บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 855 เผชิญหน้า
บทที่ 855 เผชิญหน้า
บทที่ 855 เผชิญหน้า
ร่างที่ทรงพลังย่อมคือเถิงหลาน!
แต่ตัวคนในเวลานี้กลับดูแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก ร่างกายของเขาแผ่ปราณเซียนออกมาจนมากล้น กระแสพลังแห่งกฎกำลังม้วนตัวอยู่รอบกายเขาเหมือนโซ่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในขณะที่เถิงหลานกะพริบตา มันก็ดูราวกับมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏขึ้นสลับกัน อีกทั้งยังเหมือนกับสวรรค์และโลกจะหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว
เขาเพียงก้าวเท้ายาว ๆ โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ แต่ตัวคนกลับดูเหมือนแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ไหลเชี่ยว และเผยท่าทางเย่อหยิ่งเหนือกว่าออกมา
โครม!
แม้เขาจะอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่หลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ ก็ยังรู้สึกราวกับว่าร่างถูกกระแทกด้วยขุนเขา ทำให้พวกเขาปลิวกระเด็นพร้อมกับกระอักเลือดออกมา!
นี่คือพลังของเถิงหลาน เมื่อใครฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับการบ่มเพาะนี้ เพียงแค่ความคิดก็อาจทำให้ขุนเขาพังทลาย มหาสมุทรเหือดแห้ง สวรรค์และโลกสั่นสะท้าน หรือหายใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถพัดแนวเทือกเขาอันไร้ขอบเขตออกไปได้ เขาเป็นคนที่ทรงพลังและเหนือล้ำอย่างที่สุด!
ซึ่งพลังงานเช่นนี้ได้เกินขอบเขตของภพมนุษย์ไปแล้ว และมันสามารถทำลายล้างตระกูลหรือทำลายภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ได้อย่างง่ายดาย!
แต่พลังของเถิงหลานก็กวาดแผ่ออกไปได้ไม่นาน เพราะถูกขัดขวาง ทำให้หลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ รอดพ้นจากความตายมาได้
เป็นเพราะชายในชุดดำ กู่จิ่วเจินและอินปี้อวิ้นจึงลงมือได้!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับทั้งสามคนนี้รอคอยมานานแล้ว พวกเขาเสมือนขุนเขาศักดิ์สิทธิ์สามลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่หน้าทางเข้า ร่างกายของพวกเขาเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมา ตัวคนเป็นเหมือนเตาหลอมศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชติช่วงสามเตา ซึ่งสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าและเติมเต็มโลกด้วยแสงอันไร้ขอบเขต
ทันทีที่ร่างของเถิงหลานปรากฏขึ้นที่ประตู ทั้งสามคนต่างไม่ลังเลที่จะเปิดฉากโจมตีอย่างโจ่งแจ้งด้วยกระบวนท่าถึงตาย!
ชายในชุดดำสะบัดแขนเสื้อของเขา ทำให้เกิดกลุ่มเมฆสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศบดบังท้องฟ้า จากนั้นมันก็กลายเป็นแสงสีดำสนิทที่สาดส่องลงมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของภูตผี
ในขณะที่ร่างของกู่จิ่วเจินกลับสว่างวาบ พร้อมกับรวบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันเพื่อสร้างกระบี่ ซึ่งแสงที่พร่างพราวและเจิดจ้าได้มารวมตัวกันที่ปลายนิ้วของเจ้าตัว จนดูเหมือนว่านิ้วนี้สามารถผ่าสวรรค์และโลกออกจากกันได้ อีกทั้งกลิ่นอายน่าเกรงขามของมันก็รุนแรงอย่างไม่มีใครเทียบ ทุกที่ที่มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นอากาศธาตุ การไหลเวียนของอากาศ หรือแสงที่ตกกระทบ ต่างพังทลายลง ซึ่งนับว่าน่าตกใจเป็นอย่างมาก!
