บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 821 ขจัดเภทภัย
บทที่ 821 ขจัดเภทภัย
เป็นเวลากลางดึกที่ระลอกเสียงร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองได้พุ่งผ่านขอบฟ้า ดังสนั่นไปในฟ้าดิน และก้องกังวานไปทั่วบริเวณของหมู่บ้านจินซาง
“พวกมันบุกมาอีกแล้ว!”
“สวรรค์! หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หอคอยยันต์อักขระคงอยู่ไม่ไกลจากความพินาศแล้ว!”
“หมู่บ้านอีกาคราม หมู่บ้านหลิวสุ่ย หมู่บ้านราชันกวาง… พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกทำลายเมื่อไม่กี่วันก่อน หรือว่าหมู่บ้านจินซางของเรากำลังจะเดินตามรอยเท้าพวกเขา?”
ชาวบ้านตื่นตระหนกและวิ่งหนีไป ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความเศร้าโศกยิ่ง
โฮก!
เสียงคำรามดังก้องเหมือนฟ้าร้องในแดนดิน เงาดำนับไม่ถ้วนที่มีขนาดมหึมาเหมือนภูเขาได้ปกคลุมท้องฟ้า ขณะที่พวกมันพุ่งมาจากทุกทิศทาง และสร้างการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน
วูบ! วูบ! วูบ!
กระแสพลังสีขาวขุ่นมากมายได้ถาโถมมาจากหอคอยยันต์อักขระที่มีความสูงสิบห้าลี้ ณ ใจกลางหมู่บ้าน จากนั้นจึงกระจายออกไป และต้านทานเงาดำมหึมาจำนวนมาก
หากมองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นว่าหมู่บ้านจินซางทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีขาวขุ่น และมันก็เหมือนกับชามขนาดมหึมาที่ปกคลุมหมู่บ้าน
ในขณะที่สัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมากที่ดุร้ายและมีขนาดมหึมา เป็นดั่งกระแสน้ำเหล็กกล้าที่ซัดกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้กำแพงแสงสั่นไหวอย่างรุนแรง พร้อมกับเกิดคลื่นเสียงดังกึกก้องออกมา
นี่ย่อมเป็นเภทภัยต่อชาวบ้านอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะได้รับความคุ้มครองจากหอคอยยันต์อักขระ แต่ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่า โครงสร้างภายในหอคอยยันต์อักขระได้รับความเสียหายอย่างมาก และพลังของมันก็ใกล้จะหมดลง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันย่อมไม่ห่างไกลจากความพินาศ…
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในเวลานี้ ลำแสงสามสายได้พุ่งผ่านท้องฟ้าสีดำสนิท และลอยอยู่กลางอากาศ ร่างกายของพวกเขาอาบไล้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจ้ามาก และพวกเขาก็เป็นเหมือนเทพเจ้าสามองค์ที่ดึงความสนใจของทุกคนในหมู่บ้านทันที
“นั่นมันผู้บ่มเพาะ! บางทีพวกเขาอาจช่วยเราให้รอดพ้นจากเภทภัยนี้ได้!”
“อย่ามีความสุขเร็วเกินไปนัก หรือว่าเจ้าลืมเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะเหล่านั้นไปแล้ว? พวกเขาล้วนล้มตายหรือไม่ก็หนีไป และไม่มีสักคนเดียวที่มีความสามารถ”
“แต่มันก็ยังเป็นความหวังในท้ายที่สุดมิใช่หรือ?”
“อนิจจา ไว้เรามาดูกันดีกว่า แต่อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินไปเล่า”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ไม่มีใครสักคนที่แสดงสีหน้าตื่นเต้น ใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความกังวล ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนที่มายังที่นี่ และทุกครั้งที่พวกเขาพบกับความหวัง พวกเขาก็มักจบด้วยการเผชิญกับความสิ้นหวังในที่สุด
ความหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ความสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงจรเช่นนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาทรมานจนแทบจะด้านชาไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงสงวนท่าทีต่อผู้บ่มเพาะทั้งสามที่มาถึงหมู่บ้านในวันนี้อย่างระมัดระวัง และพวกเขาไม่กล้าปรารถนาที่จะขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ถึงขนาดที่พวกเขาไม่ได้กังวลจริง ๆ ว่าผู้บ่มเพาะเหล่านี้จะสามารถจัดการสัตว์อสูรจักรวาลทั้งหมดได้หรือไม่ และพวกเขากลับกังวลแทนว่า ผู้บ่มเพาะทั้งสามนี้จะแอบหนีเหมือนคนอื่น ๆ ก่อนหน้าหรือไม่…
“บัดซบ! มีสัตว์อสูรจักรวาลมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ!?” เวิ่นเทียนเซี่ยวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา หลังจากที่เห็นมวลหนาแน่นของสัตว์อสูรจักรวาลกว่าพันตัว
“อันใดกัน? นี่เจ้าหวาดกลัวหรือ?” เหยาลู่เวยถามจากด้านข้าง
“หวาดกลัวอันใด? ข้าออกจะยินดีด้วยซ้ำ ในเมื่อมีกระสอบทรายมีชีวิตมาให้ข้าได้ฝึกฝนเช่นนี้ มันย่อมถือเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว!” เวิ่นเทียนเซี่ยวหัวเราะเยาะ
ฟิ้ว!
