บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 858 ลอบโจมตีซ้ำ
บทที่ 858 ลอบโจมตีซ้ำ
บทที่ 858 ลอบโจมตีซ้ำ
ข้อจำกัดบนเจดีย์ต้าเหยี่ยนชั้นเก้าคือข้อจำกัดเซียนที่มีพลังอำนาจมหาศาลพอจะยับยั้งเซียนลึกลับได้
ตอนนี้เฉินซียืนอยู่ที่บันไดขั้นแรกเหมือนรูปปั้น แต่กลับทำให้กู่หลิวสุ่ยและคนอื่น ๆ รู้สึกไร้พลัง คล้ายไม่อาจทำอะไรชายหนุ่มได้ เป็นเพราะข้อจำกัดเซียนที่อยู่บนบันไดหินเหล่านั้นนั่นเอง!
ถึงจะเป็นเซียนจากภพเซียน พวกเขาก็ยังไม่อาจก้าวพ้นความลึกล้ำแห่งข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นเลย
เหวินเหรินเยี่ยคล้ายคิดอะไรบางอย่างออก นัยน์ตาพลันส่องประกายแสงเยือกเย็น “สหายเต๋ากู่ เราไม่ลองทดสอบอำนาจตราประทับเทพปฐพีหน่อยเป็นไร ถึงจะแน่ใจว่าจะต้องใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จึงจะสามารถทะลวงผ่านได้ แต่แม้มีเพียงชิ้นเดียว มันก็ควรจะมีประโยชน์บ้าง?”
นางพูดได้ไม่ผิด บรรพบุรุษของทั้งสี่ตระกูลใหญ่เคยร่วมมือกันหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และสามารถเอาชนะข้อจำกัดชั้นเก้าเพื่อขึ้นสู่ชั้นสูงสุดได้ด้วยการรวบรวมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ชิ้น
แต่หากใช้ชิ้นเดียว โอกาสที่จะขึ้นสู่ยอดได้ก็ลดลงมาก อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยอันตราย ฉะนั้นถึงจะขึ้นไปได้หลายขั้น แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถขึ้นสู่ยอดได้หรือไม่
อีกทั้งหากทำเช่นนั้น พวกเขาก็อาจถูกกักขังอยู่ในข้อจำกัดเซียนบนบันไดหินเหล่านั้นไปจนตาย!
ดังนั้นหลัวจื่อเซวียนจึงอยากชิงไม้บรรทัดหยั่งรู้สวรรค์ของเหลียงปิงมา เนื่องจากเขามีกระบี่สะบั้นเต๋าและตราประทับเทพปฐพีแล้ว ถ้ามีเพิ่มอีกสักหนึ่งชิ้น ก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อได้ยินเหวินเหรินเยี่ยเอ่ยเตือนเช่นนี้ ทุกคนจึงเข้าใจพลางหันไปมองทางกู่หลิวสุ่ย
กู่หลิวสุ่ยสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ ในเมื่อข้าไม่จำเป็นต้องเผชิญกับข้อจำกัดบนบันไดหินแห่งนี้ และสหายน้อยผู้นั้นก็ยืนอยู่บนขั้นแรกแล้ว อำนาจตราประทับเทพปฐพีคงจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทีเดียว!”
จริง ๆ แล้วเขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่มีเพียงตัวกู่หลิวสุ่ยเองที่รู้ว่าตราประทับเทพปฐพีชั้นยอดไม่อาจหยิบออกมาใช้ได้ง่าย ๆ ขนาดตัวเขายังนำออกมาใช้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
หลังจากใช้ไปสามครั้ง ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูปราณเซียนในร่างกายไปสักระยะ
ทว่ากู่หลิวสุ่ยย่อมไม่อยากทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เพราะเขาจะไม่สามารถปกป้องตนเองได้หากมีใครคิดฉวยโอกาสสังหารแล้วแย่งตราประทับเทพปฐพีไป!
เพราะอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดจากภพเซียนหรืออินผิง คนรอบกายเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา อาจแทงข้างหลังกันได้ทุกเมื่อ!
เขาจึงลังเลมาจนถึงตอนนี้
แต่ในเมื่อถูกเรียกออกมาเช่นนี้ ปราณเซียนของเขาก็ฟื้นฟูได้บางส่วนแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป ดังนั้นจึงตอบตกลง
ครืน!
