บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 811 รวมตัวใหม่
บทที่ 811 รวมตัวใหม่
ณ เมืองวารีเมฆา ตำหนักอ๋องเวิน
บรรยากาศในที่แห่งนี้ดูเยือกเย็นเปล่าเปลี่ยว ทุกคนกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวและตื่นตะลึง สถานที่แห่งนี้สูญเสียความครึกครื้นไปเสียแล้ว
ตอนนี้คนในตระกูลและบรรดาบ่าวไพร่ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ตรงพื้นที่ว่างภายในตำหนัก เหมือนลูกแกะรอถูกเชือด แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวขณะยืนตัวสั่นเทา
ไม่ห่างกันเท่าไรนักคือ อ๋องเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสาเหล็กหนา ผมเผ้ายุ่งเหยิง มุมปากมีเลือดไหล ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยแผลน่าหวาดกลัว
โดยที่เบื้องหน้ามีเก้าอี้โยกและชายหนุ่มชุดขาวเอนหลังนอนพร้อมกับจิบสุราด้วยท่าทางสบาย ๆ อยู่
ชายหนุ่มผู้นี้มีคิ้วคม ดวงตาสุกใส ปากแดง ฟันขาว และมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเอนหลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยก แต่ก็ยังปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันน่าเกรงขามออกมาเหมือนคมกระบี่ที่อยู่ในฝัก
นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มร่างแกร่งยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นอีก เขามีท่าทางเย็นชาดุดัน นัยน์ตาดั่งเงาหยก กำลังยืนกอดอก ส่งสายตาเยือกเย็นมองเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสา
ทั้งสองคนได้ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาเข้าโจมตีโดยไม่บอกกล่าวสักคำ เหมือนเทพอสูรเข้ามาสังหารยอดฝีมือภายในตำหนักไปนับไม่ถ้วน ภายหลังจึงหยุดมือเมื่อจับตัวอ๋องเวินน้อยได้แล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าสองคนนี้มาเพื่อล้างแค้นให้เฉินซี!
ทันใดนั้น ทั้งตำหนักอ๋องเวินก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อต้านอีก และทำได้แต่มองอ๋องน้อยถูกผูกอยู่กับเสาเหล็กแล้วถูกทรมานอยู่สามวันสามคืน
บางคนรู้สึกโศกเศร้าไม่พอใจ ทนดูเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ จึงพุ่งเข้าไปหมายดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าผลลัพธ์ก็มีเพียงความตายที่รออยู่
คนทั้งสองเป็นดั่งเทพมารไร้ผู้ต้าน ทำการเข่นฆ่าเสียจนดับความต้องการที่จะหลบหนีจนมอดไป
ดังนั้นจึงเกิดภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ขึ้น ทุกคนภายในตำหนักยืนอยู่ทางด้านข้าง และมองไปทางอ๋องน้อยของพวกเขาที่กำลังถูกทรมานอย่างไม่อาจช่วยอะไรได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไร ไม่กล้าพูดสักคำด้วยซ้ำ!
“ฆ่า…ฆ่าข้าเลย” ริมฝีปากอ๋องเวินน้อยแห้งผากเต็มไปด้วยเลือด มันสั่นระริก ขณะขยับส่งเสียงแหบพร่าออกมา
“อยากตายหรือ? จะให้จบง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร?” ชายหนุ่มร่างแกร่งหัวเราะเสียงเย็นออกมา เขามองเวินหัวด้วยสายตาดุร้าย คล้ายไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเวินหัวเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่เท่านั้น
“ไม่ต้องไปสนใจ หากเฉินซีไม่กลับมา ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ต้องลืมตาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เอง!” ชายหนุ่มชุดขาวยกจอกสุราในมือขึ้นดื่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ข้าเพียงกังวลว่า…” ชายหนุ่มร่างแกร่งขมวดคิ้ว ใบหน้าเริ่มเผยแววกังวล
แต่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค ชายหนุ่มชุดขาวกลับเอ่ยขัดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องห่วง เฉินซีไม่ตายง่าย ๆ แน่ เราทำได้แค่รอ …เพราะหากข้าเป็นเขา ข้าย่อมต้องกลับมาล้างแค้นแน่!”