ขณะที่เขากล่าว ร่างคนพลันพุ่งออกไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร และหลังจากที่ร่างของเจ้าตัวพ้นจากกำแพงแสง กระบี่ล้ำลึกเก้าจรัสแสงในมือของเวิ่นเทียนเซี่ยวก็ฟาดฟันออกไป ทำให้ปราณกระบี่สองสายกวาดออกไป!
ปราณกระบี่นี้กวาดออกไปในแนวนอนและแนวตั้ง ทำให้ทั้งหยินและหยางยุ่งเหยิง ในเวลานี้ เวิ่นเทียนเซี่ยวได้แผ่ซ่านกลิ่นอายอหังการออกมา ทำให้ขณะที่ตัวคนพุ่งผ่าน ฝนโลหิตมากมายพลันโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับที่ชายหนุ่มเข่นฆ่าสัตว์อสูรจักรวาลต่อไปอย่างสำราญใจ
“ฮ่า ๆๆ! พวกมันเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุดเท่านั้น! ขยะแบบนี้จะขวางทางข้าได้อย่างไร? ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” เวิ่นเทียนเซี่ยวคำรามลั่น เขาถือกระบี่เซียนไว้ในมือ ขณะที่ท่องไปในจักรวาลอย่างไม่หยุดยั้ง!
ทุกคนในหมู่บ้านต่างตกตะลึงและรู้สึกเหลือเชื่อ
“ข้าคาดเอาไว้แล้วเชียวว่า พวกเขาแตกต่างจากผู้บ่มเพาะก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เห็นทีพวกเราคงไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว” ผู้อาวุโสเซวียหมิงที่อยู่ในหมู่บ้านรู้สึกประหลาดใจจนร่างกายของเขาสั่นสะท้าน และพึมพำกับตัวเอง
ฟิ้ว!
เมื่อทุกคนอุทานด้วยความประหลาดใจต่อพลังอันทรงอานุภาพของเวิ่นเทียนเซี่ยว ร่างงามของเหยาลู่เวยก็พลันสว่างวาบ โดยนางถือดาบพิฆาตวิญญาณจันทราแฝด ขณะที่ตัวคนพุ่งออกไปดุจลำแสงสาดส่อง
นางได้เผยกลิ่นอายที่มั่นคง ขณะที่ร่างพุ่งทะยานไปรอบ ๆ พร้อมส่งประกายดาบที่ดูราวกับแสงจันทร์สีขาวส่องประกายเข้าฟาดฟัน!
“พี่สาวคนนั้นน่าเกรงขามมาก นางเป็นเหมือนเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ซึ่งเหล่าทวยเทพส่งมาเพื่อช่วยเหลือพวกเราใช่หรือไม่?” เด็กสาวผมเปียผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงกังวาน ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชม
เดิมทีชาวบ้านต่างเป็นกังวลอย่างยิ่ง แต่พวกเขากลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทำให้ความกดดันที่หนักอึ้งราวกับภูเขาในใจของพวกเขาคลายลงอย่างมาก พร้อมกันกับที่ความหวังพลันเริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง!
“เหตุใดผู้บ่มเพาะคนนั้นถึงไม่เคลื่อนไหว?” มีคนสังเกตเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่กลางอากาศโดยไม่เคลื่อนไหว และคนคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงพอ แต่ด้วยผู้บ่มเพาะสองคนที่ช่วยเหลือเรา พวกเขาก็พอจะจัดการกับสถานการณ์อันตรายที่อยู่ตรงหน้าเราแล้ว”
“จริงอย่างที่เจ้าว่า เพราะถึงอย่างไร โถงอันดับเก้าไม่มีทางจะส่งผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสามคนมาช่วยเหลือเราในคราวเดียว”
ชาวบ้านต่างสนทนากันและเบือนสายตาจากเฉินซีไปยังเวิ่นเทียนเซี่ยวและเหยาลู่เวยอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง ด้วยความสามารถในการแยกแยะของพวกเขา ย่อมไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ของการต่อสู้ที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่ พวกเขามองเห็นได้เพียงปราณกระบี่ที่ลุกโชนและประกายดาบระยิบระยับ ทุกที่ที่ปราณกระบี่และประกายดาบแวบผ่านไป สัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมากจะถูกสังหาร ในขณะที่เลือดสดสาดกระเซ็นไปบนท้องฟ้า
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย พวกเขาไม่สนใจว่าการบ่มเพาะของคนทั้งสองจะน่าเกรงขามเพียงใด และมันก็ไม่สำคัญ ตราบเท่าที่คนทั้งคู่สามารถขจัดเภทภัยที่อยู่ตรงหน้าได้!