ชั่วพริบตาต่อมา ตราประทับเทพปฐพีสี่เหลี่ยมที่ส่องประกายแสงทองก็พุ่งขึ้นฟ้า ส่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์จ้าออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองเข้าซัดร่างของเฉินซีอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ข้อจำกัดบนบันไดหินสะเทือนอย่างหนักและไม่ได้สะท้อนพลังโจมตีกลับมา กลับรั้งอยู่แค่ชั่วครู่ ก่อนจะถูกบดขยี้จนแหลก ส่งผลให้ตราประทับเทพปฐพีรุดหน้าเข้าไป
เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนต่างตาเป็นประกาย เผยความตื่นเต้นออกมา เป็นไปได้จริง ๆ ด้วย!
แต่ยังไม่ทันได้ดีใจก็ได้ยินเสียงตู้มครั้งใหญ่ดังสะท้อนออกมา พริบตาที่ตราประทับเทพปฐพีซึ่งนำพากลิ่นอายน่าเกรงขามเกินใครสัมผัสกับร่างเฉินซี ก็เสมือนกระทบเข้ากับแผ่นเหล็กกล้าจนเสียงดังกึกก้อง
เหมือนกับว่าร่างกายของชายหนุ่มนั้นแข็งแกร่งกว่าตราประทับเทพปฐพี…
สิ่งที่ทำให้กู่หลิวสุ่ยและคนอื่น ๆ ตกใจที่สุดคือตราประทับเทพปฐพีกลับสั่นสะท้านแล้วถูกดีดกระเด็นออกมา เซไปด้านซ้ายทีขวาทีเหมือนคนเมา
อึ่ก!
เลือดคำใหญ่พุ่งออกจากปากของกู่หลิวสุ่ย เพราะถูกพลังย้อนกลับ ทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีทอง
แต่เขาไม่สนใจ รีบเอื้อมมือออกไปคว้าตราประทับเทพปฐพีกลับ ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะฉวยโอกาสชิงมันไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นต้องแย่แน่
ฟิ้ว!
แต่ก็ต้องประหลาดใจ ด้วยยังไม่ทันสัมผัส มันกลับแวบหายไปเหมือนพยายามหลบเขาอย่างไรอย่างนั้น
ภาพตรงหน้าทำให้กู่หลิวสุ่ยกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เหมือนสาวงามเพิ่งเสียความบริสุทธิ์ สีหน้าผันเปลี่ยนไปมากมาย รีบเร่งติดตามมันไป โดยเขาในยามนี้ไม่คิดสนใจจะรักษาท่าทีสง่างามแล้ว
โชคร้ายที่ตราประทับเทพปฐพีราวกับมีมือที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่ ไม่ว่าจะเรียกจะไล่ตามมันอย่างไรก็ไร้ผล ไม่อาจสัมผัสมันได้เลย!
จึงออกมาเป็นภาพที่น่าขันยิ่ง กู่หลิวสุ่ยไล่ตามไม่หยุด ส่วนตราประทับเทพปฐพีก็หลบไม่หยุด ก่อนจะเคลื่อนที่ไปหน้าบันไดหิน ทำเหมือนกำลังเล่นซ่อนแอบ ทำให้หนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย และคนอื่น ๆ เบิกตากว้างมองด้วยความตกตะลึง
เกิด…เรื่องอันใดกันเนี่ย?
กู่หลิวสุ่ยผู้นี้ไม่ไร้ประโยชน์เกินไปหน่อยหรือ? สมบัติของบรรพบุรุษตนเองยังไม่สามารถควบคุมได้เลยหรือ?
“เวรเอ๊ย! เจ้าบ้า! ไอ้เวรที่ไหนมันกล้าทำเช่นนี้!?” กู่หลิวสุ่ยพลันหยุดเคลื่อนไหวแล้วหอบหายใจถี่ ใบหน้าเครียดขึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง เขากัดฟันแน่นแล้วกวาดสายตาเย็นชามองทุกคน ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ
สิ่งที่เขากลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว! ต้องมีใครคิดไม่ดีหมายฉวยโอกาสนี้ชิงตราประทับเทพปฐพีของเขาไปแน่!
เพราะในใจของเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง จึงส่งสายตาดุร้ายมองทุกคนด้วยใบหน้าเหี้ยม และหากต้องขุดดินลงไปลึกถึงแก่นเพื่อลากตัวคนร้ายออกมา เขาก็ยอมทำ!
