บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 819 สังหารในอึดใจเดียว!
บทที่ 819 สังหารในอึดใจเดียว!
EnjoyBook
บทที่ 819 สังหารในอึดใจเดียว!
เมื่อเฉินซีกล่าวคำพูดเหล่านั้น ทุกคนต่างตกตะลึงทันใด
เพราะครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า เหยาลู่เวยเมตตาเฉินซีไม่น้อยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเดิมพัน และไม่คิดจะฉกชิงสมบัติอมตะของชายหนุ่มไป
แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณ ทว่ากลับยืนกรานที่จะดำเนินการตามสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ ซึ่งมันก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลเล็กน้อย
น่าเสียดายที่ทุกคนหลงลืมบางอย่างไป นั่นคือเฉินซีไม่เคยขอให้เหยาลู่เวยช่วยเหลือตั้งแต่ต้นจนจบ!
หรือก็คือ พวกเขาเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าแม้เฉินซีจะแข็งแกร่งแค่ไหน ชายหนุ่มก็มิอาจจะอยู่เหนือกว่าเหยาลู่เวยได้!
“ใช่แล้ว!”
จากนั้นเวิ่นเทียนเซี่ยวพลันตะโกนเสียงดัง “เจ้าหนูนี่ยังไม่ได้รับการทดสอบด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเราจะมาตัดสินผู้ชนะในตอนนี้ได้อย่างไร?”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เจ้าตัวพลันมองเฉินซีด้วยความตื่นเต้น และหัวเราะเสียงดัง “เจ้าหนู นับว่าเจ้าใช้ได้ทีเดียว และหากตัดสินแค่จากเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ต่อให้ข้าแพ้ ข้าก็ยังเต็มใจที่จะเป็นสหายกับเจ้า!”
“เจ้าแพ้แล้ว”
เหยาลู่เวยขมวดคิ้วก่อนเปิดปาก นางตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซีก่อนหน้านี้ ในใจรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่หญิงสาวก็กลับมามีสติอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ นางชำเลืองมองเวิ่นเทียนเซี่ยว พร้อมกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ว่าผลการทดสอบของคุณชายคนนั้นจะเป็นอย่างไร เจ้าก็ไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกแล้ว หรือไม่จริง?”
ใบหน้าของเวิ่นเทียนเซี่ยวเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนยิ้มออกมา “ถึงจะเป็นอย่างนั้นข้าก็เต็มใจ!”
“คุณชาย ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น เจ้าก็จงไปที่สนามเพื่อรับการทดสอบเถอะ” เหยาลู่เวยยิ้มเจื่อน เมินเฉยเวิ่นเทียนเซี่ยว มองไปที่เฉินซีแทน
แม้เสียงนี้จะแผ่วเบาไร้อารมณ์ แต่มันกลับลอยเข้าหูของทุกคน ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงการตำหนิกลาย ๆ ที่แฝงอยู่ในถ้อยคำ คล้ายกับกำลังพูดว่าเฉินซีไม่รู้จักดีชั่ว
“สหายผู้นี้ถือว่าหลงตัวเองโดยแท้ นี่เขาคิดว่าตัวเองจะชนะการเดิมพันอย่างนั้นหรือ?”
“เว้นแต่ว่าเขาจะสามารถฆ่าวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีประโยชน์ แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?”
“เอาเถอะ เขาอาจจะมีความสามารถเช่นนี้จริง ๆ ก็ได้ เรามารอดูกันดีกว่า”
ทุกคนกระซิบกระซาบ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มองแง่ดีเกี่ยวกับเฉินซี แต่มีบางคนที่รู้สึกว่าเฉินซีอาจจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้จริง ซึ่งพวกเขาก็สังเกตจากท่าทียามชายหนุ่มหยิบสมบัติอมตะออกมาได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเสียงทั้งหมดทั้งมวลนี้ เฉินซีกลับเมินเฉยมันไปสิ้น และตรงเข้าสู่สนามต่อสู้ ก่อนจะประสานมือไปทางผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้า แล้วกล่าวว่า “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส ที่แห่งนี้มีวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดอยู่กี่ตัว?”
