บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 927 ย่อยยับและเสียศักดิ์ศรี
บทที่ 927 ย่อยยับและเสียศักดิ์ศรี
บทที่ 927 ย่อยยับและเสียศักดิ์ศรี
สายลมเปล่งเสียงหวีดหวิวผ่านหมู่มวลภูเขา และพัดพาเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ จนเกิดเป็นเสียงคร่ำครวญอันน่าสยดสยอง ซึ่งขับเน้นความรู้สึกที่ต้องการจะสังหารให้กับบรรยากาศที่หนักอึ้งและเงียบสงัดนี้เป็นอย่างดี
ชิงซิ่วอี้รวบผมเป็นมวย และปิ่นหยกที่ปักอยู่บนผมก็กระทบกันเบา ๆ เกิดเป็นเสียงดังกรุ๊งกริ๊งออกมา แต่นางก็ยังไม่กล่าวอะไรสักคำ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้เจินก็หัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “สหายน้อย นี่เจ้ายังไม่เข้าใจความคิดของซิ่วอี้อีกหรือ? รีบฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดของเจ้าเสีย! อย่าทำให้ดวงตาของเราต้องระคายเคืองเลย”
เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น “แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของอวี้เจินแข็งทื่อ จากนั้นนางพลันเหลือบมองปิงซื่อเทียนด้วยหางตา
“ความเงียบเป็นรูปแบบการเพิกเฉยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เฉินซีเนื่องจากเจ้ายังคงไม่ยอมแพ้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะขอให้ซิ่วอี้ให้คำตอบแก่เจ้าเอง เพื่อที่เจ้าจะได้ตายอย่างสงบ” ทันใดนั้น ปิงซื่อเทียนเริ่มหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เผยให้เห็นท่วงท่าอันสง่างามออกมา
เขาหันกลับมาและจ้องมองไปยังชิงซิ่วอี้ด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างยิ่ง พร้อมกับกล่าวเบา ๆ ว่า “ซิ่วอี้ บอกเขาไปตามตรง ว่าเจ้ารักใคร”
บรรยากาศในโถงมหาวีรชนในเวลานี้ตึงเครียดถึงขีดสุด และทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนที่อยู่ในโถงกังวลขึ้นมา
มีเพียงใบหน้าของเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง เขาเพียงจ้องมองชิงซิ่วอี้ประหนึ่งก้อนหินที่นิ่งเงียบ ยืนหยัดและดื้อรั้น
ทันทีที่ปิงซื่อเทียนกล่าวจบ หญิงสาวก็ตอบสนองจริง ๆ นางเงยศีรษะขึ้น เผยให้เห็นถึงดวงตาที่สุกสกาวเหมือนดวงดาว และค่อย ๆ เดินไปหาเฉินซี จากนั้นจึงเงยใบหน้างามอย่างไม่มีใครเทียบได้ จ้องมองมาที่เขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของปิงซื่อเทียน ในขณะที่อวี้เจินเริ่มหัวเราะอย่างเย็นชา ขณะที่พวกเขาต่างมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและดูถูก
อย่างไรก็ตาม ในพริบตาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มของปิงซื่อเทียน หรือเสียงหัวเราะอันเย็นชาของอวี้เจินล้วนแข็งค้างไป
แม้แต่สายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องโถง ซึ่งต่างคิดว่าเฉินซีจะต้องเสียสมาธิ ก็ยังเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
ชิงซิ่วอี้เดินอย่างสง่างาม ก่อนจะหันกลับมาอย่างกะทันหัน หันมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินซี ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงของนางแยกออกเบา ๆ และกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า “ข้าไม่ได้ซดน้ำแกงชามนั้น”
คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะกะทันหันและแปลกประหลาดมาก แต่สีหน้าของปิงซื่อเทียนกับอวี้เจินกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเผยให้เห็นความไม่เชื่อเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดนี้
แม้ว่าความไม่เชื่อนี้จะหายไปในทันที แต่ทุกคนในห้องโถงก็ยังสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน และพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ
‘ชามน้ำแกงหรือ?’
‘นางไม่ได้ซดมันหรือ?’
“หรือว่าปิงซื่อเทียนกับอวี้เจินจะใช้ยาบางอย่างเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดกับชิงซิ่วอี้ และเพื่อจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า?”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สายตาที่จ้องมองไปยังปิงซื่อเทียนและอวี้เจินของทุกคนพลันเปลี่ยนไป พวกเขาล้วนตระหนักดีว่า หากการคาดเดาของพวกตนเป็นความจริง แสดงว่าวิธีการดังกล่าวที่อีกฝ่ายใช้ก็ต่ำช้ายิ่งนัก!
