บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 906 พานพบสหายเก่า
บทที่ 906 พานพบสหายเก่า
บทที่ 906 พานพบสหายเก่า
ณ โถงรับแขก
ไป๋กู้หนานได้จัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อต้อนรับพวกเฉินซี
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เฉินซีก็เรียกให้ไป๋กู้หนานหยุด เขาเอ่ยถามว่า “การทดสอบสิ้นสุดหรือยัง?”
“ย่อมสิ้นสุดแล้ว”
ไป๋กู้หนานไม่ได้เป็นผู้ตอบ แต่เป็นไป๋จิงเฉินผู้เพิ่งมาถึง
ไป๋จิงเฉินคือผู้นำตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง ในเมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ย่อมเป็นการแสดงท่าทีของตระกูลไป๋
เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินซีก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะแม้จะไม่กังวลว่าผู้ใดจะเข้ามาต่อสู้กับเขาอีก แต่ถึงอย่างไรการต่อสู้ไร้ที่สิ้นสุดก็นับเป็นปัญหาพอสมควร
หลังจากนั้น ไป๋จิงเฉินได้ผลักไสไป๋กู้หนานออกไป จนขณะนี้เหลือเพียงเฉินซีกับตัวเขาในห้องโถงใหญ่
“ที่ผู้อาวุโสทำเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลไป๋ทั้งสิ้น แต่เขาดันเลือกเส้นทางที่ผิด” หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไป๋จิงเฉินจึงได้กล่าวเสริมว่า “ข้าหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกแย่”
เฉินซีตกตะลึง ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องน่าแค้นเคืองอันใดหรอกขอรับ ใครเป็นศัตรูใครเป็นมิตร ข้ายังสามารถแยกแยะได้”
ไป๋จิงเฉินหัวเราะเสียงดัง ปากกล่าวพลางยิ้มยินดีว่า “ดี! ด้วยความคิดเช่นนั้น ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องใหญ่ใด เจ้าย่อมผ่านพ้นไปได้แน่”
เฉินซีเองก็ยิ้มเช่นกัน
“พูดตามตรง เป็นเพราะพวกเจ้าแท้ ๆ ตัวข้าจึงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก จนเกือบถูกบังคับให้ซ่อนตัวจากเจ้าพวกสารเลวตระกูลจั่วชิวแล้ว” ไป๋จิงเฉินถอนหายใจเสียงยาว
เฉินซีย่อมทราบว่าไป๋จิงเฉินพูดถึงเรื่องใด
ผู้อาวุโสระดับสูงไป๋เฉิงคือพี่ชายของไป๋จิงเฉิน ส่วนไป๋หว่านฉิงคือน้องสาวของไป๋จิงเฉิน ในสองคนนี้ คนหนึ่งผูกพันกับตระกูลจั่วชิว ท่าทีที่มีต่อตัวเฉินซีจึงเลวร้ายยิ่ง
ส่วนอีกคนนั้นตรงกันข้าม…
ทำให้แม้ไป๋จิงเฉินจะเป็นผู้นำตระกูล แต่เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง เพราะไม่ว่าจะช่วยฝั่งไหน อีกฝั่งย่อมไม่พอใจ
…เรื่องราวทั้งหมดนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็มาจากความขัดแย้งภายในตระกูล ความสัมพันธ์จึงซับซ้อนยิ่ง
แม้กระทั่งเฉินซีในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋หว่านฉิงและตระกูลของนางเป็นอย่างไร…
“วันนี้พักผ่อนก่อน ข้าจะพาเจ้าไปพบหว่านฉิงพรุ่งนี้” ไป๋จิงเฉินไม่กล่าวอันใดอีก เพียงตบบ่าเฉินซี จากนั้นหันหลังแล้วจากไป
แต่เมื่อประตูโถงรับแขกเปิดออก ไป๋จิงเฉินพลันกล่าวบางอย่างที่ชวนอธิบายไม่ถูกออกมา “ลูกผู้ชายตัวจริงไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น ใช่หรือไม่?”