“หากกล้าก็สังหารข้าเสียเลยสิ ไอ้พวกปีศาจ! พวกเจ้ามันไร้ซึ่งความละอายใจและชั่วร้ายนัก แม้แต่เด็กเช่นข้าก็ไม่คิดละเว้น!” ทันใดนั้นเวินหัวก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา จนโซ่ที่พันรอบร่างส่งเสียงกระทบกัน
“เป็นบุตรย่อมควรชดใช้ความผิดแทนบิดา มันก็ถูกต้องดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สหายน้อยเอ๋ย หยุดทำตัวน่าสมเพชได้แล้ว เล่ห์กลกระจอกเช่นนี้จะไปหลอกใครได้? อยากตายหรือ? ข้าไม่ให้เจ้าได้สมใจหรอก” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก
“เจ้า…” เวินหัวรู้สึกสลดใจและมีสีหน้าสิ้นหวังนัก ในขณะที่ความเสียใจแทรกซึมลึกเข้ามาภายในจิตใจ เหตุใดวันนั้นเขาต้องแนะนำให้ท่านพ่อตอบตกลงรับเงื่อนไขของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ด้วย?
…เป็นตอนนั้นเองที่มีร่างสูงปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขามีใบหน้าหมดจดมีท่าทางไม่ธรรมดา หรือก็คือเฉินซีนั่นเอง! ในขณะนี้ชายหนุ่มกำลังเหลือบมองเวินหัวที่ถูกผูกอยู่กับเสา ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มชุดขาวและชายหนุ่มร่างแกร่งที่อยู่ทางด้านข้าง จากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจขึ้นมา “หลิงไป๋ มู่ขุย พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่?”
ชายหนุ่มชุดขาวพลันผุดลุกขึ้นส่งเสียงประหลาดใจทันที “เฉินซี เจ้าบ้า! ในที่สุดก็มาสักที!”
ชายหนุ่มร่างแกร่งที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าแข็งทื่อไป ก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้น “นายท่าน!”
ที่แท้ทั้งสองคือหลิงไป๋และมู่ขุยนั่นเอง!
ชายหนุ่มไม่ได้พบกับทั้งสองตั้งแต่เขาเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ดังนั้นการที่ได้มาพบเจอกันในตำหนักอ๋องเวินแห่งนี้ จึงทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับผู้อื่นแล้ว เมื่อเฉินซีปรากฏตัวขึ้น ร่างของทุกคนภายในตำหนักรวมถึงเวินหัวต่างก็สั่นสะท้าน และแสดงสีหน้าซับซ้อนที่เผยความสิ้นหวังออกมาอย่างเด่นชัด
ใครจะคิดว่าผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตทุกคนในตำหนักไว้ในวันนั้นจะแปรเปลี่ยนมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันด้วยสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ได้?
เฉินซีเหินร่างลงบนพื้นแล้วเดินไปตบไหล่หลิงไป๋กับมู่ขุย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงโล่งใจว่า “รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องรอด!”
นับตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหลิงไป๋กับมู่ขุยโดนเยว่ฉือเล่นงาน ชายหนุ่มก็เป็นห่วงสถานการณ์ของทั้งสองมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น
ทว่าเมื่อได้เห็นคนทั้งสองอีกครั้ง มันก็ให้รู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ทั่วทั้งร่างของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“เฉินซี เราจะจัดการสหายน้อยผู้นี้อย่างไรดี?” หลิงไป๋ก็รู้ดีเช่นกันว่าไม่ใช่เวลามารำลึกความหลัง เขาถามขึ้นพลางชี้ไปทางเวินหัว
ตอนนี้เด็กหนุ่มเองก็เงยหน้ามองเฉินซีเช่นกัน …อีกฝ่ายกำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมาให้
“นายท่าน เด็กคนนี้จิตใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถึงขนาดสาบานต่อเต๋าแห่งสวรรค์ก่อนที่ข้ากับหลิงไป๋จะมาถึง สาบานว่าต่อไปจะตามล้างแค้นท่าน…” มู่ขุยเอ่ยอธิบายจากทางด้านข้าง
“งั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย” เฉินซีโบกมือขัดคำพูดของมู่ขุย
ฉัวะ!