ทุกคนตกตะลึง ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าตกตะลึง พลางครุ่นคิด “ยังเหลืออีกสองตัว แต่หากเจ้าอยากท้าสู้เพิ่ม ข้าสามารถส่งใครบางคนไปจับพวกมันมาให้ได้อีก ทว่าคงต้องใช้เวลาสักพัก”
ทุกคนต่างทราบว่าสิ่งที่ชายวัยกลางคนกล่าวออกมานั้นเป็นความจริง ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะสมบัติวิเศษ เคล็ดการฝึกฝน โอสถ หรือสัตว์อสูรจักรวาลระดับสูง ขอเพียงแค่มีคำว่า ‘ระดับสูงสุด’ นั่นย่อมหมายความว่ามันหาได้ยากยิ่ง
เหมือนกับวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดตัวนี้ ในบรรดาวานรปีศาจเขาโลหิตหนึ่งหมื่นตัวอาจจะไม่มีเลยสักตัวก็ได้ที่เป็นระดับสูงสุด ดังนั้นการตามจับมันจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง
ทว่าทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือเขากำลังขอท้าทายวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดในจำนวนที่มากกว่านี้อย่างนั้นหรือ?
แม้กระทั่งเวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยยังตกตะลึง ดูท่าว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่ดูจะมีนิสัยสงบนิ่งไม่สะดุดตา แท้จริงแล้วกลับมีความอวดดีซึมลึกไปถึงกระดูก!
“ช่างเถอะ แค่สองตัวก็พอ” เฉินซีครุ่นคิดสักพักก่อนตัดสินใจได้
เขาเองก็คิดว่าประโยคนี้ไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่มันกลับทำให้ทุกคนเดือดดาลเมื่อลอยเข้าหู …เพราะประโยคเช่นนี้มันไม่บ้าไปหน่อยหรือ?
‘ช่างเถอะ’ อันใด?
‘แค่สองตัวก็พอ’ อันใด?
หรือเขารู้สึกว่าวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดสองตัวสามารถจัดการได้ง่าย ไม่อาจตอบสนองความต้องการได้อย่างนั้นหรือ?
บ้า!
บ้าเกินไปแล้ว!
ทุกคนในตอนนี้พลันรู้สึกว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้เสียที!
ตู้ม!
ยังไม่ทันไร ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าพลันสะบัดมือ ก่อนที่วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดสองตัวจะพุ่งออกมาพร้อมกับแผดเสียงคำราม พวกมันเหมือนกับเป็นสายฟ้าสีดำสนิทสองสาย ที่ไม่ช้าก็มาปรากฏตัวพร้อมโจนทะยานหมายฉีกเฉินซีเป็นชิ้น ๆ
การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว!
ทันใดนั้นความสนใจของทุกคนต่างถูกดึงดูด พวกเขาล้วนอยากเห็นว่าคนที่ไม่สะดุดตาแต่กลับทำตัวอวดดีผู้นี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน
“ตาย!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เฉินซีพลันขยับกาย ร่างของเขาราวกับมังกรที่พุ่งขึ้นมาจากหุบเหว ตัวคนไม่แม้แต่จะใช้สมบัติวิเศษ ทำแค่ฟาดฝ่ามือออกไป ทว่ามันกลับไม่ต่างกับการคว้ากุมดารา หมุนสุริยัน และตบจันทรา ที่เผยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามยิ่งออกมา!!!
เพียงเสี้ยวอึดใจ ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ราวกับเห็นเทพจุติลงมาจากท้องนภา ผู้มากลืนกินขุนเขาลำธาร และคุกคามโลกทั้งใบ!
ปัง!
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่าคือแค่ใช้ฝ่ามือฟาดออกไป มันก็มากพอที่จะทำให้วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดตัวขาดครึ่งได้!
ฟู่!
ทุกคนอ้าปากค้าง มือเท้าเย็นยะเยือก หนังศีรษะชาด้าน พวกเขาแทบจะคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
แม้แต่เวิ่นเทียนเซี่ยวกับเหยาลู่เวยยังตัวแข็งทื่อเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาหดลงด้วยความไม่อยากเชื่อ
หรือแม้แต่ผู้แทนแห่งโถงอันดับเก้าซึ่งยืนอยู่ข้างสนามต่อสู้ ก็ยังอดที่จะกระตุกอย่างรุนแรงไม่ได้ แก้มที่ไร้ความรู้สึกของเขาขยับในที่สุด และมันก็เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว!
เพียะ!
ก่อนพวกเขาจะทันได้สติ ร่างของเฉินซีพลันวูบไหวในท้องนภา เท้าขวาตวัดออกไปราวกับแส้เหล็กกล้า สิ้นเสียง ‘ปัง’ ร่างของวานรปีศาจเขาโลหิตอีกตัวพลันระเบิดออก!
