บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 841 นายน้อยตระกูลหลัว
บทที่ 841 นายน้อยตระกูลหลัว
เฉินซีไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะถูกพัดพาเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งทันทีที่มาถึงพิภพยันต์อักขระ และความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นวางแผนทำร้ายต่อตนเอง มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าไม่โกรธแค้นเข้ากระดูกดำหรือ? นี่เป็นผลลัพธ์จากการเกี่ยวข้องกับเหลียงปิง” เหยาลู่เวยกล่าวทันที “หากเจ้าเต็มใจ ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับนายน้อยหลัว ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง และเจ้าก็เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก ตราบใดที่เจ้าช่วยนายน้อยหลัวจัดการกับเหลียงปิง ผลประโยชน์ที่เจ้าได้จะรับหลังจากนั้น ย่อมเหนือกว่าที่เจ้าจะจินตนการถึงอย่างแน่นอน”
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและจ้องมองสตรีคนนี้ที่มีจิตใจมุ่งร้าย แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะต้องการอย่างนั้นหรือ?”
ขณะกล่าว ชายหนุ่มก็ออกแรงด้วยฝ่ามือที่เหมือนกับคีมหนีบ และมันก็บีบรัดที่คอของเหยาลู่เวยจนกระดูกคอของนางเปล่งเสียงแตกแว่วมา จากนั้นเลือดก็แทบไหลทะลักออกมาจากใบหน้าของหญิงสาว
“หรือเจ้าไม่ต้องการสมบัติบนเจดีย์ต้าเหยี่ยน” เหยาลู่เวยตกใจกลัวจนกรีดร้องเสียงแหลม
“โอ้?” ฝ่ามือของเฉินซีคลายออก ในขณะที่เขากล่าวว่า “ไหนว่ามาซิ”
เหยาลู่เวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ทุกอย่างก็สามารถคุยกันได้”
ขณะที่นางกล่าว แววไหวพริบได้ฉายวาบอยู่ภายในดวงตาของหญิงสาว ก่อนที่ในเวลาต่อมา ร่างของนางจะกลายเป็นอสรพิษขนาดเท่าหัวแม่มือ ซึ่งพุ่งออกจากฝ่ามือของเฉินซี ก่อนจะบินออกไปในระยะไกล
ปัง!
อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งบินออกไปยังไม่ถึงสิบสองจั้ง แต่ดูเหมือนว่านางจะชนเข้ากับกำแพงที่ไร้รูปร่าง และร่างกายของหญิงสาวก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“บริเวณโดยรอบถูกข้าผนึกไว้แล้ว เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่สงสัยว่าสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านั้นถึงไม่โจมตีเรากัน?” เฉินซียืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับ และรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏที่มุมปากของเขา
ด้วยแสงที่สว่างวาบ เหยาลู่เวยพลันกลับคืนสู่ร่างเดิมของนาง และจ้องมองรอบด้านด้วยความหวาดกลัว นางเองก็สังเกตเห็นว่าบริเวณโดยรอบถูกผนึกไว้ด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันที ในขณะที่นางกำลังตื่นตระหนก และกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว “ไม่นะ! อย่าฆ่าข้า! เราสามารถตกลงกันได้! ข้าจะยอมทุกอย่าง! ข้ายอมแม้แต่เป็นทาสรับใช้ของเจ้าด้วยซ้ำ!”
เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ถึงเราจะเจรจากัน แต่เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติคู่ควร”
ขวับ!
ในช่วงเวลาต่อมา กระบี่ของเฉินซีได้ฟันเข้าที่แขนขวาของเหยาลู่เวย
หญิงสาวกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวยิ่ง
เมื่อนางเห็นกระบี่ของเฉินซีฟาดฟันลงมาอีกครั้ง แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เพราะจิตสังหารอันบริสุทธิ์นั้นเกาะติดกับร่างของนางอยู่เสมอ หญิงสาวจึงไม่สามารถหักห้ามจากการกรีดร้องได้ “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้! ข้าเป็นคนที่นายน้อยหลัวโปรดปราน ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็ไม่สามารถหลบหนีจากการตามล่าของตระกูลหลัวได้ ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนก็ตาม!”
