเทือนฟ้าดินออกมาไม่หยุด
วิญญาณชั่วร้ายและอาฆาตพยาบาทนับไม่ถ้วนต่างล่องลอยจากธงสีแดงโลหิตนี้ และเพียงได้ยินเสียงคำรามจากพวกมัน ก็ทำให้ทุกคนขนลุกซู่อย่างไม่อาจควบคุม!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ธงสีแดงเลือดทั้งห้าที่ปกคลุมท้องฟ้า ได้แปรเปลี่ยนแสงสีเลือดห้าดวงสาดส่องลงมายังบริเวณโดยรอบของตำหนักอ๋องเวินตามตำแหน่งของธาตุทั้งห้า พวกมันต่างสอดประสานกันจากระยะไกล เพื่อผนึกพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้อย่างสมบูรณ์ โลกภายนอกจึงไม่อาจพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตำหนัก และทุกคนในตำหนักก็ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้เช่นเดียวกัน!
ความสามารถที่ได้แบ่งแยกและปิดผนึกพื้นที่อันกว้างใหญ่ภายในพริบตานี้… มันช่างทรงพลังราวกับทวยเทพสำแดงเดช!
ทุกคนอยากจะหลบหนีออกไป เพราะกลัวจะถูกกวาดต้อนเข้ามา แต่คนทั้งหมดก็พบว่า ตำหนักทั้งหมดกลับถูกกักขังไว้จริง ๆ ในขณะที่พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยราวกับว่าตกลงไปในหนองน้ำ
“ไม่ได้การ! เหตุใดข้าถึงขยับไม่ได้”
“บัดซบ! ร่างกายของข้าก็ถูกผนึกเช่นกัน ข้าไม่สามารถโคจรปราณแท้ของข้าได้!”
ทุกคนล้วนตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ธงสีแดงเลือดทั้งห้าที่ปกคลุมท้องฟ้า เพราะทุกคนตระหนักได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ย่อมเกิดจากสมบัติวิเศษที่เปล่งแสงสีเลือดออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวทั้งห้านั่นเป็นแน่!
สมบัติวิเศษชุดนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลวงจีนจื่ออวิ๋นจะไม่เกรงกลัว เพราะนี่เป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยมและน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งสามารถผนึกพื้นที่และกักขังทุกคนไว้ได้
“ทุกท่าน ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก ตราบใดที่พวกเจ้ายังเชื่อฟังข้า ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนมีโอกาสรอดอย่างแน่นอน” หลวงจีนจื่ออวิ๋นกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
นี่เป็นสมบัติซึ่งแผ่พลังยับยั้งประเภทหนึ่งออกมา ซึ่งเมื่อเปิดใช้ มันก็มากที่จะปิดผนึกฟ้าดิน และทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตของสมบัติวิเศษ ต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกสยบแตกต่างกันไป
ทุกคนต่างตกใจ วิตกกังวล และไม่สบายใจ บางคนถึงกับตัวสั่น หรือหวาดกลัวจนทรุดฮวบลงกับพื้น
แม้แต่เวินเทียนซั่ว ชิงผิง ฮุ่ยจง และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกสองสามคนก็ยังรู้สึกหวาดกลัว “โชคดีที่ข้าไม่ผลีผลามไปก่อนหน้านี้ หลวงจีนจื่ออวิ๋นคนนี้น่ากลัวเกินไป ทรัพยากรและภูมิหลังของตัวประหลาดเฒ่าที่มีอายุยืนยาวกว่าหมื่นปีนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ไม่ว่าจะเป็นไป๋หลี่เยียนหรือข้ารับใช้ชราสองคนที่อยู่ข้างหลังนาง ใบหน้าของพวกเขาพลันกลายเป็นหนักอึ้ง เพราะพวกเขาอยู่ในบริเวณที่ถูกผนึกเช่นเดียวกัน ดังนั้นคนทั้งสามจึงสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากธงสีแดงเลือดทั้งห้าผืนนี้!
“สหายเต๋าไฮว่หมิง เป่ยหวง ฉือหยา และหวงเจียว พวกเจ้าแต่ละคนจงดูแลธงเทพโลหิตผสาน และปิดล้อมที่นี่ไว้” หลวงจีนจื่ออวิ๋นสั่งด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
ไฮว่หมิงและคนอื่น ๆ ต่างเผยยิ้มเหี้ยม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเลือดสี่สายทะยานออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
“ธงเทพโลหิตผสาน! มันคือสมบัติล้ำค่าที่ขึ้นชื่อเรื่องความชั่วร้าย” ไป๋หลี่เยียนโพล่งขึ้นมา ในขณะที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ
“ว่ากระไรนะ? นั่นคือธงเทพโลหิตผสานจริงหรือ? ธงที่ว่ากันว่าถูกครอบครองโดยบรรพบุรุษแม่น้ำโลหิตในยมโลก จากช่วงยุคบรรพกาล? ธงที่สามารถทำลายธาตุทั้งห้า ทำให้ภพทั้งสามต้องนองเลือด และเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตทั้งมวลให้กลายเป็นวิญญาณพยาบาทในทันทีน่ะหรือ!?” ผู้คนต่างตกใจ
ชื่อเสียงของธงเทพโลหิตผสานนั้นยิ่งใหญ่มาก ครั้งหนึ่งมันได้ประกาศศักดาในยุคบรรพกาล และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการเข่นฆ่า อีกทั้งมันยังได้สังหารสุดยอดฝีมือมากมายนัก
ว่ากันว่าธงเทพโลหิตผสานได้รับการขัดเกลาจากวิญญาณของเทพเจ้าภายในแม่น้ำโลหิตที่ยาวที่สุดในยมโลก และมันได้ก่อตัวเป็นโลกของตัวเองที่เรียกว่า ‘พิภพแม่น้ำโลหิต’ มันเป็นอาวุธสังหารที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับยุคบรรพกาล!