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การโจมตีของอินปี้อวิ้นนั้นธรรมดากว่ามาก มือขาวของนางโบกสะบัดไปมา สร้างผนึกโบราณที่สวยงามและลี้ลับขึ้น แต่เมื่อผนึกนี้ถูกฟาดออกไป มันก็ทำให้มหาเต๋าส่งเสียงดังก้อง ในขณะที่พลังของกฎไหลเวียนอยู่ภายในนั้น ดูราวกับจะมีรูเปิดขึ้นในสวรรค์และโลกภายใต้พลังของผนึกนี้!
ครืนน!
เพียงชั่วพริบตาเดียว การระเบิดที่ไม่อาจบรรยายได้พลันปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าประตูเล็ก ๆ บานนี้ มันดูเหมือนการสั่นสะเทือนที่รุนแรงของเสียงฟ้าร้อง เสียงคำรามของเทพอสูร และแสงที่สว่างจ้าอย่างที่สุดเหมือนกับพายุที่โหมกระหน่ำ ทำให้บริเวณนี้ถูกห่อหุ้มจนหมด
หลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกเจ็บที่ดวงตาของพวกเขา และทุกคนต่างตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน อีกทั้งยังรู้สึกหวาดกลัว ทำให้ขาอ่อนแรงและเกือบจะคุกเข่าลงกับพื้น!
นี่คือการต่อสู้ระหว่างเซียนลึกลับ และมันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างเซียนสวรรค์ พวกเขาสามารถใช้พลังของเต๋าสวรรค์และห่อหุ้มด้วยกฎ ทำให้การโจมตีของพวกเขาสามารถทำลายล้างสิ่งมีชีวิตนับล้าน จึงไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ที่พวกเขากำลังต่อสู้อย่างสุดกำลัง!
เหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไปและเหมือนกับวันโลกาวินาศมาถึง มันทำให้หลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ กังวลว่าพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะถูกบดขยี้ แตกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นความว่างเปล่าในอีกไม่ช้า!
ครืน!
ท่ามกลางสายฝนอันไร้ขอบเขตของแสงแห่งกฎ ชายในชุดดำ กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้นต่างถอยกลับไปสองสามก้าว ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาจดจ่อและฉายแววตกใจ พวกเขาดูจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า เถิงหลานไม่เพียงจะต้านทานการโจมตีที่ถึงตายของพวกตนได้เท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายยังมีพลังเหลือเฟือที่จะล้มพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป!
ตึก! ตึก! ตึก!
ก่อนที่พวกเขาจะทันคิดอันใดได้ ร่างของเถิงหลานก็พลันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งขณะที่เจ้าตัวก้าวยาวเข้ามา ผมยาวของเถิงหลานก็พลิ้วสะบัด ในขณะที่ขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแสงสีเงิน ซึ่งก่อตัวเป็นเส้นทางที่ทำให้เจ้าตัวดูเหมือนเทพเจ้าที่จุติลงมายังโลก ในขณะที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ธรรมดา
ฝีเท้าของเถิงหลานดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ทุก ๆ ก้าวที่ย่ำลงไป ดูจะหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งจักรวาลและความว่างเปล่า มันไม่ได้สนใจระยะทางที่ถูกพันธนาการ ในขณะที่ตัวคนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง โดยไม่คิดปล่อยให้ชายชุดและพรรคพวกได้มีโอกาสหายใจแม้แต่น้อย
ตู้ม!
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกครั้ง ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง ในขณะที่ปราณเซียนกระจายออกไปอย่างรุนแรง
“บัดซบ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ระบำจ้าวภูตผี! เซียนและอสูรเริงรำระบำ เมื่อวิญญาณของบรรพบุรุษปลิดวิญญาณ!” ชายในชุดดำตะโกนอย่างเศร้าโศก ในขณะที่ชุดคลุมสีดำของเขาพัดสะบัด จากนั้นงูหลามสีดำที่ดูเหมือนจะถูกควบแน่นจากกฎพลันส่งเสียงคำราม ขณะที่มันพุ่งออกมาและกัดไปที่เถิงหลาน
สีหน้าของกู่จิ่วเจินกับอินปี้อวิ้นก็ไม่น่าดูเช่นกัน การรวมพลังของพวกเขาทั้งสามคนกลับไม่สามารถเอาชนะเถิงหลานได้ในคราวเดียว และถูกบีบให้เป็นฝ่ายต้องถอยกลับแทน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกใจและเดือดดาลในใจอย่างมาก
ทั้งสองต่างลงมือพร้อมกันและพุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเล พวกเขาเป็นเหมือนสายรุ้งสองสายที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและเดือดพล่านด้วยจิตสังหาร ซึ่งการโจมตีของพวกเขาเป็นประหนึ่งสายฟ้าที่ส่องประกายวาบ มันทั้งไร้ความปรานีและเด็ดเดี่ยวยิ่ง!
