บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 891 หุ่นวิญญาณศึก
บทที่ 891 หุ่นวิญญาณศึก
บทที่ 891 หุ่นวิญญาณศึก
อาซิ่วคลี่ยิ้มแล้วประกบมือเข้าหากัน “เอาล่ะ แค่รอฟังข่าวดีจากเสี่ยวเฮยก็พอ”
เฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกได้ว่าหนอนไหมตัวอ้วนนี้คืออะไร ที่แท้มันก็คือหนอนไหมจักรพรรดิสมบัตินั่นเอง!
เป็นศิษย์นามฟางเริ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์อสูร เขาเป็นคนมอบเจ้านั่นให้อาซิ่ว
ไม่เคยคิดเลยว่าหลายปีผ่านไป อาซิ่วไม่เพียงเลี้ยงมันจนอ้วน ถึงกับตั้งชื่อไม่น่าฟังให้มันด้วย ชื่อเสี่ยวเฮย…
อย่างไรเสีย หนอนไหมจักรพรรดิสมบัติก็เป็นหนอนหายากจากครั้งบรรพกาล แม้จะต่อสู้ไม่ค่อยเก่ง แต่มันก็หาสมบัติเก่ง จนแม้แต่สมบัติลับหรือของล้ำค่าทั้งหลายที่จิตสัมผัสเทพยังสัมผัสไม่ได้ ก็ยังไม่อาจหลบจมูกมันพ้น!
หรือก็คือหากใครมีเจ้านี่อยู่ พวกเขาก็จะสามารถค้นพบสมบัติลับ ดินแดนเร้นลับ สมุนไพร และแร่ทั้งหลายได้โดยไม่จำเป็นต้องขยับตัวเลยสักนิด!
มูลค่าของหนอนประเภทนี้จึงไม่อาจคำนวณได้ เป็นเหมือนต้นไม้ที่พอเขย่าก็มีเงินร่วงลงมา หากต้องนำไปแลกกับสิ่งใดคงไม่คุ้ม…
แต่เฉินซียังสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของหนอนไหมจักรพรรดิสมบัติอยู่ เพราะตัวเขามีเนตรเทวะแห่งความจริงที่สามารถมองทะลุความจริงเบื้องหลังทุกสิ่งอย่างได้ ยังสัมผัสถึงความผิดปกติในดินแดนภูติผีเหล่านี้ไม่ได้เลย แล้วหนอนไหมนี่จะทำได้หรือ?
แต่อาซิ่วดูจะมั่นใจในเสี่ยวเฮยมาก นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถึงเสี่ยวเฮยจะยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่มีสมบัติชิ้นใดในภพมนุษย์ที่จะรอดพ้นสายตามันไปได้”
“อ้อ? เสี่ยวเฮยบ่มเพาะพลังได้ด้วยหรือ?” เฉินซีถาม
เขาไร้ความรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งการปราบพยศและไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับมันมาก่อนเลย ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหนอนไหมตัวเท่านี้สามารถบ่มเพาะพลังได้ จึงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“ทุกอย่างบนโลกใบนี้มีวิญญาณ และหากมีวิญญาณแล้วก็จะสามารถบ่มเพาะพลังได้ หนอนไหมจักรพรรดิสมบัติอย่างเสี่ยวเฮยนับว่าหายากมาก แม้จะเป็นเมื่อครั้งบรรพกาลก็ตามที น่าเสียดายที่เลี้ยงยากเกินไป” อาซิ่วว่า
“ยาก…แค่ไหนหรือ?” เฉินซีตกใจ แค่มันทำให้อาซิ่วเอ่ยปากว่าเลี้ยงยากได้เช่นนี้ เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ธรรมดา
“แค่เรื่องกินของมันก็ยากเกินพอแล้ว ข้าให้มันกินสมบัติล้ำค่าไปมากกว่าร้อยชนิด ซึ่งมูลค่าสูงถึงสมบัติอมตะมากกว่าสิบชิ้นแล้วล่ะ” อาซิ่วตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ “ถ้าอยากให้มันพัฒนามากไปกว่านี้อีก คงต้องไปหาสมบัติจากภพเซียนแล้วกระมัง”
หา!