บนท้องฟ้า เฉินซีไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เพราะเขากำลังสังเกตสัตว์อสูรจักรวาลและคลื่นพลังที่สร้างขึ้นโดยหอคอยยันต์อักขระอยู่
เท่าที่เขาสังเกต ชายหนุ่มพบว่าการกำจัดสัตว์อสูรจักรวาลพวกนี้นั้นง่ายดายพอ ๆ กับพลิกมือ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พวกเขาควรทำอย่างไร หากฝูงสัตว์อสูรจักรวาลบุกมาในวันพรุ่งนี้อีก หลังจากที่ฆ่าล้างฝูงนี้ไปแล้ว
หากยังเป็นเช่นนี้ทุกวัน แม้พวกเขาทั้งสามจะได้รับพลังธรรมเทพเพียงพอ รวมถึงจากไปได้ แต่เภทภัยที่เกิดจากสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้จะยังคงอยู่ แล้วชาวบ้านเหล่านี้จะทำอย่างไร?
ดังนั้นหากต้องการฆ่าล้างพวกมัน เขาก็ต้องกำจัดที่ต้นตอ!
แต่สัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้มาจากห้วงลึกในจักรวาล และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของชายหนุ่ม เขาไม่มีความสามารถพอที่จะกวาดล้างมันได้
ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของหอคอยยันต์อักขระถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหา
‘ตามที่ผู้อาวุโสเซวียหมิงกล่าว โครงสร้างภายในหอคอยยันต์อักขระได้รับความเสียหายมาก และไม่สามารถคงอยู่ได้อีกต่อไป หากข้าซ่อมแซมมันได้อย่างสมบูรณ์ บางทีข้าอาจจะรับประกันความปลอดภัยในระยะยาวของพวกเขาได้…’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะส่ายศีรษะในที่สุด เขารู้ว่าทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับตอนที่เขาเข้าไปในหอคอยยันต์อักขระและตรวจสอบมันแล้วเท่านั้น ชายหนุ่มจะต้องพยายามซ่อมแซมมันเสียก่อนเขาจึงจะวางใจได้
“ตอนนี้ ให้ข้าดูว่าพลังธรรมเทพในพิภพยันต์อักขระนี้ได้มาอย่างไรเสียก่อน…” ประกายแสงเยียบเย็นได้วาบในดวงตาของเฉินซี ซึ่งในพริบต่อมา เขาก็พลันหายไปในอากาศ
โฮก! โฮกกก! โฮกกกกก!
ม่านแสงสีขาวราวทางช้างเผือกที่ปลดปล่อยออกมาจากหอคอยยันต์อักขระที่อยู่ห่างออกไป เมื่อกวาดมองไปก็จะเห็นสัตว์อสูรจักรวาลที่มีขนาดมหึมา บินไปบนท้องฟ้าและวิ่งทะยานอยู่บนพื้นดิน ทำให้ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก
“สามพันสองร้อยหกสิบตัว!”
ทันใดนั้น จิตสัมผัสเทพอันทรงพลังของเฉินซีพลันแผ่ขยายออกไปรอบ ๆ ก่อนที่ตัวเลขชัดเจนจะผุดขึ้นในใจของเขา และตัวเลขที่ว่านี้… มันก็แสดงถึงจำนวนของสัตว์อสูรจักรวาลที่มาโจมตีหมู่บ้านจินซางในครั้งนี้
ครืน!
ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีได้ใช้เคล็ดร่างแปลงสวรรค์และเคล็ดอวตารเทพ ทำให้เขากลายเป็นร่างที่มีความสูงถึงร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งปกคลุมด้วยกระแสพายุสายฟ้าที่พร่างพราวและเจิดจรัสอย่างไร้ขอบเขต ซึ่งหากมองจากระยะไกล ชายหนุ่มก็เป็นเหมือนเทพอสูรที่ยืนตระหง่านในโลกมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
ฆ่า!
เฉินซียื่นมือออกไปและฟาดด้วยเคล็ดฝ่ามือมหาดารา ทำให้นิ้วที่หนาเหมือนเสาค้ำยันสวรรค์ของเขาคว้าออกไป และครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสองลี้ตรงหน้าจนมิด
พรวด! พรวด! พรวด!