“ไป!” เสียงของเถิงหลานเหมือนฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่เขาโพล่งตะโกน จากนั้นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ลุกโชนในดวงตา ส่งผลให้กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเถิงหลานระเบิดอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของเจ้าตัวดูราวกับมหาสมุทรเปลวเพลิงที่กว้างใหญ่ ซึ่งเผาผลาญสวรรค์และกวาดล้างไปทั่วโลกา!
ฟิ้ว!
ก่อนที่เสียงของเถิงหลานจะดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แสงสีเงินวูบวาบดุจแสงดาวที่เย็นยะเยือกก็ได้พุ่งออกมาอย่างรุนแรงจากภายในประตู ในพริบตาต่อมา แสงนั้นได้คว้าโอกาสที่เถิงหลานต่อสู้เพื่อไปถึงบันไดหิน!
พรวด!
แต่เพราะเถิงหลานต้องต้านทานการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับถึงสามคน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ร่างของเขาเซไปทางด้านหลัง ในขณะที่ใบหน้าซีด และมีเลือดสีทองไหลซึมออกมาจากมุมปาก
ผู้ชายคนนี้ที่ปกติจะอ่อนโยน ทำตัวไม่เป็นจุดเด่น และมีท่าทางสุภาพ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับที่เป็นเหมือนเทพเจ้าผู้ไร้อารมณ์และดุร้ายเมื่อเข้าสู่สนามรบ ในที่สุดเขาก็ได้รับบาดเจ็บ!
แต่สีหน้าของเถิงหลานยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในดวงตาของเจ้าตัวไม่ได้จางหาย แต่กลับแผดเผารุนแรงยิ่งขึ้น และโดยไม่ลังเลใด ๆ เถิงหลานพลันพุ่งเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง!
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ส่องผ่านท้องฟ้า ในขณะที่ผมของเขาพลิ้วไหว กลิ่นอายน่าเกรงขามของเจ้าตัวทั้งดุร้ายและองอาจเหมือนเดิม แต่การเสี่ยงชีวิตของเถิงหลานให้ความรู้สึกที่ไร้ความปรานี ตัวคนดูจะเสียสติไปแล้ว ทำให้มันน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ชายในชุดดำ กู่จิ่วเจิน และอินปี้อวิ้นต่างตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกหลอกเข้าแล้ว ทำให้สีหน้าของคนทั้งสามมืดมนอย่างมาก และในใจของพวกเขาก็โกรธจัด ดังนั้นพวกเขาจะยั้งมือได้อย่างไรเมื่อโจมตี?
ทันใดนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ติดอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดอีกครั้ง
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อแสงสีเงินที่เหมือนแสงดาวเยียบเย็นได้มาถึงบันไดหิน มันก็ไม่รีรอที่จะก้าวขึ้นไปทีละขั้น แสงสีเงินนี้แท้จริงแล้วมันก็คือแสงจากสมบัติอมตะระดับจักรวาล กระสวยแสงเงิน ซึ่งมีเฉินซีกับเหลียงปิงอยู่ภายในนั้น!
เมื่อหลัวจื่อเสวียนตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ได้พุ่งไปยังขั้นที่เจ็ดของชั้นแปดภายใต้การนำของเหลียงปิง แม้ว่าจะเป็นเพียงเจ็ดก้าว แต่มันราวกับพวกเขากำลังปีนป่ายขึ้นสวรรค์ ทำให้หลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ รู้สึกโกรธมาก ทว่าพวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้
เนื่องจากข้อจำกัดของขั้นบันไดในชั้นที่แปดของเจดีย์ต้าเหยี่ยนนั้นมากพอที่จะคุกคามชีวิตของเซียนสวรรค์ แล้วผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะขึ้นไปที่นั่นได้อย่างไรกัน?