เฉินซีอดอ้าปากค้างออกมาไม่ได้ แค่เรื่องอาหารก็ใช้สมบัติอมตะไปมากกว่าสิบชิ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? หากเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่ากล่าวเกินจริงไปแล้ว
แต่เมื่อเป็นคำของอาซิ่ว ย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน
โชคดีที่ตอนนั้นมอบมันให้อาซิ่วไป ไม่เช่นนั้นเขาได้หมดเนื้อหมดตัวเป็นแน่… เฉินซีรู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก
ในขณะเดียวกันนั้น อาซิ่วพลันคลี่ยิ้มเอ่ยเสียงตื่นเต้นออกมา “ไปกันเถอะ! เสี่ยวเฮยเหมือนจะเจออะไรบางอย่างแล้ว!”
ว่าแล้ว นางก็ดึงแขนเสื้อเฉินซีแล้วแวบหายไป
…
มันคือหุบผาธรรมดาแห่งหนึ่ง ราบเรียบไร้สิ่งใด ภายในมีหมอกหนาสีดำลอยคว้างอยู่ ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยวเฮยกำลังนอนอยู่บนผนังหินภายในหุบผาลึก กำลังขยับตัวไปมาเหมือนร้อนใจกับอะไรบางอย่าง
เฉินซีกับอาซิ่วมาถึงจึงทันเห็นภาพนี้
“หลังผนังหินนี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?” เฉินซีชะงักไป ระหว่างพูด ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วก็เผยแสงสีดำออกมา เขาเห็นพื้นที่เบื้องหลังผนังหินเป็นสีดำสนิท ทั้งยังมองลึกลงไปอีก แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด ไม่เห็นแม้สมบัติศักดิ์สิทธิ์
อาซิ่วหยิบผลไม้วิญญาณโยนให้เสี่ยวเฮย ก่อนจะเดินเข้าไปตบ ๆ ผนังหินนั่นไม่หยุด
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เสียงแผ่นหินลั่นเปรี๊ยะก่อนจะถล่มลงมา เกิดฝุ่นควันคลุ้งกระจายไปทั่ว
จากนั้นด้านหลังผนังหินนั่นก็คล้ายเกิดรอยแยกประตูไร้รูปปรากฏขึ้นมา ดูเลือนรางเสียจนเหมือนไม่มีอยู่จริง!
เฉินซีอึ้งไปทันที ก่อนหน้านี้เนตรเทวะแห่งความจริงยังไม่เห็นเจ้านี่เลย!
“นี่คือแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ถือกำเนิดขึ้นจากความวุ่นวายตอนที่สร้างโลก เมื่อเนตรเทวะแห่งความจริงของเจ้าสามารถ ‘ล่วงรู้ทุกวิชา’ จึงจะสามารถเห็นมันได้” เป็นจังหวะนั้นเองที่หม้อใบจิ๋วซึ่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น “คนต่างพิภพจะสามารถเห็นแสงนี้ได้ แต่คนจากทั้งสามภพไม่อาจเห็น ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นมันที่นี่ แปลกจริง”
เมื่อเห็นประตูบานนั้นสามารถเรียกความสนใจจากหม้อใบจิ๋วได้ เขาก็มีความรู้สึกลึก ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดา …ไม่แน่ว่ากองทัพต่างพิภพคงมาที่นี่เพราะประตูนี้กระมัง? และมันก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สมบัติตกทอด’ ที่คนต่างพิภพทิ้งไว้อีกด้วย?
“ไปกันเถอะ ข้างในต้องมีสมบัติเยอะเป็นแน่” อาซิ่วตาเป็นประกาย เหมือนอยากกระโจนเข้าไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อน! ช่วยระวังสักนิดได้หรือไม่?” เฉินซีเอ่ยเสียงโกรธ
ฟึ่บ!
อาซิ่วเหมือนไม่ได้ยิน นางเอื้อมมือออกไปคว้า ทำให้รอยแยกมิติที่คล้ายกับควบแน่นมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลยิ่งฉีกใหญ่ขึ้น หลังจากนั้นจึงยิ้มพร้อมพูดว่า “มีข้าอยู่เจ้าจะกลัวอะไรอีก?”
เฉินซีชะงักไป จากนั้นก็ส่งกระแสปราณหาหม้อใบจิ๋ว “เจ้านี่ไม่อันตรายหรือ?”