ช่วยไม่ได้นี่นา เขาโกรธมากจริง ๆ เพราะตราประทับเทพปฐพีเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูล หากสูญเสียไปเมื่อไร รากฐานตระกูลกู่ในพิภพยันต์อักขระก็จะอ่อนแอลงทันที
ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เห็นได้ชัดจากตระกูลอินในปัจจุบัน การที่พวกเขาสูญเสียเจดีย์สยบพิภพไปส่งผลให้ตระกูลอินเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจถดถอยลงในที่สุด
ทุกคนมองหน้ากัน เจ้าหมอนี่สงสัยว่าพวกเราเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนกำลังสับสนว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ใครจะไปคิดว่ากู่หลิวสุ่ยจะมาสงสัยพวกเขาเช่นนี้ได้?
ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เหวินเหรินเยี่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “สหายเต๋ากู่ เจ้าคิดว่าเราเป็นใคร? ก็แค่ตราประทับเทพปฐพีของเลียนแบบ มีแต่เจ้ากระมังที่จะมองมันสำคัญเท่าชีวิต? น่าขันเสียจริง!”
“หึ! สมบัติของตระกูลตนเองยังดูแลไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาโทษคนอื่น เจ้ากู่หลิวสุ่ย ช่างเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดเสียจริง” หนานซิ่วชงส่งเสียงเยาะในลำคอมาจากทางด้านข้างเช่นกัน
นายน้อยและคุณหนูจากภพเซียนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น มีหรือจะให้ใครมาว่าร้ายได้? ดังนั้นจึงเริ่มล้อเลียนอีกฝ่ายทันที ราวกับว่าหากไม่พอใจก็จะลงมือกับเขา
เมื่ออินผิงเห็นว่ากำลังจะเกิดศึกจึงรีบพูดขึ้นว่า “พี่กู่อย่าเพิ่งใจร้อน บอกพวกเรามาว่าเกิดอะไรขึ้น ให้พวกข้าช่วยคิดจะดีกว่า เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเราอาจจะไม่สามารถทำสิ่งที่พี่หลัวฝากฝังมาได้”
พูดจบทุกคนจึงยับยั้งความโกรธไว้ ได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจออกมา ส่วนกู่หลิวสุ่ยก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยับยั้งความกังวลไว้ในใจ “หากไม่มีใครสร้างปัญหา มีหรือข้าจะไม่สามารถนำตราประทับเทพปฐพีกลับมาได้?”
ในน้ำเสียงที่กล่าวมีความไม่พอใจเจออยู่
“ฮ่า!” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังก้องจากบนฟ้า
แม้จะเป็นเสียงที่เบามากแต่ทุกคนก็ยังได้ยิน ทำให้สีหน้าเปลี่ยนผันไปในทันที ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ใคร?!”
ทันใดนั้นทุกคนก็ตึงเครียดขึ้นมา ไม่มีใครคิดว่านอกจากพวกเขาและเฉินซี จะมีคนอื่นอยู่ในชั้นเก้าด้วย
ทว่าสีหน้ากู่หลิวสุ่ยกลับดูไม่ได้อย่างยิ่ง ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตนเองโทษหนานซิ่วชงและคนอื่นผิดไปจริง ๆ มีคนอื่นกำลังสร้างปัญหาอยู่ในเงามืดต่างหาก!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ใจก็ยิ่งเต้นแรง เขาพลันแวบร่างออกมาคล้ายกับคนเสียสติ แล้วเริ่มไล่ล่าตราประทับเทพปฐพีพร้อมตะโกนลั่นอีกครั้ง “แกมันไอ้บัดซบตัวไหน! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นข้าจะเผากระดูกซัดเถ้าเจ้าให้สิ้น…”
ส่วนคนอื่น ๆ ก็เตรียมพร้อมสู้และปล่อยกระแสญาณเทวะอมตะกวาดออกไปรอบกายแล้วค้นหาอย่างละเอียด
การที่มีคนผู้หนึ่งหลบซ่อนอยู่ในเงาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว …เหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้งตกใจและตื่นตะลึง!!!
ตุบ!