หลังจากนั้น ร่างกายของวานรปีศาจเขาโลหิตก็ระเบิดราวกับกระดาษ โลหิตสีแดงเข้มไหลรินราวกับสายฝน ย้อมปฐพีให้เป็นสีแดง
ขาที่เหมือนกับแส้ …ได้สังหารวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดอีกตัว!
ทุกคนต่างตกตะลึง สีหน้าเหมือนเผชิญกับฝันร้ายยามตื่น ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นการท้าทายสวรรค์ยิ่ง!
ก่อนหน้านี้ ใครจะเชื่อว่าเขาจะถึงกับสังหารวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดได้?
แล้วใครจะคาดคิดว่า เพียงแค่โจมตีเร็วปานสายฟ้าสองครั้งจะสังหารอีกฝ่ายจนสิ้นสูญ?
ต้องทราบก่อนว่า สัตว์อสูรจักรวาลพวกนี้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนปฐพีระดับหนึ่ง พวกมันดุร้ายและมีพละกำลังอันน่าสะพรึง!
เวิ่นเทียนเซี่ยวเปิดปากกว้างทว่าไม่มีคำใดเล็ดลอดออกมา ขณะที่จิตใจของเหยาลู่เวยสั่นไหวจนไม่อาจสงบได้อยู่สักพักใหญ่ และนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการทดสอบที่ผู้แทนลืมประกาศผล…
ตอนนี้ไร้ซึ่งเสียงใด
ผลกระทบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน …ได้สร้างความตกตะลึงในใจของทุกคนราวกับพายุโหมกระหน่ำ ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่วานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุด แต่เป็นเพียงมดตัวน้อยอ่อนแอสองตัว!
ทว่าเฉินซีไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ ขณะที่ในใจรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ด้วยเขาคิดว่าตนเองควรจะสังหารวานรปีศาจเขาโลหิตสองตัวนี้ได้ในการโจมตีเดียวแท้ ๆ…
หากผู้คนทราบว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ในใจละก็ คงเดือดดาลจนแทบกระอักโลหิตเป็นแน่ เพราะหากเป็นเช่นนี้จริง ทุกคนในรุ่นเขาจะมีชีวิตต่อได้อย่างไร? ต่อให้บรรพบุรุษเฒ่าในขอบเขตเซียนปฐพีมาเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ยังต้องปิดหน้าแล้วเดินจากไปด้วยความละอายใช่หรือไม่?
“ผ่านการทดสอบ!” ผ่านไปสักพัก ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าพลันสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะประกาศผลลัพธ์
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนคล้ายตื่นจากความฝัน พวกเขาล้วนมองไปที่เฉินซีพร้อมกัน โดยสีหน้าแต่ละคนต่างเผยความซับซ้อน ในขณะที่ความสงสัยและการเย้ยหยันก่อนหน้านี้หายไป ซึ่งจะมีก็เพียงความเคารพและความตกตะลึงที่ฉายชัดขึ้นมาแทน
“เจ้าชนะ!” เวิ่นเทียนเซี่ยวถอนหายใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็สงบลงได้ก่อนกล่าวเสริมว่า “ข้ายอมรับการเดิมพัน สมบัติอมตะสี่ชิ้นนี้เป็นของเจ้า!”
ขณะที่พูด เวิ่นเทียนเซี่ยวพลันสะบัดแขนเสื้อ ส่ง ‘สร้อยหัวใจนภาคราม’ ‘พัดหัวใจครามพิฆาตวิญญาณ’ ‘กระบี่ล้ำลึกเก้าจรัสแสง’ และ ‘ถุงมือสยบมารแสงทมิฬ’ ผ่านมาทางอากาศ
ในการเดิมพันครานี้ เฉินซีถือเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้จำนวนของวานรปีศาจเขาโลหิตระดับสูงสุดที่ถูกฆ่าจะเท่ากับเหยาลู่เวย แต่หากเปรียบเทียบกระบวนการต่อสู้ระหว่างทั้งสองแล้ว มันก็ชัดเจนยิ่งนักว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน!
เมื่อเห็นว่าเฉินซีกำลังจะได้รับสมบัติอมตะจำนวนมากในคราวเดียว ทุกคนต่างอิจฉายิ่ง เพราะสิ่งนี้มันไม่ต่างจากการก้มลงหยิบของตามพื้นเลย นับว่าชายหนุ่มได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าอย่างง่ายดายนัก!
