บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 877 ทุกอย่างพร้อมแล้ว
บทที่ 877 ทุกอย่างพร้อมแล้ว
บทที่ 877 ทุกอย่างพร้อมแล้ว
ณ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ข่าวการกลับมาของเฉินซีได้สั่นสะเทือนทั่วทั้งนิกายในชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังยอดเขาจรัสตะวันตกเพื่อไปเยี่ยมเฉินซี พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าชายหนุ่มได้เข้าสู่การปิดประตูบ่มเพาะ และกำลังเตรียมจะทะลวงสู่ขอบเขตเซียนปฐพี
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งประหลาดใจและตกตะลึง
หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เฉินซีเพิ่งจะเข้าร่วมนิกายมาได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ในเวลานั้น เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ แต่ยามนี้เขากลับกำลังทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพี!
ความเร็วในการบ่มเพาะที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ย่อมมากพอที่จะบดบังอัจฉริยะส่วนใหญ่ในโลกให้อยู่ใต้เงาของชายหนุ่ม
เรื่องนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วทั้งนิกายอย่างรวดเร็ว ในเวลาหนึ่ง เรื่องที่เฉินซีกำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้กลายเป็นประเด็นสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในนิกาย
ทุกคนต่างก็พากันคาดเดาว่า ชายหนุ่มจะสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม และบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างราบรื่นหรือไม่
“ในความคิดของข้า ด้วยทรัพยากรที่ผู้อาวุโสเฉินซีครอบครองอยู่ ย่อมช่วยให้เขาเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างง่ายดาย และเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้! ดูเถิด ในขณะที่ยังคงอยู่ในขอบเขตสถิตกายา เขายังสามารถเอาชนะและสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้ จะมีสักกี่คนในโลกที่มีภูมิหลังที่น่ากลัวเช่นนี้กัน?” บางคนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเฉินซี กล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่น
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ผู้อาวุโสเฉินซีเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา เขาก็เผยให้เห็นท่าทางอันสง่างามของอัจฉริยะผู้สูงส่งไม่มีใครเทียบได้ ผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน และคงจะหาใครสักคนทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬนี้มาเทียบเคียงกับเขาไม่ได้แล้ว”
“แต่ทัณฑ์สวรรค์ก็ยังนับเป็นอุปสรรคที่อันตรายที่สุดในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เพราะมันคือการเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์เป็นเซียน หากสำเร็จก็มันย่อมช่วยให้เขาทะยานขึ้นสู่สวรรค์ในก้าวเดียว ทว่าหากล้มเหลวมันก็จะจบลงด้วยความตาย หายนะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะได้เอาชนะได้ง่าย ๆ เลย”
“ตลอดหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน นั้นมีอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงไม่มีใครเทียบได้นับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นอยู่เสมอ แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ทะลวงสู่ขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขามากมายต่างต้องร่วงหล่นลงมาดั่งสายฝน หากเทียบกับผู้บ่มเพาะที่มีพรสวรรค์ธรรมดา ๆ แล้ว ทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขานั้นยากลำบากยิ่งกว่านับร้อยเท่า”
“เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ‘สวรรค์อิจฉาผู้มีความสามารถโดดเด่น’ อย่างนั้นหรือ?”
