บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 928 การต่อสู้ที่หาได้ยาก
บทที่ 928 การต่อสู้ที่หาได้ยาก
บทที่ 928 การต่อสู้ที่หาได้ยาก
ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้มีฐานะอย่างปิงซื่อเทียนจะกล่าวคำเช่นนี้ออกมา …นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายและต่ำช้าเกินไป!
หากคำพูดเหล่านี้หลุดออกไปในโลกภายนอก ชื่อเสียงของปิงซื่อเทียนอาจย่อยยับและเสียศักดิ์ศรี จนไม่สามารถยืนหยัดในโลกแห่งการบ่มเพาะได้อีกต่อไป
มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับทุกคน แต่ก็ไม่ใช่สำหรับเฉินซี
ในความคิดของชายหนุ่ม มันคงน่าแปลกเกินไป หากปิงซื่อเทียนเลือกที่จะยอมลดตัวกลายเป็นคนธรรมดาและปล่อยให้ตัวเองเป็นไปตามความประสงค์ของเฉินซี!
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้าบ่มเพาะจนเป็นเซียนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไร้ยางอายถึงขนาดนั้น” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทีถากถางที่เปิดเผยอย่างชัดเจน
ทว่าปิงซื่อเทียนไม่ได้สนใจ เพราะเขาโกรธเคืองต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ดังนั้นเขาจะไปสนใจเกี่ยวกับฐานะ ศักดิ์ศรี หรือเรื่องยางอายได้อย่างไร?
“ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้าไม่ใช่เซียนสวรรค์ แต่เป็นเซียนทองคำ!” ปิงซื่อเทียนระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง และเผยท่าทีซึ่งมีกลิ่นอายหยิ่งยโสอันเหนือกว่าออกมา “หากผู้บ่มเพาะมากมายในภพมนุษย์จะก่นด่าสาปแช่งและประณามข้า …แล้วมันจะทำไม? ในเมื่อพวกมันก็เป็นแค่ฝูงมดที่ข้าไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ!”
คำพูดเหล่านี้ดูราวจะดูถูกทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ ทำให้พวกเขามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ความไม่พอใจบนใบหน้าของทุกคนก็เลือนหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย เมื่อพวกเขาตอบสนองต่อคำว่า ‘เซียนทองคำ’
เซียนทองคำ!
นั่นคือตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่าเซียนสวรรค์และเซียนลึกลับ!
ไม่มีใครคาดคิดว่าการบ่มเพาะของปิงซื่อเทียนจะบรรลุถึงขอบเขตดังกล่าวจริง ๆ หลังจากขึ้นไปสู่ภพเซียนเพียงไม่กี่พันปี! ดังนั้น… แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตารที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก
เฉินซีไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป เขาหันกลับไปมองที่ชิงซิ่วอี้ ขณะที่กล่าวว่า “เราไปกันเถอะ”
“ไปหรือ?” ก่อนที่ชิงซิ่วอี้จะทันได้ตอบ ปิงซื่อเทียนกลับชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากข้าปิงซื่อเทียนไม่ได้ตัวนาง ก็อย่าหวังว่าจะมีใครได้ไป!”
ชิ้ง!
เฉินซีชักยันต์ศัสตราออกมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขากล่าวว่า “ซิ่วอี้ เจ้ารอข้าอยู่สักครู่ ขอข้าจัดการเศษสวะนี่ก่อน”
ชิงซิ่วอี้พยักหน้า “ตกลง”
สีหน้าของปิงซื่อเทียนเย็นชาและมืดมนมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวผ่านโถงใหญ่ บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมองลงมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้ามดปลวก ถ้าแน่จริงก็ขึ้นมาที่นี่เพื่อรับโทษของเจ้าซะ!”
เฉินซีเงยหน้าขึ้น และดวงตาอันเงียบสงบของเขาก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้ม ซึ่งดูจะสามารถเผาผลาญจักรวาลได้!
ในพริบตาถัดมา ชายหนุ่มได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และยืนเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนในระยะไกล
หลังจากบ่มเพาะอย่างขมขื่นมาหลายร้อยปี วันนี้ชายหนุ่มตั้งใจที่จะทะลวงสวรรค์!