ด้วยพลังในการต่อสู้ในปัจจุบัน การทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่หนึ่งก็เหมือนกับการหั่นผัก นับประสาอะไรกับสัตว์อสูรจักรวาลที่มีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตสถิตกายา?
ด้วยการคว้าจับเพียงครั้งเดียว สัตว์อสูรจักรวาลกว่าร้อยตัวพลันถูกบดขยี้ และกลายเป็นก้อนเลือดปกคลุมท้องฟ้าขณะที่มันโปรยปรายลงมา จนเกิดเป็นภาพพายุฝนสีเลือดที่ย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งขึ้น
ซึ่งเมื่อได้เห็นฉากนี้ ใบหน้าของพวกชาวบ้านพลันแข็งทื่อไป ด้วยพวกเขาทั้งประหลาดใจและเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
เด็กสาวผมเปียถึงขั้นหวาดกลัวจนปิดตา ขณะที่นางร้องออกมาเสียงแหลม “รูปลักษณ์ของพี่ชายคนนั้นน่ากลัวเกินไป! น่ากลัวเกินไป!”
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ผู้บ่มเพาะที่พวกเขามองข้ามคนนี้จะมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามยิ่ง และการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากเขาก็สามารถสังหารสัตว์อสูรจักรวาลได้มากกว่าร้อยตัว!
สำหรับพวกเขาที่เป็นคนธรรมดา นี่มันไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าที่จุติลงมายังภพมนุษย์!
แม้แต่เวิ่นเทียนเซี่ยวและเหยาลู่เวยที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังตกตะลึงกับการโจมตีของเฉินซี และเป็นตอนนี้เองที่พวกเขาสังเกตเห็นว่า ‘คนผู้นี้ดูทรงพลังมากกว่าตอนที่เขาเข้าร่วมการทดสอบเสียอีก…’
การค้นพบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย และคนทั้งคู่ต่างรู้สึกว่า ตนคงไม่อาจหยั่งถึงพลังของชายลึกลับจากแดนภวังค์ทมิฬคนนี้ได้!
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา สัตว์อสูรจักรวาลที่โจมตีหมู่บ้านจินซางก็ถูกกำจัดหมดสิ้น ทำให้โลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง มีเพียงอากาศบนท้องฟ้าเท่านั้นที่ยังคงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด จนทำให้ชาวบ้านเกือบจะหายใจไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจยิ่ง
ภาพที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ เป็นภาพที่พวกเขาใฝ่ฝันถึงมากที่สุด และตอนนี้มันก็เป็นจริง แล้วพวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
ผู้เฒ่าและสตรีบางคนตื่นเต้นจนถึงขั้นร้องไห้ หัวใจของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อเฉินซีและคนอื่น ๆ
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ กลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งผู้อาวุโสเซวียหมิงต่างคุกเข่าลงบนพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็โค้งคำนับซ้ำ ๆ
ในขณะนี้ คำพูดไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณในใจของพวกเขาได้ และพวกเขาก็ทำได้เพียงแสดงออกผ่านพิธีการที่เก่าแก่ที่สุดนี้เท่านั้น
ภาพตรงหน้าทำให้เฉินซีทำตัวไม่ถูก เขาจึงรีบสะบัดแขนเสื้อและใช้แรงอันไร้รูปร่างช่วยพยุงชาวบ้านเหล่านี้ให้ลุกยืน
ขณะนี้ ในใจของชายหนุ่มเองก็เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายเช่นกัน เพราะการทำสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้บ่มเพาะเท่านั้น แต่สำหรับคนธรรมดาเหล่านี้ มันกลับมีความหมายมากมายเหลือเกิน และมันหนักดั่งน้ำหนักของชีวิต!
“ผู้บ่มเพาะที่เคารพ หลังจากประสบกับการต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น พวกท่านทุกคนจะต้องสูญเสียพลังไปมากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นโปรดตามข้ามา ท่านต้องใช้พลังธรรมเทพสามดาวเพื่อฟื้นฟูพลัง” ผู้อาวุโสเซวียหมิงเดินไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ ซึ่งท่าที ณ ขณะนี้ผิดแปลกจากก่อนหน้าสิ้นเชิง เพราะมันไม่ได้เย็นชาหรือมีแววเยาะเย้ยถากถางอีกแล้ว จะมีก็เพียงความขอบคุณและความเคารพอย่างสุดซึ้งเท่านั้นที่ฉายชัดผ่านใบหน้า
“พลังธรรมเทพสามดาวหรือ?” เฉินซีตกตะลึงพลางครุ่นคิดในใจว่า ‘เหตุใดพลังที่ไร้รูปร่างและจับต้องไม่ได้เช่นพลังธรรมเทพถึงสามารถคำนวณอย่างพิถีพิถันกัน?’