“คงพูดได้เพียงแค่ว่า ยิ่งมีพรสวรรค์สูงส่งเพียงใด อุปสรรคที่ต้องพบพานก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น ทัณฑ์สวรรค์ที่ต้องเผชิญก็ยิ่งมีมากขึ้นเช่นกัน นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้มาช้านานนับตั้งแต่โบราณกาลแล้ว”
“แต่ผู้อาวุโสเฉินซีจะต้องทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน ตราบเท่าที่ผู้อาวุโสของนิกายของเราคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง คงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายใด ๆ ขึ้น”
“เราจะรู้เมื่อถึงเวลา พูดถึงเรื่องนี้มากไปก็ไม่มีอะไรนอกจากความกังวลที่ไม่มีมูลความจริง”
ในขณะที่ทุกคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างพูดคุยกันว่า เฉินซีจะสามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จหรือไม่ ตัวเฉินซีผู้สวมชุดคลุมนักพรตสีเหลืองส้มนั้น กำลังดื่มเหล้าและจิบชาอย่างผ่อนคลายอยู่ที่ริมฝั่งสระชำระกระบี่บนยอดเขาจรัสตะวันตก
นี่คือร่างอวตารของเขา ร่างกายหลักของชายหนุ่มได้เข้าสู่โลกแห่งดาราเรียบร้อยแล้ว และกำลังทำความเข้าใจเคล็ดพลังธรรมเทพไร้ขอบเขต ขณะที่ควบคุมพลังในแก่นดวงใจ กำลังรอให้แก่นดวงใจก้าวเข้าสู่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ ก่อนที่เขาจะออกจากการปิดประตูบ่มเพาะ
เฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ทันทีที่เขาจะออกจากการปิดประตูบ่มเพาะ ทัณฑ์สวรรค์จะตามลงมาอย่างแน่นอน ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
แต่ชายหนุ่มก็เลิกคิดเรื่องทั้งหมดนั้น และมีความสุขกับความสงบนี้อย่างเงียบ ๆ ท่วงท่าสงบและจิตใจแจ่มใส ไม่มีรัศมีเรืองรองโดดเด่น กลับดูเหมือนว่าเขาจะหลอมรวมเข้ากับโลกอย่างสมบูรณ์ มีความสุขกับตัวเองด้วยการเฝ้าดูก้อนเมฆที่ลอยตัวไปมา และดื่มด่ำกับทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลิน
นี่คือการควบแน่นแบบหนึ่ง ความคิดหวนกลับสู่พื้นฐาน หลังจากสั่งสมไม่รู้จบและบรรลุถึงขีดจำกัดของตน
ความยุ่งยากทั้งหมดถูกกำจัดเพื่อกลับสู่ความเรียบง่าย
ยามอยู่ในขอบเขตสถิตกายา เฉินซีได้สั่งสมหลายอย่างมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเต๋ารู้แจ้ง การบ่มเพาะ หรือประสบการณ์การต่อสู้ พวกมันทั้งหมดได้บรรลุถึงสถานะที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็น ‘สภาวะสูงสุด’ ที่เหนือความสมบูรณ์แบบไปแล้ว
สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้นั้นง่ายมาก มันคือการบ่มเพาะวิญญาณดวงใจ จากนั้นก็รอการลงมาของทัณฑ์สวรรค์อย่างเงียบ ๆ
ในวันที่เจ็ดที่เขาเข้าสู่การปิดประตูบ่มเพาะและปฏิเสธแขกทุกคน
ทันใดนั้นหิมะได้ตกลงมาจากท้องฟ้า เกล็ดหิมะใหญ่พอ ๆ กับเสื่อฟางโปรยปรายลงมาปกคลุมยอดเขาจรัสตะวันตก แช่แข็งให้บริเวณโดยรอบด้วยน้ำแข็งและหิมะ
เฉินซีถือจอกสุราขณะล่องลอยบนเรือเหนือทะเลสาบใส ท่ามกลางสายลมและหิมะที่พลิ้วไหว
เสิ่นเหยียนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ท้ายเรือขณะชงชาบนเตาหลอมโคลนสีแดงขนาดเล็ก ควันม้วนตัวพัดพากลิ่นหอมของชาลอยออกมา เพิ่มความอบอุ่นเล็กน้อยให้กับบรรยากาศที่หนาวเย็นนี้
“เต๋าแห่งสวรรค์คืออะไร? ภูเขาลูกนี้ แม่น้ำสายนี้ ระลอกคลื่นในทะเลสาบที่ใสสะอาด เส้นทางที่เกล็ดหิมะเหล่านี้โปรยปราย ทุกอย่างล้วนมีกลิ่นอายของเต๋า คนธรรมดาอาจรู้สึกว่ามันสบายตา แต่ข้าเห็นความลึกซึ้งของมหาเต๋าอยู่ในนั้น”
เฉินซียืนพิงหัวเรือพร้อมกับจอกสุรา เขาเหยียดร่างกายอย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม “นี่คือการเห็นความจริงในที่ธรรมดาและได้ยินเสียงฟ้าร้องในที่สงัด”
เสิ่นเหยียนเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ แม้เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ก็จำทุกคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ
‘บางที เมื่อไปถึงขอบเขตการบ่มเพาะเช่นเดียวกับอาจารย์ในวันหนึ่ง เขาอาจจะตระหนักถึงความจริงอันน่ามหัศจรรย์ของมัน!’