“ตระกูลหลัว?” เฉินซีดูจะครุ่นคิด จากนั้นเขาก็พลิกยันต์ศัสตราในมือขึ้น ก่อนที่คมกระบี่จะชี้ไปยังเหยาลู่เวยจากระยะไกล แล้วเขาจึงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าก็จะคิดบัญชีกับนายน้อยหลัวที่เจ้าพูดถึงเช่นกัน…”
ครั้งนี้เหยาลู่เวยตกตะลึงจริง ๆ “เจ้า…เจ้าต้องการจะฆ่านายน้อยหลัว? เจ้ามันเสียสติ เจ้ามันบ้าไปแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร? เจ้าคิดว่ากองกำลังของตระกูลหลัวจำกัดเฉพาะใน…”
ฟู่!
เสียงคำรามของปราณกระบี่ดังก้องออกมา ในทันใดนั้นเอง รอยเลือดพลันปรากฏที่ลำคอของเหยาลู่เวย และนางก็ไม่สามารถกล่าวคำอื่นได้อีกต่อไป สีหน้าของหญิงสาวแข็งทื่อ ในขณะที่ศีรษะของนางถูกแยกออกจากร่าง
…
“ขออภัยด้วย เป็นข้าที่สะเพร่าเอง” ภายในห้องอันเงียบสงบในโถงอันดับที่เก้า คิ้วของเถิงหลานขมวดเข้าหากันแน่น ในขณะที่เขานิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเงยหน้ามองเฉินซี และกล่าวช้า ๆ ว่า “ข้าไม่เคยคาดคิดว่าคนของตระกูลหลัวจะกระจายกำลังไปทั่วทุกหนแห่ง ข้าจะให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้แก่เจ้า”
เสียงของเขาสงบนิ่ง แต่ก็เผยให้เห็นถึงจิตสังหารที่ลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาก็เสียใจต่อการตายของเวิ่นเทียนเซี่ยวไม่น้อย
เฉินซีเงียบไปนาน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ท่านช่วยข้าทำอะไรบางอย่างได้หรือไม่?”
เถิงหลานกล่าวว่า “โปรดบอกข้ามา”
เฉินซีหยิบขวดที่บรรจุอัฐิของเวิ่นเทียนเซี่ยวออกมา จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “พาเขากลับไปที่ภพกมลพฤกษาเพื่อกลบฝังด้วย”
เถิงหลานรับมันมาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเอง”
“ขอบคุณ” เฉินซียืนขึ้นและจากไป
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ และชายหนุ่มกำลังคิดอยู่เสมอว่า ความผิดนี้เป็นของใครกันแน่?
เป็นของตระกูลหลัวหรือไม่?
หรือเหลียงปิง?
หรืออาจจะเป็นอย่างที่เหยาลู่เวยกล่าวนั่นคือเขา?
เฉินซีนั่งขัดสมาธิเงียบ ๆ ในห้องของเขา และจมอยู่ในห้วงความคิดเป็นเวลานาน จากนั้นความแน่วแน่ก็วาบผ่านดวงตา เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตระกูลหลัว ดังนั้นตระกูลหลัวจะต้องรับผลที่ตามมา!
…
เมืองบรรพบุรุษอสูร ณ ตระกูลหลัว
หลัวจื่อเซวียนที่สวมชุดสีขาวเป็นเหมือนราชสีห์ที่โกรธเกรี้ยว ขณะที่เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลาง และกำลังจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังข้ารับใช้ซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่ห่างไกลออกไป ในขณะที่เขากล่าวว่า “นางปฏิเสธอีกแล้วหรือ?”
รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลา มีริมฝีปากสีแดงและฟันขาว แต่ที่หว่างคิ้วของเจ้าตัวกลับมีกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งดูราวจะโหดเหี้ยมและเอาแต่ใจที่สุด เพียงไม่กี่คำที่กล่าวก็เหมือนกับหนามน้ำแข็งที่ทำให้หัวใจของคนคนหนึ่งเยียบเย็น
ร่างกายของข้ารับใช้สั่นสะท้าน อีกฝ่ายพยายามก้มศีรษะลงมากขึ้นในขณะที่คุกเข่า และตอบกลับด้วยความเคารพว่า “คุณชายรอง ชะ…ใช่แล้วขอรับ”
ปัง!
หลัวจื่อเซวียนตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ทำให้โต๊ะที่ทำจากไม้เจิ้นหนานสีทองอายุหมื่นปีระเบิดจนกลายเป็นเศษไม้
“เหลียงปิง นังบัดซบ! หรือว่านางยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนอีก?” หลัวจื่อเซวียนกัดฟันในขณะที่เปลวไฟแห่งโทสะในดวงตาของเขาดูจะสามารถเผาผลาญความว่างเปล่าได้
เหล่าข้ารับใช้ต่างหวาดกลัวจนเงียบสนิทดดุจจักจั่นที่จำศีลในฤดูหนาว
“บัดซบ! ขยะไร้ประโยชน์!” หลัวจื่อเซวียนตะโกนดังสนั่น ในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ข้ารับใช้คนนั้นดูเหมือนกับได้รับละเว้นโทษตาย และวิธีที่อีกฝ่ายถอนตัวออกไปก็ดูราวกับกำลังหลบหนีอย่างไรอย่างนั้น
“นายน้อย เหตุใดต้องวุ่นวายกับข้ารับใช้ด้วย? เหตุผลที่เหลียงปิงยังคงดื้อรั้น อาจเป็นเพราะนางมีบางอย่างที่พึ่งพาได้” ร่างที่งดงามและอรชรส่ายไปมา ขณะที่นางเคลื่อนตัวมาจากทางด้านข้าง
นางมีเอวเรียวบาง ขณะที่รูปร่างของนางเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์เย้ายวน ดวงตาของหญิงสาวที่มีรูปทรงเหมือนกลีบดอกท้อ เองก็ดูมีเสน่ห์และมีน้ำมีนวล ทันทีที่เดินออกไป นางได้นั่งลงบนตักของหลัวจื่อเซวียน ขณะที่แขนขาวเนียนราวหิมะของหญิงสาวโอบรอบคอของเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ จงสำรวมเมื่อเผชิญกับทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวอยู่เสมอมิใช่หรือ?”
สีหน้าของหลัวจื่อเซวียนผ่อนคลาย ในขณะที่เขายกมือขึ้นเพื่อลูบผมสีดำที่นุ่มสลวยดุจน้ำตกของหญิงสาวคนนี้ จากนั้นจึงถอนหายใจพลางกล่าว “อวี้หลง เจ้าคิดว่าข้าจะสงบใจได้หรือ? ในเมื่อเจดีย์ต้าเหยี่ยนกำลังจะเปิดในไม่ช้า และเห็นได้ชัดว่าเหลียงปิงหมายจะต่อต้านข้า!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เปลวไฟแห่งความโกรธในใจของนายน้อยผู้นี้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เขาขบฟันแน่นในขณะที่กล่าวว่า “นังนั่นเป็นเหมือนนังแพศยาสำหรับข้า และนางไม่รู้ว่าจะตอบแทนความกรุณาของข้าอย่างไรถึงจะเหมาะสม! ถ้านางแต่งงานกับข้า เช่นนั้นแล้วด้วยการอาศัยสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลสองชิ้น ซึ่งคือไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ และกระบี่เต๋าสะบั้นไมตรี เราย่อมจะสามารถเข้าสู่ชั้นสูงสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนได้ แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนังแพศยานั่นไม่ยอมตกลง นางสมควรตายจริง ๆ!”