ทันทีที่ก้าวขึ้นไป พวกเขาจะถูกข้อจำกัดบนบันไดกำจัด!
“ท่านลุงสามเร็วเข้า! ปล่อยไอ้บัดซบนั่นไปซะ แล้วพาเราขึ้นบันไดหินก่อน หากนังแพศยาเหลียงปิงเข้าสู่ชั้นที่เก้าไปต่อหน้าต่อตาเรา เราจะไม่สามารถยึดไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ได้อีกต่อไป!” หลัวจื่อเสวียนมีสีหน้าอำมหิตในขณะที่คำรามด้วยเสียงน่ากลัว ขณะนี้เจ้าตัวดูเดือดดาลด้วยโทสะ เนื่องจากไม่เคยคิดเลยว่าเหลียงปิงจะโหดเหี้ยมและใจดำ ถึงขั้นให้เซียนลึกลับเสี่ยงชีวิต …สิ่งนี้ทำให้แผนการของหลัวจื่อเสวียนหยุดชะงักอย่างสิ้นเชิง!
“สหายนักพรตเต๋ากู่ สหายนักพรตเต๋าอิน ข้าขอฝากคนผู้นี้ให้พวกท่านทั้งสองจัดการด้วย!” ชายชุดดำตะโกนลั่น ขณะที่ตัวคนกลายเป็นแสงพุ่งออกจากสนามรบไปแล้ว
“อย่าได้กังวลไป วันนี้เขาจะต้องไม่รอดอย่างแน่นอน!” กู่จิ่วเจินกัดฟันแน่น ในขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ชายในชุดคลุมสีดำสะบัดแขนเสื้อ พร้อมกับอุ้มหลัวจื่อเสวียนและคนอื่น ๆ เหมือนค้างคาวขนาดมหึมาขณะที่ตัวคนพุ่งขึ้นบันไดหินไป
ความเร็วของเขาเร็วกว่าเหลียงปิงเล็กน้อย!
ที่ชั้นแปดของเจดีย์มีบันไดหินเพียงแห่งเดียว และมันมีขั้นบันไดเพียงสิบแปดขั้น สรุปแล้ว ในแต่ละขั้นบันไดคือข้อจำกัดเซียน!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่าผู้เป็นเซียนจะขึ้นบันไดไป คนผู้นั้นก็จะต้องประสบกับภัยคุกคามที่ร้ายแรง และอาจเสียชีวิตบนบันไดหินได้!
แต่สำหรับเหลียงปิงซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ ข้อจำกัดเซียนเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นอันตราย และเมื่อประกอบกับการที่นางขึ้นบันไดไปก่อนหน้านี้ นางก็ได้นำเฉินซีขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ในขณะที่ชายชุดคลุมสีดำคนนั้นเพิ่งมาถึงบันไดขั้นที่เก้าเท่านั้น!
ณ ชั้นแปดนี้ มันแตกต่างจากเจดีย์ที่อยู่เจ็ดชั้นข้างล่าง ที่นี่ไม่มีประตูสักบานที่จะนำไปสู่ชั้นที่เก้า และมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่าสีดำสนิทอันกว้างใหญ่ แม้ว่าใครจะตรวจสอบมันด้วยจิตสัมผัสเทพ แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ ราวกับว่ามันเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ที่แบ่งแยกฝุ่น แสง กระแสลม และทุกสิ่งออกจากกัน
โอม!
เหลียงปิงดูจะไม่เกรงกลัวใด ๆ ในขณะที่นางยื่นมือออกไปและคว้าเอาไว้ ทำให้ไม้บรรทัดหยกทรงสี่เหลี่ยมสัมบูรณ์ ซึ่งเรียบเนียนดุจกระจกเงาปรากฏขึ้นในมือของหญิงสาว พื้นผิวของไม้บรรทัดสว่างไสว อีกทั้งยังเปล่งกลิ่นอายที่ยุติธรรมและสงบสุขออกมา!
ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์!