จังหวะนั้นเอง กู่หลิวสุ่ยที่ตะโกนก่นด่าออกไปกลับถูกซัดเข้าที่แผ่นหลัง ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจะชักเกร็งเหมือนเป็นลมบ้าหมู ที่ปากมีฟองฟอดออกมา ก่อนจะร่วงลงมาจากฟ้า นัยน์ตาพลิกกลับไปทางด้านหลัง หมดสติไป โดยที่มีเงาดำเลือนรางตัดผ่านไปแวบหนึ่ง
นี่มัน…อันใดกัน?!
ทุกคนอ้าปากค้าง ไม่มีใครเห็นผู้โจมตีด้วยซ้ำ แต่ตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีกลับถูกการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็หมดสติไปเลยหรือ?
คนผู้นั้นต้องมีพลังบ่มเพาะสูงถึงขั้นไหนจึงสามารถทำเช่นนี้ได้?
หากคนผู้นั้นมีจิตสังหาร การโจมตีเมื่อครู่ไม่ปลิดชีวิตกู่หลิวสุ่ยไปแล้วหรือไร?
ยามคิดถึงจุดนี้ทุกคนพลันตัวสั่น สัมผัสได้ถึงความเย็นวาบทั่วสันหลัง วิญญาณแทบหลุดจากร่าง ทุกคนโคจรพลังกันอย่างสุดกำลังแล้วเข้ามารวมตัวกัน ด้วยเกรงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนกู่หลิวสุ่ย!
“อายุเท่านี้แต่ไร้มารยาทยิ่ง ไม่ว่าผู้อาวุโสคนนี้จะอารมณ์ดีแค่ไหน แต่ก็ทนดูต่อไปไม่ได้หรอกนะ เห็นได้ชัดว่าเจ้าบัดซบน้อยพวกนี้น่าขุ่นเคืองเพียงใด ช่างเถอะ อย่างไรมันมาก็เพราะเจ้าเด็กนั่นอยู่แล้ว ก็ให้เด็กนั่นรับกรรมไปแล้วกัน ข้าจะได้ช่วยเขาได้ อา ใช่ ช่วย…” เสียงบ่นหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งชั้นเก้า
หนานซิ่วชงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงยิ่ง เพราะถึงจะได้ยินเสียงนี้ แต่พวกเขากลับไม่อาจมองหาต้นทางของมันได้เลย!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงตุบเป็นจังหวะดังขึ้น หนานซิ่วชง เหวินเหรินเยี่ย อินผิง เฉาเหอและคนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสได้ตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวคนพลันรู้สึกเจ็บที่ศีรษะ จากนั้นภาพตรงหน้าก็มืดไป อึดใจต่อมาก็พากันล้มลงหมดสติไปแล้ว
ก่อนที่จะหมดสติไป ทุกคนรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีก้อนอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาหลังศีรษะเหมือนกับตอนกู่หลิวสุ่ย…
ฟิ้ว!
เมื่อทุกคนหมดสติไปแล้ว หม้อใบจิ๋วพลันปรากฏตัวลอยอยู่กลางอากาศ รอบกายเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์สีขาววนเวียน เห็นได้ชัดว่ามันคือคนร้ายนั่นเอง!
“โอ๊ะ ตื่นขึ้นมาเขาก็ใช้พลังของข้าไปเสียเยอะเชียว เด็กนั่นต้องเอาสมบัติศักดิ์สิทธิ์สิบเจ็ดสิบแปดชิ้นมาแลกกับข้านะ แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นไม่มีเวลาเรื่องนั้นกระมัง คงได้แต่ต้องไปหาเอาเองสินะ….” เสียงบ่นยาวดังขึ้น หม้อใบจิ๋วแผ่กระแสพลังศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นโซ่ ซึ่งกวาดผ่านร่างของกู่หลิวสุ่ยและคนอื่น ๆ เพื่อชิงเอาแผ่นป้ายธรรมเทพของพวกเขามา
“ไม่เลวเลยนี่! ฮ่า ๆ! ไม่เลวเลย! มีเยอะใช่เล่น พอเอาไปแลกสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้หลายชิ้น ไม่คิดเลยว่าบัดซบน้อยพวกนี้จะร่ำรวยเป็นยิ่งนัก” หม้อใบจิ๋วหัวเราะจนตัวสั่น เหมือนว่ามีความสุขเป็นยิ่งนัก
หากเฉินซีมาเห็นภาพนี้เข้าคงได้ถอนหายใจยาวอีกครั้งเป็นแน่…