เสิ่นเหยียนคิดเช่นนั้น
…
ในวันที่สิบสี่ ชายหนุ่มยังคงเข้าสู่การปิดประตูบ่มเพาะและปฏิเสธแขกทุกคน
เฉินซีพาเสิ่นเหยียนไปเยี่ยมเยือนศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหั่วโม่เลย ศิษย์พี่รองหลูเซิง ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อ ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ และศิษย์พี่หญิงห้าอาจิ่ว ณ ริมสระชำระกระบี่
สำหรับศิษย์พี่หกชิงอวี่นั้น อีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกคนรุ่นเยาว์ของเผ่านรกขุมที่เก้า เฉินซีจึงไม่อยากไปรบกวนเขา
“แม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะแสดงความคมออกมา แต่มันก็แข็งตรงเกินไปและหักง่าย ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าทักษะการขัดเกลาจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ซับซ้อนเกินไปที่จะใช้งาน” หั่วโม่เลยมองกระบี่ในมือครู่หนึ่ง ก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน และแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
กระบี่นี้เพิ่งได้รับการขัดเกลาโดยเฉินซี บนพื้นผิวของตัวใบมีดที่เป็นสีฟ้าอ่อน ถูกปกคลุมไว้ด้วยอักขระยันต์ มันเปล่งแสงเจิดจ้าและแผ่กลิ่นอายที่ดุร้ายออกมา
เสิ่นเหยียนตกตะลึง นี่คือสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสูงที่ได้รับการขัดเกลาโดยอาจารย์ของเขา ในความคิดของเขา มันแทบจะเปรียบได้กับศัสตราศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความเห็นของอาจารย์ลุงหั่วโม่เลย มันกลับใช้การไม่ได้และถูกมองว่าไร้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ…
ทว่าเฉินซีไม่ได้สนใจ เขายิ้มก่อนที่จะยืมพิณที่ศิษย์พี่รองหลูเซิงสร้างขึ้นเองมา
ติ๊ง!
อึดใจต่อมา นิ้วทั้งสิบของเขาก็ขยับและดึงสายพิณ ทำให้เกิดท่วงทำนองที่เยือกเย็นและสง่างามไหลออกมาราวกับผีเสื้อที่กระพือปีกหรือน้ำพุที่ไหลริน และทำให้จิตใจและร่างกายของเสิ่นเหยียนมึนเมา
หลังจากที่ร้องเพลงเสร็จ สีหน้าของหลูเซิงดูมืดมนเล็กน้อย และในที่สุดเจ้าตัวจึงถอนหายใจ “ศิษย์น้องเล็ก พิณคือเสียงของหัวใจ กลิ่นอายการต่อสู้ของเจ้าในเพลงนี้รุนแรงยิ่ง มันทำให้ท่วงทำนองเพลงอลหม่าน”
เสิ่นเหยียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น และรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เห็นได้ชัดว่าเพลงนี้ไพเราะมาก!
เฉินซียังคงยิ้มและเล่นเกมกับอี้เฉินจื่อศิษย์พี่สามของเขา แต่เมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง และก่อนที่พวกเขาจะต่อสู้กันจริง ๆ อี้เฉินจื่อพลันผุดลุกขึ้นยืนและสะบัดแขนเสื้อก่อนจะจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะเป็นผู้เล่นหมากที่แย่มากจริง ๆ อนิจจา…” อี้เฉินจื่อส่ายหัวและถอนหายใจด้วยความเสียใจสุดซึ้ง
เสิ่นเหยียนรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์กัน? เหตุใดเขาจึงเฝ้าโจมตีจุดแข็งของผู้อื่นด้วยสิ่งที่เขาอ่อนด้อยกัน?