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ที่แผดเผาก็หรี่แสงลง ในขณะที่ผืนฟ้าปกคลุมด้วยเมฆดำ และบรรยากาศของการเผชิญหน้าก็ทำให้ฟ้าดินปกคลุมจนมืดมิด
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในขณะเดียวกัน บุคคลสำคัญทั้งหมดในห้องโถงได้ทะยานวูบและปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขาล้วนจ้องมองเฉินซีและปิงซื่อเทียนจากระยะไกล
แม้พวกเขาจะรู้ตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้ได้ แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น
ผู้อาวุโสและสาวกของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ต่างก็เห็นฉากนี้ในเวลาเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดต่างตื่นตระหนก ขณะที่ทุกคนใช้จิตสัมผัสเทพและญาณเทวะอมตะของพวกเขากวาดออกไป
ถึงขนาดที่ดวงตาของผู้บ่มเพาะทั้งหมดในเมืองสุริยศารทที่อยู่ห่างออกไปสองพันห้าร้อยลี้สว่างวาบ และพวกเขาล้วนตื่นเต้นมาก เพราะร่างของปิงซื่อเทียนกับเฉินซีบนท้องฟ้านั้นพร่างพราวเกินไป
ร่างหนึ่งถูกปกคลุมด้วยปราณเซียนทองคำม่วงและเปล่งแสงเจิดจ้าจนโลกสว่างไสว
อีกร่างหนึ่งยืนตระหง่านดุจทวน สวมชุดสีเขียว และถือกระบี่อยู่ในมือ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยอักขระยันต์จนดูราวกับมหาสมุทร และพวกมันก็กลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ม้วนตัวรอบ ๆ ชายหนุ่ม ทำให้เขาแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา
เมื่อมองจากระยะไกล พวกเขาก็เหมือนเทพสององค์ยืนเผชิญหน้ากัน ฉากที่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในบริเวณโดยรอบต่างรู้สึกหวาดกลัว
“การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!” ในขณะนี้ พายุกำลังก่อตัวขึ้น และจิตใจของทุกคนก็ถูกดึงดูดโดยร่างทั้งสองบนท้องฟ้า
“เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะและมันจะจบลงอย่างไร” นี่เป็นคำถามของคนส่วนใหญ่ และพวกเขาก็ถกเถียงกันไม่รู้จบ แต่ผลลัพธ์กำลังจะเปิดเผยในไม่ช้า
“ย่อมเป็นปิงซื่อเทียนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไร เขาเป็นทูตของภพเซียนที่เข้าใจพลังของกฎและศาสตร์เซียน พลังของเขาได้เกินขีดจำกัดของภพมนุษย์ไปแล้ว ในขณะที่แม้ว่าเฉินซีจะไม่ธรรมดา แต่เขาก็เก่งกาจแค่ในภพมนุษย์เท่านั้น”
นี่คือมุมมองของคนส่วนใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าเฉินซีเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่า โดยยึดจากการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดของชายหนุ่ม เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่จากภพเซียนอย่างปิงซื่อเทียน มันจึงเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ซึ่งช่องว่างนั้นก็ใหญ่เกินไป
“บางทีผลลัพธ์อาจไม่เป็นเช่นนั้น เฉินซีได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ขณะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เขามีพลังของขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดแล้ว ข้าเชื่อว่าครั้งนี้เขาจะต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างแน่นอน และอาจสร้างปาฏิหารย์ขึ้นอีกครั้งก็ได้” มีคนคัดค้านและมองเฉินซีในแง่ดี
โครม!
ในขณะนี้ ร่างทั้งสองบนท้องฟ้าอันไกลโพ้นได้เปลี่ยนเป็นลำแสงที่พุ่งเข้าหากันราวกับดาวหาง และพวกมันก็ระเบิดแสงเจิดจ้าแพรวพราวออกมา พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังก้องราวกับฟ้าผ่าออกมา
การโจมตีครั้งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกและพลุ่งพล่านด้วยรัศมีแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังฉีกท้องฟ้าอย่างแรงจนเกิดหลุมดำมหึมา การปะทะกันนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และคลื่นกระแทกก็แผ่ขยายออกไปโดยรอบ ทำให้ภูมิทัศน์ในรัศมีสองหมื่นห้าพันลี้สั่นสะเทือนรุนแรง
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา ๆ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างทวยเทพ คลื่นพลังที่รุนแรงจากมันทำให้วิญญาณหวาดกลัว บางคนที่มีกำลังอ่อนแอถึงกับตกใจจนขาอ่อนแรง และแทบล้มลงกับพื้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ได้กลับคืนสู่ความสงบ ในขณะที่ลำแสงต่าง ๆ สลายหายไป มีเพียงสองร่างที่ยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกลเท่านั้นที่ยังคงอยู่
เลี่ยเผิงและเหล่าบุคคลสำคัญของแดนภวังค์ทมิฬได้ถอยร่นกลับไปสองร้อยห้าสิบลี้อีกครั้ง ในขณะที่แสดงสีหน้าหนักใจออกมา เพราะพวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ หากพวกตนสอดมือเข้าไปยุ่ง
“พลังของเจ้าไม่เลวเลย มันมากพอจะดูถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดของภพมนุษย์ได้อย่างภาคภูมิใจ น่าเสียดายที่เจ้าจะไม่รู้เลยว่าความแตกต่างระหว่างเซียนกับมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด มันเป็นปราการที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้!” ประกายแสงในดวงตาของปิงซื่อเทียนวูบวาบ ในขณะที่ปราณเซียนทองคำม่วงรอบ ๆ ตัวเขาขดเป็นเกลียวพลังแห่งกฎ พวกมันเปล่งแสงที่เปล่งประกายและคลื่นพลังที่สั่นสะเทือนท้องฟ้า
“เจ้าเป็นแค่ร่างอวตาร” เฉินซีสงบนิ่ง เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหว ขณะที่กงล้อศักดิ์สิทธิ์หมุนวนบนร่างของชายหนุ่ม ก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ซึ่งเปล่งรัศมีแห่งอำนาจสูงสุดออกมา
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไป แต่หลายคนสังเกตเห็นว่า กลิ่นอายที่น่าเกรงขามของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นและน่ากลัวยิ่งขึ้น
ตู้ม!