หญิงสาวที่เย้ายวนใจซึ่งมีนามว่าอวี้หลงหัวเราะคิกคัก แล้วจึงกล่าวว่า “นายน้อย ในเมื่อนางเป็นคนดื้อรั้น แล้วท่านจะรั้งไว้เพื่ออันใดกัน? ตอนนี้ตระกูลกู่กับตระกูลอินต่างก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านถึงไม่ร่วมมือกับพวกเขาเพื่อจับเหลียงปิง ทำให้นังสุนัขตัวเมียนั่นกลายเป็นเมียน้อย แล้วค่อยบีบบังคับให้นางยอมจำนนเล่า?”
“สองตระกูลนั้น?” รอยยิ้มเย็นชาจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลัวจื่อเซวียน “กองกำลังของตระกูลกู่ได้ออกจากพิภพยันต์อักขระเมื่อนานมาแล้ว และมีเพียงกู่หลิวสุ่ยเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ ส่วนตระกูลอิน พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังของยมโลกเมื่อนานมาแล้ว แต่พวกเขาขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ แม้แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลของพวกเขาอย่างเจดีย์สยบพิภพก็ยังถูกชิงไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จ”
อวี้หลงหัวเราะเบา ๆ “นายน้อย ท่านไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ ไม่ว่าตระกูลกู่กับตระกูลอินจะย่ำแย่อย่างไร พวกเขาก็คือสองในสี่ตระกูลใหญ่ของพิภพยันต์อักขระ หากทั้งสามตระกูลร่วมมือกันในที่สุด มันจะเป็นแรงกดดันอย่างมากต่อเหลียงปิง หลังจากนั้นท่านก็จะเฉิดฉายและได้รับเชิญจากภพเซียน…”
“หุบปาก!” สายตาของหลัวจื่อเซวียนเย็นชาในขณะที่เขาเอ่ยขัดนาง “หากเจ้ายังกล้ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก อย่าโทษข้าที่เป็นคนแรกที่ทำให้เจ้าพิการ!”
แม้ว่านางจะนั่งอยู่บนตักของหลัวจื่อเซวียน แต่ด้วยสายตาที่เย็นชาและไร้ความปรานีของเขา ก็ทำให้ร่างกายของอวี้หลงเย็นยะเยือก และไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นอีกต่อไป
“ไปซะ” หลัวจื่อเซวียนโบกมือและไล่นางออกจากห้องโถง
“เอาล่ะ ข้าได้จัดหาอาหารรสเลิศและความบันเทิงให้แก่พวกเขาอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องไปเยี่ยมเยียนคุณชายและคุณหนูจากภพเซียนแล้ว” เขาอยู่ในห้องโถงและครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนที่รอยยิ้มเล็ก ๆ จะปรากฏขึ้นที่มุมปาก จากนั้นเจ้าตัวจึงลุกขึ้นและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินก้าวยาวออกไป
“คุณชาย” หลัวจื่อเซวียนเพิ่งเดินออกจากห้องโถง แต่ข้ารับใช้คนนั้นกลับเดินเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นทันทีที่เห็นหลัวจื่อเซวียน “มีข่าวมาจากเมืองนกนางแอ่นแดง องค์รักษ์เงาเหยาลู่เวยได้ถูกสังหารแล้ว!”
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของหลัวจื่อเซวียนที่เพิ่งปรากฏขึ้นพลันแข็งทื่อ และเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดออกมา ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นมืดมนเสียจนน่ากลัว เขาเตะข้ารับใช้และตะโกนดังสนั่น “ขยะ! พวกกองขยะ! หากพวกเจ้าทุกคนไม่สามารถทำเรื่องเล็กน้อยให้สำเร็จได้ แล้วเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บพวกเจ้าไว้กัน!?”