เฉินซีเงียบอยู่นานในโถงรับแขก ในที่สุดก็ส่ายหน้า
ตั้งแต่เขาเกิดมา ชายหนุ่มก็ต้องแบกรับความผิดชอบไว้มากมาย ทั้งคอยดูแลท่านปู่ ปกป้องน้องชาย ตามหาพ่อแม่ และแก้แค้นให้กับตระกูลเฉิน…
ดังนั้น จนกว่าเรื่องพวกนี้จะได้รับการคลี่คลาย เขาย่อมไม่สามารถใช้ชีวิตเพื่อตัวเองได้!
นี่คือความรับผิดชอบ
นั่นคือสิ่งที่ลูกผู้ชายตัวจริงพึงกระทำ!
เขาไม่เสียใจที่ได้ทำทั้งหมดนี้ และยังคงยืนหยัดจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น แม้ไป๋จิงเฉินจะไม่ถาม ชายหนุ่มก็รู้ได้ว่าอันใดควรทำ อันใดไม่ควร แต่เฉินซีก็จะไม่หลีกหนีเพราะมัน จนไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงเช่นกัน…!
แน่นอน คำพูดของไป๋จิงเฉินอาจจะมีความหมายอื่นแฝงเร้น เพราะมันยังถือเป็นการเตือนเฉินซีอย่างอ้อม ๆ ว่าเมื่อทราบความจริงจากไป๋หว่านฉิงในวันพรุ่งนี้ ตัวเขาก็จะต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้!
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ทันทีที่ฟ้าสาง เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ
“คาดไม่ถึงเลยว่า ทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่สองของเซียนปฐพีจะอยู่ไม่ไกลนัก…”
เฉินซีสัมผัสได้ชัดเจนว่า พลังที่มองไม่เห็นกำลังร่ำเตือนเขาว่า ในไม่ช้า ตัวเขาจะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ครั้งที่สอง ทัณฑ์สวรรค์หยินหยาง!
โดยทั่วไปแล้ว ทุกครั้งที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งเก้าครั้ง จะต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการเตรียมตัว ก่อนจะเผชิญทัณฑ์สวรรค์ในครั้งต่อไป
ช่วงเวลาระหว่างนั้นอาจยาวนานเกือบหนึ่งพันปี อย่างเร็วที่สุดคือหนึ่งร้อยปี
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับตัวตนเฒ่าชราในขอบเขตเซียนปฐพี …ช่วงเวลาร้อยปีก็นับว่าสั้นนัก เพราะถึงอย่างไร การก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากประมาทเพียงนิดย่อมประสบกับความตาย
ดังนั้นในช่วงเวลานี้ ตัวตนเฒ่าชราพวกนั้นจึงมักเก็บตัวบ่มเพาะ หรือไม่ก็ออกสำรวจหาสิ่งที่จะช่วยเอาชนะทัณฑ์สวรรค์จากทั่วหล้า เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับมือ …พวกเขาทั้งหลายจึงมักรู้สึกแค่ว่าเวลาเตรียมตัวไม่เพียงพอ แต่ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกว่าเวลาในการมาเยือนของทัณฑ์สวรรค์ …นานเกินไป
และหากเป็นไปได้ ทุกคนก็ต่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกตนจะไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ในรอบต่อไป
แต่ความจริงย่อมโหดร้าย เพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์ ใช้ชีวิตข้ามผ่านยุคสมัย ทัณฑ์สวรรค์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งเก้าคือสิ่งที่ตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!
และเพราะเหตุผลนี้เอง จึงยากนักที่จะได้เห็นร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เพราะการมีอยู่ของทัณฑ์สวรรค์นี้ มันก็เป็นดั่งกระบี่คมปลาบที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ไม่สามารถปล่อยเวลาเสียเปล่าได้!
สำหรับเฉินซี มันเพิ่งผ่านมาเพียงสองเดือนเท่านั้นหลังจากเขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อัสนีคราม แต่ขณะนี้ชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงทัณฑ์สวรรค์คราที่สองแล้ว… และหากใครทราบเข้า พวกเขาย่อมตกตะลึงอย่างแน่นอน!
เพราะสิ่งนี้ มันแปลกประหลาดเกินไป!
แต่เมื่อเฉินซีหวนคิดเกี่ยวกับความจริงที่ว่าตัวเขาเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ เจ้าตัวก็พลันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เพราะชะตาของเขาย่อมแตกต่างจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ อยู่แล้ว
ทว่าชายหนุ่มไม่นึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะด้วยความแข็งแกร่งในยามนี้ของเขา ผนวกกับ ‘พลังธรรมเทพไร้ขอบเขต’ …ขอเพียงไม่ใช่สิ่งนั้น ตัวเขาย่อมไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายถึงฆาต!