ทันทีที่ผู้เป็นนายพูดจบ มู่ขุยพลันสะบัดแขนคราหนึ่ง สังหารเวินหัวโดยไม่มอบโอกาสให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำใด
“แล้วคนจากตำหนักอ๋องเวินที่เหลืออยู่เล่า?” หลิงไป๋ว่าต่อ
“ไปหาที่ดื่มกันเถอะ” เฉินซีส่ายหน้าแล้วเดินออกจากตำหนักไป
หลิงไป๋กับมู่ขุยชะงัก พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินซีไม่ขุดรากถอนโคนเสียให้สิ้น แต่ถึงจะมีความสงสัยอยู่เต็มหัวใจ ทั้งคู่ก็ยังติดตามเขาเดินออกไปอยู่ดี
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ทุกคนในตำหนักพลันรู้สึกเหมือนน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในอกถูกยกออก พากันถอนหายใจโล่งอกออกมา บางคนถึงขนาดทรุดตัวลงกับพื้นเสียงดังแล้วร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
เดิมทีคิดว่าครั้งนี้พวกเขาคงไม่รอดแล้ว คงเผชิญกับความวิบัติไปพร้อมกับอ๋องน้อยและถูกฆ่าล้างตระกูลแน่ ใครจะไปคิดว่าจะสามารถรอดพ้นมาได้?
อย่างไรแล้ว การที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเพราะความแค้นระหว่างกันไม่ใช่เรื่องผิดปกติในโลกแห่งการบ่มเพาะ พวกเขาคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
ส่วนคนอย่างเฉินซีที่ฆ่าแต่คนชั่วไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่ทำเช่นนี้ แต่ก็เรียกได้ว่าหาได้ยากนัก
แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกซาบซึ้งต่อเฉินซี แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงการล้างแค้นเช่นกัน เพราะความแข็งแกร่งแตกต่างกันเกินไป ใครที่กล้าตะโกนคำว่าล้างแค้นออกมาอย่างไม่ยั้งคิด …คงไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!
…
ฟิ้ว!
เรือเหาะสมบัติทะยานผ่านชั้นเมฆออกจากเมืองวารีเมฆา ก่อนจะหายวับไปที่เส้นขอบฟ้า
ในขณะนั้น เฉินซีและมู่ขุยกำลังนั่งขัดสมาธิกันอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่งภายในเรือเหาะสมบัติ พวกเขากำลังดื่มเหล้ากันอยู่
หลิงไป๋แปลงกลับร่างเดิมแล้ว ตอนนี้เขาจึงมีความสูงราวสามจั้งเท่านั้น เจ้าตัวกำลังนอนไขว้ขาอย่างสบายใจอยู่บนไหล่ของเฉินซี ขณะถือกระดูกเนื้อชิ้นใหญ่ที่มีหอมกลิ่น เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ “อ้อ เฉินซี ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ไม่ได้กินเนื้อย่างที่เจ้าทำมานานแล้ว”
“ข้าก็ไม่ได้กินมานานแล้วเช่นกัน” ที่ฝั่งหนึ่ง เจ้าหมีน้อยขนทองที่มีนามอาหมานเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ในอุ้งมือมีเนื้อย่างอยู่
“นายท่านขอรับ” มู่ขุยอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านสังหารเวินเทียนซั่วกับเวินหัวไปแล้ว แต่กลับไว้ชีวิตคนในตระกูล ข้าเกรงว่าต่อไปจะเกิดอันตรายขึ้นกับท่านได้”
เฉินซีกลับเอ่ยเสียงเรียบว่า “ความอยุติธรรมทั้งหลายล้วนมีผู้กระทำทั้งสิ้น ตัวข้ากับเวินเทียนซั่วและเวินหัวมีความแค้นต่อกัน แต่คนในตระกูลพวกนั้นไม่มี เหตุใดพวกนั้นต้องโดนร่างแหไปด้วยเล่า?”
“แต่ในใจพวกเขามีความเกลียดชังไปแล้ว ต่อไปย่อมต้องสร้างปัญหาให้ท่านแน่” มู่ขุยเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“ข้ารู้” เฉินซีถอนหายใจ “มู่ขุย ตัวข้าเองเคยพบเรื่องไม่คาดฝันในตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมรู้ดีกว่าใครว่าความเมตตาอาจนำพาความวิบัติมาได้ ทั้งยังมีคนมากมายไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีมีสุข ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เพราะข้าเลือกวิธีฆ่าสังหารล้างโคตรทำร้ายผู้บริสุทธิ์แต่อย่างไร แต่เพราะพึ่งพละกำลังของตนเองต่างหาก!”