ข้ารับใช้คนนั้นจะต้านทานแรงเตะของเขาได้อย่างไร? ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงนอนขดตัวอยู่บนพื้น ในขณะที่ไอเป็นเลือดออกมามากมายและเกือบจะเสียชีวิต
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลัวจื่อเซวียนก็หายใจถี่ ๆ และสงบอารมณ์ได้ในที่สุด ทว่าเขาไม่คิดเหลือบแลข้ารับใช้ที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขที่ตายแล้วเลยสักนิด ก่อนจะเดินจากไป
ณ จวนอัศจรรย์
นี่เป็นจวนที่หรูหราที่สุดในบรรดาจวนทั้งหมดของตระกูลหลัว ในขณะนี้ นักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงที่ไพเราะดุจเสียงของธรรมชาติ ขณะที่หญิงงามต่างส่ายเอวเพรียวบางเป็นทิวแถว ซึ่งในระหว่างที่พวกนางเริงระบำไปรอบ ๆ กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายไปในอากาศ แพรไหมปัดป่ายไปมา ดูสบายตาอย่างยิ่ง
มีหนุ่มสาวสองสามคนนั่งดูอยู่ พวกเขาสนุกกับการดื่มสุราอย่างเพลิดเพลิน และมีศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งคอยบริการพวกเขาอยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง
“ไอ้สารเลวพวกนี้รู้วิธีที่จะเสพสุขกับชีวิตยามว่างจริง ๆ” เมื่อหลัวจื่อเซวียนเข้ามาในจวนอัศจรรย์ และเห็นภาพเช่นนั้น มุมปากของเจ้าตัวพลันกระตุกอย่างยากจะสังเกต
หลังจากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส “สหายเต๋า ข้ามารบกวนพวกท่านแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวจื่อเซวียนก็เข้าไปพูดคุยกับคนทั้งหมด
“ศิษย์น้องหลัว เจ้ามีเรื่องหนักใจใดหรือ?” ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างผอมสูงสวมชุดคลุมสีสันสดใสกล่าวขึ้นทันที
หลัวจื่อเซวียนรู้สึกยินดีในใจ และกล่าวพลางถอนหายใจว่า “เฮ้อ จะมีเรื่องอันใดได้อีก ถ้าไม่ใช่เหลียงปิงคนนั้น”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีสันสดใสก็พลันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะยากอะไรนักหนา? ศิษย์น้องหลัว เหตุใดเราไม่ไปพบเหลียงปิงกับเจ้าล่ะ?”
หลัวจื่อเซวียนลังเล “นี่มัน…เหมาะสมหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีสันสดใสหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า “เรามาที่นี่ และได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมและจริงใจจากศิษย์น้องหลัว ดังนั้นในเมื่อเจ้าประสบกับปัญหา แล้วเราจะนิ่งเฉยได้อย่างไรกัน?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
หลัวจื่อเซวียนที่ได้ยินเองก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรบกวนสหายเต๋าแล้ว และข้าจะมอบของขวัญที่ยอดเยี่ยมให้แก่พวกท่านทุกคน หลังจากที่เราประสบความสำเร็จ!”
“เหตุใดเจ้าถึงปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอก ด้วยการกล่าวที่ห่างเหินเช่นนั้นเล่า?” ชายหนุ่มตบไหล่หลัวจื่อเซวียน และกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าเพียงแค่พาเราไปที่เจดีย์ต้าเหยี่ยนด้วยก็พอแล้ว”
ใบหน้าของหลัวจื่อเซวียนพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” แต่เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มนั้นดูฝืนเล็กน้อย
เพราะเขารู้ดีว่า แม้คนเหล่านี้จะกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างสบาย ๆ แต่พวกเขาก็มีความโลภต่อสมบัติลับที่อยู่บนชั้นสูงสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนแน่นอน และในใจของเขาก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความไม่สบายใจ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้!
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีสันสดใสหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวซ้ำ ๆ ว่า “ดื่มกินกันเถอะ ดื่มกินกันเถอะ ไว้งานเลี้ยงสิ้นสุดลง เราค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิตะวันออก!”
หลัวจื่อเซวียนหัวเราะไปพร้อมกับพวกเขา และดื่มสุราในถ้วยจนหมด แต่ในใจกลับกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ‘ไอ้พวกโง่เขลา! หากเหลียงปิงรับมือได้ง่ายขนาดนั้น แล้วข้าจะต้องเชิญพวกเจ้าทุกคนไปด้วยกันหรือ?’