“ช่างเกียจคร้านอะไรเช่นนี้ ตะวันจะส่องก้นอยู่แล้ว เหตุใดจึงยังไม่ลุกขึ้นมาอีก?”
เมื่อเฉินซีเดินออกจากลานบ้าน ก่อนจะทันได้เข้าไปในโถงรับแขก เขาก็ได้ยินเสียงกรุ่มกริ่มชัดเจนดังมาจากข้างใน มันเป็นเสียงที่ฟังราวกับกระแสน้ำไหล ช่างไพเราะเสนาะหูนัก
เฉินซีขมวดคิ้ว ก่อนจะทันได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาพลันพบเข้ากับร่างงดงามที่พุ่งออกมาจากโถงใหญ่ราวกับลมกระโชก
“พี่เฉินซี ในที่สุดท่านก็ตื่นเสียที!”
สาวน้อยผู้สง่างามสวมชุดสีเหลืองอ่อน เอวบางราวกับหวาย ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินซีด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
ดวงตาของนางเป็นสีดำกระจ่าง กลมโต ผิวขาวเนียน ริมฝีปากสีชมพู คอเรียวยาว เส้นผมถักเป็นเปียสั้น ให้ความรู้สึกที่ดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาจนน่าสนใจ
เฉินซีตกตะลึง ถามด้วยความลังเลว่า “เจ้าคือ…ซีซีหรือ?”
จากเค้าโครงหน้าของอีกฝ่าย มันได้เผยให้เห็นท่าทีมีชีวิตชีวาแต่เดิมอยู่เจือจาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป… ซีซีในตอนนั้นเพิ่งอายุหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายคือซีซีหรือไม่
สาวน้อยยิ้มแย้มราวบุปผาคลี่บาน ส่งเสียงร้องแจ่มชัดออกมา “พี่เฉินซี ข้านึกแล้วว่าท่านยังจำข้าได้!”
ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้าง มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเผยรอยยิ้มด้วยความประหลาดใจออกมา “ซีซี เป็นเจ้าจริง ๆ”
เขายังจำได้สมัยยังเด็ก ซีซีมักแวะเวียนมาที่บ้านเพื่อเล่นกับตัวเขาและเฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชาย
ถึงแม้ในช่วงเวลานั้นจะยากลำบาก แต่พอมาหวนคิดตอนนี้ มันช่างเป็นความทรงจำงดงามที่ไม่สามารถเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนได้
เมื่อมองดูสาวน้อยร่างผอมบางตรงหน้า เฉินซีก็พลันคิดถึงเฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชายโดยไม่มีสาเหตุ รวมถึงช่วงเวลาที่เขากับปู่พึ่งพากันในเมืองหมอกสน…
ในใจเขารู้ดีว่าช่วงเวลาเหล่านั้นไม่มีทางหวนกลับมาได้อีก ผู้คนในตอนนั้นล้วนมุ่งหน้าสู่เส้นทางของตัวเอง
ความรู้สึกนี้เรียกว่าพานพบสหายเก่าในถิ่นอื่น
“ไปเถอะ ข้าจะพาท่านไปพบท่านแม่”
ขณะกล่าว นาก็ดึงแขนของเฉินซี ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหลงใหลว่า “พี่เฉินซี แล้วเฉินฮ่าวล่ะ เหตุใดจึงไม่มายังแดนภวังค์ทมิฬด้วยกัน ข้าอยากกลับไปเมืองหมอกสนตลอดเลย แต่ท่านลุงไม่ยอมให้ข้าไป ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน เฮ้อ ตอนที่ท่านกลับไปเมืองหมอกสน ต้องพาข้าไปด้วยนะ แล้วก็อย่าให้ท่านแม่รู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าต้องถูกบังคับให้บ่มเพาะอีกแน่ มันน่าหงุดหงิดนัก…”
ระหว่างทาง มีเพียงเสียงก้องกังวานของสาวน้อย เฉินซีเพียงฟังพลางยิ้มออกมา
…มีความทรงจำมากมายคลี่ออกราวกับดอกไม้บาน ทำให้เขาจดจำได้มากมายเหลือเกิน
น้องชายจะสบายดีหรือเปล่า?