มันทั้งไร้ยางอายและไม่มีจรรยาบรรณ!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่จิตสังหารพวยพุ่งอยู่ในตัวเขา เพราะถึงจะไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริง แต่เพียงเท่านี้มันก็มากพอแล้วที่จะแน่ใจว่า ปิงซื่อเทียนกับอวี้เจินอาจใช้วิธีการที่ต่ำช้าและไร้ยางอายเพื่อควบคุมชิงซิ่วอี้!
ยิ่งกว่านั้น เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เพราะชิงซิ่วอี้ไม่เคยตกลงที่จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญกับปิงซื่อเทียนเลยสักครั้ง!
“ซิ่วอี้ เจ้ากำลังกล่าวเรื่องไร้สาระอันใดอยู่ เด็กน้อย? มาทางนี้เร็วเข้า” ใบหน้าของอวี้เจินหวนคืนสู่ความสงบ ในขณะที่นางเผยยิ้ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
แต่รอยยิ้มของนางกลับดูฝืนและแข็งทื่อในสายตาของคนอื่น
ทว่าหญิงสาวยังคงไม่ไหวติง นางยังคงอยู่ยืนเคียงข้างเฉินซี ขณะที่กล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้าประสบกับการกลับชาติมาเกิดใหม่หนึ่งร้อยชาติ และได้ขจัดกรรมในชาติที่แล้วของข้าทั้งหมด เพื่อให้ได้มาซึ่งการบ่มเพาะในปัจจุบัน ข้าไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตขึ้นมา แต่…ท่านอาจารย์ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านเช่นนี้”
“ซิ่วอี้!” ใบหน้าของอวี้เจินมืดมนทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นนางก็ตำหนิว่า “ลองนึกถึงผู้ที่เลี้ยงดูเจ้าและสอนวิธีการบ่มเพาะให้แก่เจ้า เจ้าต้องเข้าใจว่าทุกสิ่งที่ข้าทำลงไปก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า!”
“เพื่อประโยชน์ของข้าหรือ?” ชิงซิ่วอี้ขมวดคิ้วงามเข้าหากัน ในขณะที่ดวงตาคู่งามของนางเผยประกายแห่งความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ มันดูเหมือนจะชิงชัง ผิดหวัง…
“อันใดกัน? หรือว่าเจ้าสงสัยข้า” ใบหน้าของอวี้เจินยิ่งมืดมนมากขึ้น และดวงตาที่สั่นไหวของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่ปิดบัง
“ท่านอยากจะยืนยันเรื่องนี้จริง ๆ หรือ?” คิ้วงามของชิงซิ่วอี้ ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น
“ซิ่วอี้ การกระทำของเจ้าเป็นการทรยศและไร้มารยาท อย่าบังคับให้ข้าต้องลงโทษเจ้าตามกฎของนิกาย! เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราในอดีต หากเจ้ายอมก้มหัวและยอมรับความผิดพลาดของเจ้า ข้าจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป!” อวี้เจินกล่าวด้วยเสียงที่น่ากลัว นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์ที่นางเลี้ยงดูมาด้วยตนเองจะขัดต่อความตั้งใจของนาง
ทุกคนที่อยู่ในโถงใหญ่รู้สึกประหลาดใจ เมื่อพวกเขาเห็นอาจารย์ศิษย์คู่นี้กลายเป็นศัตรูกัน รวมถึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดชิงซิ่วอี้ถึงไม่ลังเลที่จะล่วงเกินอาจารย์ของตัวเองเพียงเพื่อเห็นแก่เฉินซี ด้วยนี่นับเป็นการละเมิดข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการบ่มเพาะ!