ต่อจากนั้น เสิ่นเหยียนก็เห็นอาจารย์เขียนคำบางคำด้วยจังหวะที่มีพลังดุจเพลงกระบี่ และพวกมันก็เปล่งกลิ่นอายที่น่ากลัวและรุนแรงออกมาปะทะใบหน้า ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเจ็บดวงตาราวกับโดนเสียดแทง แม้ว่าจะมองดูจากระยะไกลก็ตาม
“ไม่เลวจริง ๆ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าบรรลุถึงความสำเร็จ แต่ถ้าเจ้าต้องการพัฒนาเต๋าแห่งการเขียน เจ้าต้องพยายามให้หนักมากกว่านี้” นี่คือการประเมินของศิษย์พี่สี่ต้วนอี้
เฉินซีไม่สนใจมัน จากนั้นเขาก็วาดภาพให้ศิษย์พี่หญิงห้า อาจิ่วจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะฉีกภาพวาดของเฉินซี นางพูดตรง ๆ ว่ามันน่ากลัวเกินไป เพราะภาพวาดของเขาปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่เลวร้าย และไม่มีความเป็นศิลปะเลย
แต่เฉินซีก็ยังพาเสิ่นเหยียนจากไปอย่างหดหู่ท่ามกลางสายตาที่ผิดหวังของศิษย์พี่ทั้งชายหญิง
“ข้าไม่ชำนาญในการขัดเกลาอุปกรณ์ พิณ หมากรุก การเขียนพู่กัน หรือการวาดภาพ ข้าเพียงรู้ในเต๋าแห่งยันต์อักขระเล็กน้อยเท่านั้น และข้าก็พยายามอย่างขยันขันแข็งในทางนั้น แต่เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตัวข้าเองก็ไม่อาจกล่าวว่าได้เรียนรู้พื้นฐานทั้งหมดแล้ว”
เฉินซียืนกล่าวที่ริมฝั่งสระชำระกระบี่ “นี่คือเส้นทางแห่งเต๋า ผู้บ่มเพาะทุกคนมีเส้นทางที่เป็นของตนเอง และการยืนหยัดด้วยความพากเพียรเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาบรรลุถึงบางสิ่งได้”
ร่างกายของเสิ่นเหยียนสั่นสะท้าน ราวกับเขาได้รับการรู้แจ้งในทันใด เข้าใจความหมายเบื้องหลังทุกสิ่งที่อาจารย์ของตนทำในวันนี้ทันที!
เบิกเส้นทางวิถีแห่งตน!
ใช่แล้ว เส้นทางของข้าอยู่ที่ใด?
เสิ่นเหยียนมีสีหน้าว่างเปล่า ในขณะที่เขาดูเหมือนรูปปั้นดินเหนียว และดำดิ่งสู่การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกเลย
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มสามารถส่งต่อให้เสิ่นเหยียนได้ สำหรับสิ่งอื่น ๆ เช่น เคล็ดวิชาบ่มเพาะ เต๋ารู้แจ้ง และทักษะการต่อสู้… ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญ เพราะเพียงแค่เข้าใจถึงสิ่งที่หัวใจของตนยึดมั่นเท่านั้น จึงจะถือว่าเข้าใจแก่นแท้ของการบ่มเพาะอย่างแท้จริง
…
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินซีก็อยู่อย่างสันโดษ และไม่มีร่องรอยของเขาบนยอดเขาจรัสตะวันตกอีกต่อไป
ทุกคนไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะพวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมเพื่อเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ เพราะจากระยะเวลาที่ผ่านมา คลื่นทัณฑ์ระลอกแรกจากสวรรค์เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปฐพีก็กำลังจะมาในอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้
ณ โลกแห่งดารา
ร่างหลักของเฉินซีและร่างอวตารนั่งหันหน้าเข้าหากัน
แสงเจิดจ้าแห่งธรรมเทพที่ลุกโชนพุ่งออกมา กระจายออกจากร่างหลักของเขา มันสว่างไสว กว้างใหญ่ และขึงขัง ทำให้ทั้งร่างชายหนุ่มอาบไปด้วยกลิ่นอายแห่งสวรรค์ที่ดูเป็นนิรันดร์
ในร่างกายของเขา แก่นหัวใจของเฉินซีขยับไหวเป็นจังหวะอยู่ภายในร่าง ดูเต็มไปด้วยพลังและมีชีวิตชีวา วิญญาณใกล้จะควบแน่นเป็นรูปเป็นร่าง กำลังสร้างผนึกด้วยมือของมัน ขณะที่สิ่งนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือแก่นหัวใจ โครงร่างชัดเจนขึ้นตลอดเวลา จนเหลือเพียงใบหน้าของมันเท่านั้นที่ยังคงพร่ามัว
มันคือวิญญาณดวงใจ!
เคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ฝึกฝนพลังดวงใจ เช่นเคล็ดพลังธรรมเทพไร้ขอบเขตนี้ ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เคล็ดพลังธรรมเทพไร้ขอบเขตควบแน่นอำนาจธรรมเทพ เพื่อควบคุมพลังดวงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไหลเวียนผ่านร่างกายดั่งปราณแท้ ที่ไหลเวียนผ่านเส้นลมปราน และปราณจ้าววิญญาณที่ไหลผ่านเลือดเนื้อในร่างกาย ก่อตัวเป็นระบบร่างกายที่สมบูรณ์แบบ!
พลังดวงใจของเขายิ่งควบแน่นและหนาขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การไหลเวียนและการผ่อนเร่งตามลำดับ
เป็นเพราะการฝึกฝนทักษะบ่มเพาะนี้ ทำให้เฉินซีตระหนักอย่างชัดเจนอย่างยิ่งว่า ถ้าอาศัยเพียงการสะสมพลังธรรมเทพเพื่อปรับปรุงพลังดวงใจ มันคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยตลอดชีวิตนี้ที่จะทำได้สำเร็จ
“อีกไม่นาน เพียงประมาณหนึ่งปี วิญญาณดวงใจจะสามารถควบแน่นได้อย่างสมบูรณ์… ”
ร่างอวตารของเฉินซีจ้องมองที่การเปลี่ยนแปลงของพลังในร่างกายหลักของเขา ขณะที่อนุมานเวลาในใจเงียบ ๆ
กฎแห่งกาลเวลาในโลกแห่งดารานั้นแตกต่างออกไป ระยะเวลาหนึ่งปีในที่แห่งนี้ เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเดือนในโลกภายนอก และเวลานั้นก็จะเป็นวันที่ทัณฑ์สวรรค์มาเยือน!
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงแหวกฝ่าอากาศมากมายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งเข้าหายอดเขาจรัสตะวันตกจากทั่วทุกทิศทุกทาง
ประมุขนิกายเวินหัวถิง ผู้อาวุโสผู้คุมกฎเลี่ยเผิง และเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ นำอยู่ท่ามกลางหมู่คนเหล่านั้น ตามมาด้วยศิษย์ชั้นยอดทั้งหมดจากยอดเขาจรัสเทวะ และผู้อาวุโสสายนอกสายใน
เป็นกลุ่มขบวนที่ยิ่งใหญ่ อลังการและงดงามยิ่งนัก
ในอีกด้านหนึ่ง หั่วโม่เลย เหมิงเหวย และคนอื่น ๆ ได้หยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ต่างออกมาต้อนรับการมาถึงของเวินหัวถิง เลี่ยเผิงและคนอื่น ๆ
“ในที่สุดก็มา…” อาซิ่วสวมกอดไป๋คุย ในขณะที่ร่างงามของนางหยุดยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าในระยะไกลด้วยดวงตาใสกระจ่าง
เส้นแสงสีดำพุ่งตรงมาจากระยะไกลลิบตา กระชากอากาศเสียงดังก้อง มันดูราวกับเส้นหมึก เปลี่ยนท้องฟ้าทุกที่ที่มันผ่านไปให้กลายเป็นสีดำสนิท
บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ เปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืนและนั่นคือสัญญาณการก่อกำเนิดเมฆทัณฑ์สวรรค์!