สหายเหล่านั้นยังพยายามอย่างหนักบนเส้นทางของตัวเองหรือไม่?
ส่วนผู้อาวุโสจี้อวี๋ เขายังคงนั่งบนเก้าอี้นั่นเพื่ออาบไล้แสงอาทิตย์เหมือนอย่างทุกทีใช่หรือไม่?
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
“พี่เฉินซี ท่านเข้าไปสิเจ้าคะ ท่านแม่รออยู่ข้างในแล้ว” ตรงหน้าสวน ซีซีหยุดนิ่ง ก่อนหันมากล่าวกับเฉินซี
“เจ้าไม่เข้าไปด้วยหรือ?” เฉินซีหลุดจากภวังค์ความคิด ก่อนเอ่ยถาม
“เฮ้อ ไม่เข้าไปหรอก ถ้าข้าเข้าไป ท่านแม่ได้ผลักไสออกมาแน่ แทนที่จะให้ท่านผลักไส สู้ข้าเอาตัวเองออกมาเสียยังดีกว่า”
ซีซียิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่เฉินซีรีบเข้าไปสิ ไว้ข้าจะมาเล่นกับท่านทีหลัง”
เมื่อกล่าวจบ นางหันกลับแล้วจากไปอย่างเริงร่า ผมเปียสีดำไหวน้อย ๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมา
เฉินซียิ้ม เขาชอบความรู้สึกเช่นนี้เหลือเกิน
สวนแห่งนี้ทั้งเงียบสงบและงดงาม มีต้นสนเก่าแก่และเขียวขจีปกคลุมไปทั่ว ต้นสนส่งเสียงกรอบแกรบไปมา หมอกก่อตัวขึ้นมา กระจายร่มเงาไปทั่ว
เมื่อเห็นไป๋หว่านฉิง เขาก็พบว่านางนั่งอยู่ที่โต๊ะหินใต้ต้นสน หญิงสาวสวมชุดคลุมซึ่งดูเรียบง่าย ใบหน้างามงดให้ความรู้สึกอ่อนโยนเงียบสงบดังเดิม
เมื่อเห็นร่างอันคุ้นเคยนี้ เฉินซีก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งยินดี เศร้าโศก ตื่นเต้น… มันซับซ้อนจนยากจะอธิบาย
“เจ้ามาแล้ว”
ไป๋หว่านฉิงลุกขึ้น มองมาพร้อมกับส่งยิ้มให้
เพียงแค่สามคำกลับเหมือนกระแสน้ำพุกระจ่าง ชะล้างจิตวิญญาณ ทำให้อารมณ์ของเฉินซีสงบลงกลายเป็นความเงียบงัน เขาก้าวไปข้างหน้า เอื้อมแขนเข้าไปสวมกอดไป๋หว่านฉิง ก่อนจะเรียกว่าน้าไป๋
ตอนยังเด็ก เขากับปู่ รวมถึงน้องชายใช้ชีวิตโดยพึ่งพาอาศัยกัน บางครั้งไป๋หว่านฉิงจะช่วยดูแลเขากับน้องชาย เรียกได้ว่าสำหรับเฉินซีแล้ว ไป๋หว่านฉิงนับเป็นญาติคนหนึ่ง
หลังจากเขาเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น จึงได้อุทิศตัวเองกับการสร้างยันต์เพื่อหาผลึกวิญญาณมาเลี้ยงดูครอบครัว ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทำให้ได้พบกับไป๋หว่านฉิงน้อยลง แต่ความรู้สึกยังคงเหมือนเดิม มันฝังลึกอยู่ในใจของเขา…
“ถ้าครอบครัวของเจ้ารู้ว่าวันนี้เจ้าประสบความสำเร็จเพียงใด พวกเขาจะต้องมีความสุขมากแน่นอน”
ไป๋หว่านฉิงเงยหน้าขึ้น จับจ้องหว่างคิ้วที่ดูเย็นชาของเฉินซี ในใจรู้สึกเศร้าโศกระคนโล่งอก ในที่สุดอินทรีหนุ่มก็เริ่มถลาบินอย่างองอาจแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เฉื่อยชาและเงียบขรึมอีกต่อไป…