“แตะสักนิดก็ตาย” หม้อใบจิ๋วตอบเสียงห้วนเหมือนเคย เป็นคำที่ไร้ความรู้สึกยิ่ง
เฉินซีมุมปากกระตุก ได้แต่ลอบถอนหายใจ ทุกคนคิดว่าข้าเป็นเจ้าบ้า แต่พอเทียบกับอาซิ่วแล้ว ข้าก็เหมือนคนแคระที่ยืนอยู่หน้ายักษ์เลยทีเดียว
ในตอนนั้นอาซิ่วเดินเข้าไปก่อนแล้ว
ชายหนุ่มลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเข้าประตูตามไป
…
มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเสาสีแดงตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่ง โดยมีทั้งหมดสามสิบหกเสา แต่ละเสาทั้งหนาและใหญ่มโหฬาร สูงราวเก้าสิบจั้ง บนเสายังมีลายสลักรูปดอกไม้ รูปนก แมลง ปลา ภูเขา ธารน้ำ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ประดับอยู่ ลวดลายหนาบนเสาเหล่านั้นคล้ายกับจะเรืองแสงสว่างจาง ๆ ออกมา
ครืน!
เมื่อเฉินซีมาถึง กำแพงใกล้เคียงก็แยกออก ก่อนเงาร่างหนึ่งจะพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายมีแสงเรืองสีแดงกระจายทั่วร่าง ใช้กระบี่ฟาดลงมาทางเฉินซี
เฉินซีเลิกคิ้วสูง และเพื่อความปลอดภัย ข้อมือเขาจึงสั่นเล็กน้อย ก่อนที่ยันต์ศัสตราจะปรากฏตัวออกมา กรีดท้องฟ้าปะทะเข้ากับเงาร่างสีแดงเข้มนั้น
ฉัวะ!
ศีรษะของเงาร่างนั้นถูกบั่นกระเด็นจนร่วงลงพื้น
แท้จริงแล้วมันเป็นศีรษะไม้ ตรงลูกตาคืออัญมณีไม่ทราบชื่อที่ส่องประกายสีแดง และตอนนี้มันได้หม่นแสงลงราวกับเสียความมีชีวิตชีวาที่เคยมีไป
หุ่นเชิด?
เฉินซีมองร่างของมันซึ่งก็ทำจากไม้เช่นกัน มันสวมเกราะสีแดงเพลิงที่ถักทอเป็นทรงคล้ายเกล็ดปลา ปกปิดข้อต่อทุกส่วนของหุ่นเชิดได้เป็นอย่างดี ทำให้เหมือนเป็นผิวหนังชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มมันเอาไว้
“น่าสนใจดีนี่ น่าสนใจดี” อาซิ่วยืนสองมือไพล่หลังแล้วเดินวนไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตหุ่นเชิดตัวนั้น นัยน์ตาของนางเป็นประกายเหมือนได้เห็นของเล่นใหม่
“ก็แค่หุ่นเชิดไม่ใช่หรือ? มีอันใดให้ต้องสนใจนัก?” เฉินซีอดถามขึ้นมาไม่ได้
จากการโจมตีเมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้มีพลังไม่ใช่น้อย ซึ่งเทียบได้กับผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติทีเดียว แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ไม่ควรค่าให้อาซิ่วต้องให้ความสนใจขนาดนั้น หรือนางจะไม่เคยเห็นหุ่นเชิดมาก่อน?
“นี่ไม่ใช่แค่หุ่นเชิดธรรมดานะ มันเป็นหุ่นวิญญาณศึกที่ช่างฝีมือวิญญาณสร้างขึ้นมาใช้เอง” อาซิ่วนั่งยองกับพื้นก่อนทำนิ้วประหนึ่งใบมีด จากนั้นก็ผ่าร่างของหุ่นเชิดไร้หัวให้แยกออก เผยให้เห็นกลไกด้านใน “เจ้าดู หุ่นเชิดสังหารตัวนี้มีทั้งเส้นลมปราณ จุดชีพจร และยังมีทะเลแห่งลมปราณด้วย มีอวัยวะภายในด้วยล่ะ…”
เขาจึงสังเกตไปพร้อมกับคำอธิบายของนางว่าหุ่นวิญญาณศึกนี่มีเส้นลมปราณและจุดชีพจรอันซับซ้อนหลายชั้น แต่ส่วนมากถูกทำลายไปแล้ว
โดยเฉพาะท้องทะเลแห่งลมปราณ แม้ว่ามันจะว่างเปล่า แต่หากสังเกตดูดี ๆ ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงปราณแท้ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้
การค้นพบนี้ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไป จึงรู้ว่าหุ่นเชิดธรรมดากับหุ่นวิญญาณศึกนี้ไม่เหมือนกัน
เป็นที่รู้กันดีว่าเต๋าแห่งหุ่นเชิดก็คล้ายคลึงกับเต๋าแห่งการปราบพยศ ปรุงอาหาร หลอมโอสถ และขัดเกลาอุปกรณ์ ถ้าจะให้พูดก็คือผู้เชิดหุ่นฝีมือดีจะต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณมากมาย ค่ายกลและกลไกมากมายในการสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาสักตัว
หุ่นเชิดเองก็เหมือนมนุษย์ หากมีศิลาวิญญาณมากพอก็สามารถทำตามทุกอย่างที่ผู้เชิดสั่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ สังหารศัตรู หรือกระทั่งรินชาให้ดื่ม ล้วนทำได้ทั้งสิ้น
แต่มันก็ยังไม่ใช่มนุษย์ เพราะมันไม่มีจิตรู้คิด เป็นแค่หุ่นที่ถูกผู้อื่นเชิดไปมาก็เท่านั้น อีกทั้งยังไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ ดังนั้นยิ่งหุ่นเชิดแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ยิ่งต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณที่ล้ำค่าในการสร้างมากขึ้นเท่านั้น และจะยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นด้วย เพราะจะต้องใช้จิตสัมผัสเทพอันทรงพลังในการควบคุม
ในหมู่สิบนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬ นิกายประดิษฐ์แห่งทิวเขาใต้ เป็นนิกายไม่ธรรมดาที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำหุ่นเชิด กลไก และค่ายกลต่าง ๆ ผู้คนลือกันว่าหุ่นเชิดชั้นยอดที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมาสามารถต่อสู้กับผู้อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีได้เลยทีเดียว!
แต่หุ่นวิญญาณศึกก็มีความแตกต่างกัน แม้ว่าจะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบวิญญาณหลายอย่างเช่นกัน แต่มันก็มีทั้งเส้นลมปราณ จุดชีพจร ท้องทะเลแห่งลมปราณ และอวัยวะอื่น ๆ อยู่ภายในร่าง ซึ่งทำให้มันมีความสมบูรณ์กว่า
จากที่เฉินซีประเมินดู เจ้านี่สามารถบ่มเพาะพลังได้ และมีจิตนึกคิดเองได้เป็นแน่!
ไม่ทันไร อาซิ่วก็กรีดศีรษะของมันออกแล้ว จากนั้นก็ชี้นิ้วไปตรงจุดหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “วิญญาณของหุ่นวิญญาณศึกจะถูกเก็บไว้ระหว่างคิ้ว ซ่อนอยู่ในห้วงจิตสำนึก ซึ่งสร้างขึ้นมาจากสมบัติที่เรียกว่าผลึกหยกวิญญาณกระจ่าง”
เมื่ออธิบายถึงตรงนี้ หญิงสาวพลันหัวเราะคึกคัก “สมัยยังเด็กข้าเล่นกับหุ่นวิญญาณศึกมาหลายตัว น่าเสียดายที่พวกมันถูกทำลายไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นมันที่นี่”
เป็นจังหวะนี้เองที่เฉินซีจึงเข้าใจว่าเหตุใดอาซิ่วถึงได้รู้เรื่องของมันดีเช่นนี้ เขาอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดจึงถูกทำลายไปเล่า?”
“พวกมันเป็นสิ่งที่เผ่าช่างฝีมือวิญญาณสร้างขึ้นมา เต๋าแห่งสวรรค์ของสามภพไม่อาจปล่อยพวกมันไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องถูกทำลายไป ไม่เช่นนั้นหากข้าถูกจับได้ก็คงเป็นปัญหาไม่ใช่น้อย” อาซิ่วยักไหล่ตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายว่าทำอะไรไม่ได้
คนต่างพิภพ!
ในใจของเฉินซีราวกับเกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา เขามั่นใจทันทีว่าคนต่างพิภพพวกนั้นได้เคลื่อนทัพขนาดใหญ่รุกล้ำแคว้นต้าเยี่ยนก็เพื่อสถานที่แห่งนี้นั่นเอง!
แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือเขานึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่หญิงหลียางเคยพูดบางอย่างไว้ คนต่างพิภพเหล่านั้นไม่ใช่เผ่าพันธุ์นอกสามพิภพแต่อย่างไร แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนเคยอยู่ในสามภพมาก่อน แต่ถูกเต๋าแห่งสวรรค์ขับไล่ออกมาต่างหาก
แต่หุ่นวิญญาณศึกที่มีเพียงคนต่างพิภพเท่านั้นจะสามารถครอบครองได้ กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ย่อมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าศิษย์พี่หญิงหลียางพูดความจริง ไม่ใช่เพียงข่าวโคมลอย!