ไม้บรรทัดนี้ถือกำเกิดในยุคบรรพกาล และเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์โกลาหลที่สามารถหยั่งรู้ถึงความสูงของสวรรค์หรือความจริงที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง! ในช่วงเวลาที่พิภพยันต์อักขระถูกสร้างขึ้น การแบ่งของเต๋าแห่งสวรรค์และการสร้างทุกสิ่งในโลก ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ชิ้นนี้ล้วนมีส่วนร่วม!
แม้ว่าไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ที่เหลียงปิงครอบครองอยู่จะเป็นเพียงของเลียนแบบ แต่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาก็ยังทำให้เฉินซีตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงความยุติธรรม ระเบียบ และความสามารถในการหยั่งรู้ทุกสิ่งในโลก
“เตรียมตัวซะ! ข้าจะเปิดทางเดินด้วยไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ และเจ้าต้องบุกเข้าไปในช่วงเวลาที่เป็นไปได้ จำไว้ว่าเจ้ามีเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น และทางเดินจะระเบิดหลังจากนั้น!” เหลียงปิงเผยความจริงจัง ในขณะที่นางสั่งอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น ขณะที่กล่าว ไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ในมือของนางก็พลันพุ่งออกไป และเปล่งรัศมีที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่กระแสอักขระยันต์ที่หนาแน่นจะหลั่งไหลออกมาเหมือนดวงดาว
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้า เขาเห็นจากหางตาว่าชายชุดดำได้ขึ้นบันไดมาถึงขั้นที่สิบสี่แล้ว และห่างจากการพุ่งขึ้นมาถึงที่นี่เพียงสี่ก้าว
ในขณะที่เถิงหลานยังคงต่อสู้กับเซียนลึกลับทั้งสองอยู่ที่ใต้บันได รัศมีที่ลุกโชติช่วงได้ปกคลุมบริเวณโดยรอบ ทำให้เขามองไม่เห็นสถานการณ์ของการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน
เฉินซีรู้ดีว่าเหลียงปิงกับเถิงหลานได้เสี่ยงชีวิตของพวกเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสที่ตัวเขาจะเข้าสู่ชั้นที่เก้าของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่กล้าคิดหรือลังเลอีกต่อไป ทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
มีเพียงความคิดเดียวในใจ …ต้องพุ่งเข้าสู่ชั้นที่เก้า!
วาบ!
ในช่วงเวลาต่อมา แสงเรืองรองได้เปล่งออกมาจากไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ และอักขระยันต์ที่หนาแน่นได้ควบแน่นเป็นลำแสงที่สว่างจ้า พุ่งเข้าใส่พื้นที่ว่างเปล่า เปิดทางเดินที่ใสจนเหมือนกับสร้างขึ้นมาจากแก้ว!
ฟิ้ว!
เมื่อทางเดินปรากฏขึ้น เฉินซีพลันใช้ทักษะปีกกำราบผกผัน ก่อนที่ตัวคนจะเปล่งประกายราวกับแสงสีเงินที่เคลื่อนตัวผ่านอากาศ ในขณะที่เขาหายไปที่ปลายสุดของทางเดิน
“เจ้าต้องยื้อให้ได้จนกว่าข้าจะกลับมา!” เมื่อทางเดินที่เปิดขึ้นได้หายไป เสียงของเฉินซีพลันดังก้องออกมา และมันได้ลอดเข้าสู่หูของเหลียงปิง เห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเหนือกว่าความเร็วของเสียงอยู่หลายเท่า
เสียงของเฉินซีเต็มไปด้วยความรู้สึกของคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงปิงได้ยินว่ามีคนกล้าสั่งนางเช่นนี้ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจ ยิ่งไปกว่านั้น รอยยิ้มจาง ๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหญิงสาวอีกด้วย!
นางกล่าวในใจว่า ‘ข้าจะทำให้ได้’
“นังแพศยา! เจ้าชักนำหายนะมาสู่ตัวเองเสียแล้ว!” ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ชายชุดดำได้พุ่งขึ้นไปบนบันไดหิน แล้วคำรามออกมาด้วยเสียงที่น่ากลัว เขาโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็คว้าไปที่กะโหลกของเหลียงปิง!