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับสมบัติล้ำค่าแห่งความชั่วร้ายนี้ เมื่อหลายปีก่อน บรรพบุรุษแห่งแม่น้ำโลหิตได้ครอบครองมัน และเขาเกือบพิชิตหกวิถีสังสารวัฏในยมโลก และเข้าควบคุมโลกใต้พิภพทั้งหมด ซึ่งเจ้าตัวก็อยู่ห่างจากการเป็นจ้าวผู้ปกครองเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น!
แม้ว่าบรรพบุรุษแห่งแม่น้ำโลหิตจะถูกจักรพรรดิยมโลกสยบในเวลาต่อมา แต่ข่าวลือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธงเทพโลหิตผสานก็แพร่กระจายออกไป
“ธงเทพโลหิตผสานถูกผนึกอยู่ภายในยมโลกตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว มันจะโผล่ขึ้นมาในโลกอีกครั้งได้อย่างไร? บางทีนี่อาจเป็นของเลียนแบบ ซึ่งจะสามารถใช้พลังของสมบัติอมตะได้ ก็ต่อเมื่อมีธงห้าผืนที่ทำงานร่วมกัน” ข้ารับใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังไป๋หลี่เยียนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ …เป็นเพียงสำเนา แต่กลับมีพลังมากขนาดนี้เชียวหรือ? แล้วถ้าธงเทพโลหิตผสานจริง ๆ โผล่มาในโลกล่ะจะน่าเกรงขามเพียงใด?
แม้แต่เฉินซีในตอนนี้ก็ยังหวั่นวิตกอยู่ในใจ ธงเทพโลหิตผสานทั้งห้าผืนได้ผนึกบริเวณโดยรอบไว้ และปลดปล่อยคลื่นผันผวนออกมาไม่หยุด ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างหนัก ราวกับตัวเขาตกลงไปในกรงขัง และไม่สามารถดิ้นรนหาทางออกได้
แต่หลังจากนั้น ใบหน้าของเฉินซีพลันกระตุกทันที เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ผิดปกติ ซึ่งมาจากภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ก่อนที่ในเวลาไม่นาน สีหน้าของชายหนุ่มจะกลับมาเป็นปกติ ขณะที่มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นจาง ๆ
“สหายเต๋าไฮว่หมิง เจ้าสามารถเคลื่อนไหวและฆ่าเด็กน้อยคนนี้ได้แล้ว ถือได้ว่าเป็นการแก้แค้นให้กับสหายเต๋าหัวอี้ สหายเต๋าเสวี่ยเฟิง และสหายเต๋าไป๋คง” หลวงจีนจื่ออวิ๋นสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขามั่นใจมากว่า ไม่ว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีจะท้าทายสวรรค์เพียงใด ชายหนุ่มย่อมไม่อาจต้านทานได้หากใช้ธงเทพโลหิตผสาน ถึงอย่างไร หลวงจีนจื่ออวิ๋นก็ใช้เวลาหลายพันปีในการรวบรวมเลือดและวิญญาณนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างสมบัติอันล้ำค่านี้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ของเลียนแบบ แต่ธงนี้ก็ทรงพลังยิ่งกว่าสมบัติอมตะทั่วไป!
หลวงจีนจื่ออวิ๋นสามารถรับมือกับหายนะร้ายแรงมานับครั้งไม่ถ้วนโดยพึ่งพามัน และอาจกล่าวได้ว่าที่เขาสามารถท่องไปมาได้อย่างอิสระจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะสมบัติล้ำค่านี้เอื้ออำนวย
“ฮ่า ๆ! ขอบคุณพี่ใหญ่จื่ออวิ๋นที่ช่วยให้ข้าบรรลุความปรารถนา!” ไฮว่หมิงหัวเราะดังสนั่น ในขณะที่ก้าวยาวเดินออกไป ดวงตาของเขาฉายแววจิตสังหารที่เข้มข้น “เด็กน้อย ให้ข้าดูหน่อยเถิดว่า เจ้าจะยังทำภารกิจบัดซบของนิกายเจ้าให้สำเร็จได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าตายแล้ว!”
ตู้ม!