“คุณหนูเหยา ข้าไม่ต้องการชิงสมบัติอมตะของท่านเช่นกัน”
ในขณะเดียวกัน เฉินซียังกล่าวขึ้นอย่างสงบอีกว่า “ส่วนคุณชายเวิ่น ท่านจงเก็บไว้สองชิ้นแล้วส่งที่เหลือมาให้ข้าเถอะ”
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มอยากแสดงความเมตตา แต่มันชัดเจนยิ่งนักว่าทันทีที่เขาเก็บสมบัติอมตะสี่ชิ้นนี้ไป แม้เวิ่นเทียนเซี่ยวอาจจะไม่ทำอะไร แต่กองกำลังที่หนุนหลังอีกฝ่ายจะไม่มีทางยอมรามือแน่นอน!
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือสมบัติอมตะ ทั้งยังมีจำนวนถึงสี่ชิ้นด้วยกัน และการสูญเสียพวกมันไป แม้จะเป็นกองกำลังใหญ่ก็ตาม มันก็ยังทำให้รากฐานของพวกเขาสั่นสะเทือนไม่น้อย!
แน่นอนว่า บางทีตระกูลของเวิ่นเทียนเซี่ยวอาจจะไม่ขัดสนสมบัติอมตะ แต่การสูญเสียสมบัติอมตะถึงสี่ชิ้นเพราะการเดิมพันเพียงครั้งเดียว ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถกล้ำกลืนฝืนทนได้ง่าย ๆ!
ซึ่งหลักการนี้สามารถใช้กับเหยาลู่เวยได้เช่นกัน อีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากช่วยออกหน้าให้เขา มันจึงไม่เหมาะสมหากจะเก็บสมบัติอมตะกับอีกฝ่าย
หรือก็คือ การที่เฉินซีทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น แม้สมบัติอมตะบางชิ้นจะหายาก หรือทรงพลังอำนาจ แต่หากมันมาพร้อมกับปัญหา เช่นนั้นมันจะคุ้มค่าแล้วหรือ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวิ่นเทียนเซี่ยวก็ตกตะลึงยิ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา ด้วยเจ้าตัวรู้สึกไม่อยากเชื่อหูตนเอง
ไม่ใช่แค่เขา แม้กระทั่งเหยาลู่เวยกับคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังไม่เชื่อว่าชายหนุ่มจะปฏิเสธชิ้นเนื้อก้อนใหญ่เช่นนี้
มีเพียงคนกลุ่มเล็กเท่านั้นที่คาดเดาได้ว่าเฉินซีกำลังคิดอะไรอยู่ และกระทั่งรู้สึกชื่นชมว่า ความกล้าหาญเช่นนี้ใช่ว่าทุกคนจะทำได้!
เพราะถึงอย่างไร ก็มีหลายคนในโลกนี้ที่ดวงตามืดบอดเพราะความโลภ
“ได้! เฉินซี ข้าขอยอมรับเจ้าเป็นสหาย! แม้ข้าเวิ่นเทียนเซี่ยวจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่ขอเพียงเจ้าบอกมา ไม่ว่าจะขุนเขากระบี่หรือทะเลเพลิงข้าก็ไม่หวั่น!”
เวิ่นเทียนเซี่ยวสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง ความอิจฉาริษยาพลันบังเกิดขึ้นมา เพราะต้องทราบก่อนว่าเวิ่นเทียนเซี่ยวผู้นี้มีกองกำลังอันทรงพลังยิ่งอย่างภพกมลพฤกษาหนุนหลังอยู่ อีกทั้งบรรพบุรุษของเขายังเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ผู้อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีอีกด้วย!
ดังนั้นคำพูดของเขาจึงเป็นเหมือนคำสัญญา มีคุณค่ายิ่งใหญ่นัก ซึ่งเผลอ ๆ อาจจะมีมูลค่าสูงล้ำยิ่งกว่าสมบัติอมตะสองชิ้นเสียอีก!
หนึ่งวันผ่านไป
“เฉินซี เหยาลู่เวย และเวิ่นเทียนเซี่ยว พวกเจ้าสามคนผ่านการทดสอบนี้แล้ว ตามกฎของโถงอันดับที่เก้า หมู่บ้านจินซางคือสถานที่เริ่มต้นเพื่อให้พวกเจ้าเข้าสู่พิภพยันต์อักขระ!”
ผู้แทนแห่งโถงอันดับที่เก้าประกาศผลด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นโบกมือ “เอาล่ะ พาพวกเขาไปค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อทำการส่งตัวทันที!”