“ความสัมพันธ์ในอดีตหรือ…” จู่ ๆ สีหน้าของชิงซิ่วอี้ก็กลายเป็นเฉยเมย นางจ้องมองอวี้เจินด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่กล่าวว่า “อวี้เจิน ข้าเคยบอกเจ้ามาก่อนแล้วว่าข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับกรรมในอดีต เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าเปิดเผยอดีตเมื่อหลายปีก่อน”
“อดีตอันใดกัน?” อวี้เจินตกตะลึง จากนั้นนางก็ดูจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
“เมื่อหลายปีก่อน เจ้าได้ผ่านบึงเมฆาสุบินของตระกูลชิง และเพื่อเอาตัวข้าซึ่งเป็นทารกในเวลานั้นมาเป็นศิษย์ เจ้าไม่ลังเลที่จะฆ่าคนในตระกูลชิงทั้งหมดสี่พันหกร้อยคน หรือว่าตัวเจ้าหลงลืมเหตุการณ์วันนั้นไปแล้ว?” ชิงซิ่วอี้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะการกลับชาติมาเกิดใหม่ทั้งร้อยชาติของข้า และความทรงจำในวัยเด็กของข้าที่ถูกปลดพันธนาการทันทีที่ขจัดกรรมในอดีตชาติของข้าแล้ว ข้าคงไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเจ้า”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึง พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์จะซับซ้อนขนาดนี้
นางกวาดล้างตระกูลชิงทั้งหมด เพียงเพื่อให้ได้ชิงซิ่วอี้มาเป็นศิษย์ของนาง? หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ แสดงว่าอวี้เจินผู้นี้ไร้ความปรานีและน่าชิงชังที่สุด!
แม้แต่เฉินซีก็ตกตะลึงและรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
“ไร้สาระ!” สีหน้าของอวี้เจินแปรเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่นางจะตำหนิด้วยโทสะ
“ข้ามีหลักฐานอยู่ในมือ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้ทุกคนเห็นมัน?” ใบหน้าของชิงซิ่วอี้ไม่แยแสเหมือนเช่นเคย “ข้ากล่าวไปแล้ว ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีต อวี้เจิน เจ้าอย่าได้บีบบังคับข้า!”
สีหน้าโกรธเกรี้ยวของอวี้เจินถูกแทนที่ด้วยความหดหู่ใจในทันที นางยืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่จ้องมองอย่างเหม่อลอยและไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก
เห็นได้ชัดว่า ‘หลักฐาน’ ที่ชิงซิ่วอี้กล่าวออกมาได้จี้จุดอ่อนของนางแล้ว ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าที่จะติดตามเรื่องนี้ต่อไป เพราะสายตาของบุคคลสำคัญจำนวนมากกำลังเฝ้าดูอยู่
แต่ถึงกระนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พอจะทราบคร่าว ๆ ว่าคำกล่าวของชิงซิ่วอี้นั้นเป็นความจริง และเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว สายตาที่ทุกคนจ้องมองไปยังอวี้เจิน จึงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ประหลาดใจ และดูหมิ่น…
“ท่านอาจารย์อวี้เจิน ถอนตัวกลับมาเถิดขอรับ” ปิงซื่อเทียนที่เงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นและมองอวี้เจินอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาที่เปล่งออกมาก็ไม่อาจโต้แย้งได้
เขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะพลิกผันมาสู่จุดนี้ได้ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะชามที่ใส่ยาเซียนนั่น
หากชิงซิ่วอี้ดื่มยาชามนั้น นางย่อมไม่ยืนเคียงข้างเฉินซี และคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะกลายเป็นศัตรูกับอวี้เจิน ดังนั้นจะไม่มีใครรู้เรื่องการสังหารหมู่ตระกูลชิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
เขาเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าอวี้เจินได้กวาดล้างตระกูลของชิงซิ่วอี้ในตอนนั้นจริง ๆ
แต่การโกรธเคืองในตอนนี้ไร้ประโยชน์ เขาไม่สามารถทนต่อสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้ และวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือ ต้องให้อวี้เจินถอนตัวออกมาเป็นการชั่วคราว
อวี้เจินตกตะลึงและลังเล แต่เมื่อสบกับสายตาที่เยือกเย็นไร้อารมณ์ของปิงซื่อเทียน นางก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไป ได้แต่สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ ก่อนจะพุ่งตัวออกจากโถงใหญ่ไป
ทันทีที่อวี้เจินจากไป ความสนใจของทุกคนในห้องโถงพลันพุ่งไปทางปิงซื่อเทียน เพราะพวกเขาต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะจัดการกับสถานการณ์อย่างไร
ขณะที่พวกเขานึกถึงพิธีที่ยิ่งใหญ่และเคร่งขรึมก่อนหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าขณะนี้ ทุกคนพลันถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือได้ว่าเต็มไปด้วยพลิกผัน!