ในชั่วพริบตาต่อมา ไฮว่หมิงพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีเลือดที่แผ่ขยายออกไป เข้าโจมตีใส่เฉินซี โดยหมายจะช่วงชิงและขัดเกลาแก่นโลหิตของอีกฝ่ายให้เป็นยาชูกำลังสำหรับตัวเอง
ชายหนุ่มที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์โปรดปรานอย่างแน่นอน ร่างกายทั้งหมดของเขาก็ต้องเป็นสมบัติล้ำค่า และสะสมโชคลาภไว้มากมายเช่นกัน ดังนั้นการกลืนกินอีกฝ่าย จึงเป็นยาชูกำลังชั้นยอดที่เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของไฮว่หมิง!
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ลำแสงสีดำสนิทพลันพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเฉินซี ซึ่งควรถูกผนึกจนไม่สามารถต่อสู้ได้!
ลำแสงสีดำสนิทนี้มีพลังต้องห้ามหนาแน่น อีกทั้งมันยังเย็นเยียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งดูจะสามารถลบล้างเคล็ดวิชาทั้งหมดได้!!!
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น บริเวณโดยรอบก็เหมือนกับถูกผนึกอย่างกะทันหัน และทุกสิ่งก็ตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด ที่ไร้การเคลื่อนไหว!
ทุกคนต่างพบว่า ไฮว่หมิงที่กลายเป็นแสงสีเลือดกว้างใหญ่ กลับถูกเฉินซีแช่แข็งเสียแล้ว และอีกฝ่ายก็ตกอยู่ในสภาพเฉื่อยชากลางอากาศ ราวกับปลาที่ถูกแช่แข็งอย่างฉับพลันในน้ำ
“หืม? นี่มันแสงแห่งการทำลายล้าง! พลังอิทธิฤทธิ์ที่ติดอันดับหนึ่งในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำของทั้งสามภพ เหตุใดเจ้าเด็กนี้ถึงใช้มันได้!?” ไฮว่หมิงตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “โชคไม่ดีที่เจ้ายังบ่มเพาะมันถึงระดับนี้เท่านั้น …พลังของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป การที่พลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้า ก็เหมือนกับของที่สวรรค์ประทานมาให้กลับต้องสูญเปล่า แล้วมันจะทำร้ายข้าได้อย่างไร?”
ปึง!
ขณะที่กล่าว ร่างกายทั้งหมดของไฮว่หมิงก็สั่นสะท้าน และหลุดออกจากการยับยั้งของแสงแห่งการทำลายล้าง จากนั้นเจ้าตัวก็กระโจนเข้าหาเฉินซีอีกครั้งด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง ทำให้ดูเหมือนเมฆปีศาจกำลังกดทับลงมาที่ชายหนุ่ม
ฟิ้ว!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับเปิดปากของเขาและพ่นปราณกระบี่ออกมา
ปราณกระบี่สายนี้ส่องแสงแพรวพราวและเปล่งประกายอย่างไร้ขอบเขต มันหักล้างความล้ำลึกของความลึกลับอันไร้ขอบเขต อีกทั้งยังสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
นี่คือปราณกระบี่รังสรรค์ และเขาได้รับการสืบทอดมาจากจักรพรรดิมดผู้สูงส่งในยุคบรรพกาล!
พรวด!
เมื่อปราณกระบี่สายนี้พุ่งออกมา ทำให้เกิดเสียงโครมครามดังก้อง ก่อนที่หน้าอกของไฮว่หมิงจะถูกแทงทะลุโดยตรง ในขณะที่ปราณกระบี่รังสรรค์บุกทะลวงเข้าไปในบาดแผลของเขา ทำให้เลือดหลั่งไหลออกมาจนยากจะรักษาได้!
ไฮว่หมิงตระหนักได้ว่าตนประมาทเกินไป เจตจำนงกระบี่นี้น่ากลัวยิ่ง! รวมทั้งยังบรรลุสถานะหมื่นกระบี่รวมหนึ่งแล้ว มันบดขยี้เนื้อหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้วายร้ายผู้นี้หวาดกลัวเสียจนร่างกายเยียบเย็นไปทั้งตัว และได้แต่ฝืนทนต่อความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ในขณะที่ถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้จะเกิดขึ้นจริง เพราะเฉินซีถูกความผันผวนของธงเทพโลหิตผสานผนึกไว้ แต่กลับสามารถใช้พลังได้เสียอย่างนั้น! ทว่าชายหนุ่มไม่เพียงใช้แสงแห่งการทำลายล้าง แต่ยังพ่นปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวออกมาทางปาก และทำร้ายผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามเช่นเขาได้!
“ข้าจะฆ่ามันเอง!” เสียงตะโกนที่น่ากลัวระเบิดออกมา ในขณะที่เป่ยหวงพุ่งเข้าใส่และโจมตีจากด้านหลังเฉินซี เขาได้เรียนรู้บทเรียนจากไฮว่หมิงมาแล้ว จึงไม่ได้รุกเข้าไปใกล้ แต่ดึงโซ่สีดำสนิทที่อาบไปด้วยแสงสีเลือดออกมา ก่อนจะฟาดมันลงมาจากกลางอากาศอย่างดุเดือดแทน
ราวกับโซ่ตรวนของเทพมารที่ฟาดลงมายังโลก!