มู่ขุยชะงักไป
“มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ศัตรูจึงจะเกรงกลัว ไม่กล้าลงมือผลีผลาม แต่หากเจ้าแข็งแกร่งไม่พอ …ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องถูกศัตรูสังหารอยู่ดี” เฉินซีเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “หรือก็คือก้าวแรกสู่การบ่มเพาะคือการบ่มเพาะจิตใจของตนเองก่อน ตัวข้าเฉินซีจะล้างแค้นเมื่อจำเป็น แต่จะไม่ยอมให้ความเกลียดชังบดบังความมีเหตุมีผล ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องประสบกับความวิบัติไปด้วยแน่ เพราะหากข้าทำเช่นนั้น… แล้วตัวข้าจะไปต่างอะไรกับผู้ครองบาปมหันต์เหล่านั้นกัน?”
ความเกลียดชังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่จะน่ากลัวเมื่อถูกมันครอบงำจิตใจ ดวงจิตแห่งเต๋าแปดเปื้อนเพราะมันต่างหาก!
“เอาล่ะ มู่ขุย เจ้าอย่าไปคิดอะไรมากเลย ก็แค่ขยะกองหนึ่ง ถึงจะมีเวลาในมือมาก แต่เราจะทำอะไรได้กัน? พอถึงตอนที่พวกนั้นแข็งแกร่งขึ้น เราก็คงกลายเป็นเซียนไปนานแล้วกระมัง คงได้ท่องใต้หล้าหลุดพ้นจากสวรรค์ทั้งเก้า และหากพวกมันไม่ใช่คนโง่เขลา ก็คงไม่กล้าตามล้างแค้นเราหรอก” หลิงไป๋ส่ายหน้าพลางเอ่ยคำ
“นั่นก็จริง” มู่ขุยพยักหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
เฉินซียิ้ม เขากำลังคิดจะเอ่ยคำขึ้น แต่กลับชะงักไปแล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีใกล้จะมาถึงแล้ว…
มันเป็นความรู้สึกลึกล้ำที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วกลับมีโชคชะตากำหนดไว้!
“มาเถอะ เราไปกำจัดผู้ครองบาปมหันต์อีกสองคน แล้วค่อยกลับนิกายกัน!” เฉินซีลุกขึ้นพลางเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าจริงจัง เสื้อผ้าและผมยาวพลิ้วไหวตามแรงลม ร่างกายและจิตใจสะอาดหมดจด
สองวันถัดมา
เรือเหาะสมบัติได้มาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างเงียบเชียบ
เฉินซีกลับมาแล้ว!
ภายในเวลาไม่ถึงเค่อ ทั่วทั้งนิกายพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์หรือผู้อาวุโสล้วนรู้ดีว่าเฉินซีทำภารกิจ ‘ส่งต่อคบเพลิง’ และ ‘ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์’ สำเร็จแล้ว และกลับมาอย่างปลอดภัย!
กระทั่งชายหนุ่มเองก็ยังไม่คิดว่าการกลับมาของเขาจะทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นในนิกายได้ ตลอดทางมีแต่คนเดินเข้ามาทักทายไม่หยุด
แต่คำทักทายที่ผู้อื่นเรียกชายหนุ่มกลับต่างออกไป …จากที่เคยเรียกว่า ‘ศิษย์พี่เฉินซี’ ได้กลายเป็น ‘อาจารย์อาเฉินซี’ ไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างไร เขาเป็นปรามาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีตำแหน่งสูงและผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ถึงจะพบกับประมุขนิกายเวินหัวถิง ก็สามารถเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ศิษย์พี่ประมุขนิกาย’ ได้แล้ว
ระดับความอาวุโสที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะที่สูงขึ้น เหมือนเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าเขามีเกียรติและมีความแข็งแกร่งถึงระดับไหน
เมื่อเฉินซีมาถึงยอดเขาจรัสตะวันตก ก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในชุดบุรุษ กำลังยืนยิ้มรอเขาอยู่…