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้อยู่ที่เฉินซี เพราะตั้งแต่พริบตาที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถง ปิงซื่อเทียนกับอวี้เจินก็ดูจะค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไป
ทุกคนต่างใคร่รู้ว่า ชิงซิ่วอี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากเฉินซีมาช้ากว่านี้
คำตอบนี้คาดเดาได้ยากมาก แต่เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะเขารู้มานานแล้วว่าชิงซิ่วอี้กำลังรอเขาอยู่อย่างแน่นอน และมันก็เหมือนกับที่ชายหนุ่มเชื่ออย่างแน่วแน่ว่านางจะไม่กลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับปิงซื่อเทียน
คลื่นความไม่สบายใจพรั่งพรูในใจของปิงซื่อเทียน ขณะที่เขาจ้องมองเฉินซีและชิงซิ่วอี้ที่ยืนเคียงข้างกัน โดยมีความโกรธแค้นและความไม่พอใจอยู่ในใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับข่มความรู้สึกเหล่านี้ไว้ และกล่าวช้า ๆ ว่า “ซิ่วอี้กลับมาหาข้าซะ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจทำเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าไปภพเซียนทันที และข้าจะมอบทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าจะได้รับทุกสิ่งที่ข้าครอบครอง!”
“หากข้าเต็มใจอย่างนั้นหรือ? งั้นข้าคงขึ้นภพเซียนไปแล้ว ก่อนที่ข้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ทั้งร้อยชาติเช่นนี้” ชิงซิ่วอี้ตอบอย่างเฉยเมย
“เพราะเหตุใด? เป็นเพราะเจ้ามดตัวจ้อยนี้หรือ?” ปิงซื่อเทียนขมวดคิ้ว เขายังคงพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาท่าทางที่สง่างามของตน
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ปิงซื่อเทียน เจ้าแพ้แล้ว ดังนั้นตามข้อตกลงเมื่อหลายปีก่อน เจ้าไม่ควรคิดว่าจะกลับไปยังภพเซียนได้อย่างไร เจ้าควรทำให้การบ่มเพาะของตัวเองพิการ ลดระดับตัวเองกลับไปเป็นมนุษย์ และปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามความประสงค์ของข้า!”
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ หัวใจของทุกคนในห้องโถงพลันสั่นไหว และต่างจ้องมองไปที่ปิงซื่อเทียนอย่างพร้อมเพรียงกัน
จริงอย่างที่เฉินซีกล่าว สถานการณ์ได้ชัดเจนแล้วในตอนนี้ ปิงซื่อเทียนแพ้การเดิมพันอย่างสมบูรณ์ แต่เขาจะทำให้การบ่มเพาะของเขาพิการตามที่เดิมพันไว้หรือไม่?
สีหน้าของเซียนสวรรค์หนุ่มมืดมนลงทีละน้อยจากการถูกจ้องมองโดยผู้คนจำนวนมาก และเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดออกมา ด้วยไม่สามารถรักษาท่าทางที่สง่างามได้อีกต่อไป ก่อนเจ้าตัวจะหันมองไปที่ชิงซิ่วอี้ซึ่งไม่แยแส และหันมองกลับมายังเฉินซี ในขณะที่เปลวไฟแห่งความโกรธ ความไม่พอใจ และความขุ่นเคืองในใจ ได้เปลี่ยนเป็นความเย็นชาอย่างสมบูรณ์!
ทันใดนั้นเขาก็คำรามด้วยเสียงหัวเราะ “การรอคอยนับพันปี การทุ่มเทนับพันปี แต่ข้ากลับได้รับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นการตอบแทน ความรักนั้นทำร้ายผู้คนอย่างแท้จริง!”
น้ำเสียงของเขาปราศจากอารมณ์ มีเพียงความเย็นยะเยือกและความเฉยเมย
หลังจากนั้นเขาก็กลั้นหัวเราะและกล่าวทีละคำว่า “ใช่แล้ว ข้าแพ้แล้วจริง ๆ แต่ข้าไม่เคยกล่าวว่าจะทำให้การบ่มเพาะของข้าพิการอย่างแน่นอน! ข้าได้สาบานไว้หรือ? ไม่เคยสักครั้ง! ไอ้สารเลวเอ๊ย เจ้าเป็นดั่งตัวตลกอยู่บนฝ่ามือข้า ตั้งแต่ในสมรภูมิบรรพกาลแล้ว!”