หลังจากนั้นไม่นาน ปิงซื่อเทียนก็เป็นฝ่ายโจมตีก่อน ฝ่ามือของเขาเป็นเหมือนภูเขาที่ปกคลุมด้วยปราณเซียนสีทองม่วง ส่งลำแสงพร่างพราวที่นำพากลิ่นอายซึ่งสามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมด พุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว!
ในขณะนี้ เขาได้สำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมา ไม่ต้องกล่าวถึงเลี่ยเผิงและคนอื่น ๆ แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ห่างไกลในเมืองสุริยศารทยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากดวงวิญญาณ และพวกเขาก็หวาดกลัวอย่างมาก
“นั่นคือศาสตร์เซียน! มันมีพลังของกฎที่มีเฉพาะสำหรับภพเซียน!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ
ฟิ้ว!
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อักขระยันต์ที่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรได้พุ่งขึ้นต่อหน้าเฉินซี ทำให้ชายหนุ่มเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่ตีความถึงการทำงานของสวรรค์และมหาเต๋า ในขณะที่เขาฟันกระบี่ลงไป ปลดปล่อยผังอักขระยันต์เทวะที่มีสีดำสนิท เย็นยะเยือกและเงียบสงัดออกมา
มันคือยันต์เทวะทำลายล้าง ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ล้ำลึก ที่เฉินซีบัญญัติขึ้นมาโดยหลอมรวมศาสตร์เต๋าทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้ผ่านภูมิปัญญา ความมุ่งมั่น และใช้ความพยายามอย่างมากตลอดหลายร้อยปี
มันทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเมื่อเทียบกับศาสตร์เต๋า และอาจจะน่ากลัวยิ่งกว่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเคล็ดวิชาต่อสู้เช่นนี้เพียงพอที่จะดึงพลังทั้งหมดในร่างกายของชายหนุ่มออกมาได้อย่างสมบูรณ์!
มันเหมือนกับหมัดทั้งสามที่ไป๋จิงเฉินเคยใช้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันเรียบง่ายมากและดูจะขจัดความซับซ้อนทั้งหมดเพื่อกลับไปสู่ความเรียบง่ายได้ แต่พวกมันก็สามารถฉีกโลกออกจากกันและบดขยี้ศัตรูทั้งหมด
ตู้ม!
แสงมากมายระเบิดออกมา ราวกับท้องฟ้าจะถูกแยกออกจากกัน!
ทั้งคู่ต่อสู้อย่างเข้มข้นและเปลี่ยนพื้นที่ในระยะสองหมื่นห้าพันลี้ให้เป็นสนามรบ คลื่นพลังได้พลุ่งพล่านราวกับเสียงฟ้าร้องที่พัดผ่านท้องฟ้า ทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชั้นบรรยากาศพังทลาย ทำให้ทุกสิ่งในโลกตกอยู่ในภาวะโกลาหลและพังพินาศ
พวกเขาทั้งสองมีความแข็งแกร่งที่สูงส่งมาก และรู้จักวิธีที่จะฉวยโอกาสในการต่อสู้ ทุก ๆ กระบวนท่าของพวกเขานั้นทั้งรุนแรงและเปี่ยมด้วยอำนาจในการสังหาร ส่งผลให้หัวใจของทุกคนสั่นคลอนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การต่อสู้ในระดับนี้เพียงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งหายากที่จะได้เห็นในรอบพันปี และหาได้ยากในรอบหมื่นปี!
ผู้มีพลังอ่อนแอไม่สามารถสังเกตอันตรายและจิตสังหารในการต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีอายุยืนยาวนับไม่ถ้วนเช่นเลี่ยเผิงและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่สามารถแยกแยะร่องรอยบางอย่างได้
แต่ยิ่งสังเกตพวกเขาก็ยิ่งตกใจ
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะยอมรับความแข็งแกร่งของปิงซื่อเทียนนั่นน่ากลัว เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นร่างอวตารของเซียนทองคำ แต่พลังต่อสู้ที่เฉินซีได้เผยออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวนั้น อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับปิงซื่อเทียนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ …ทำให้โลกทัศน์ของพวกเขาเปิดกว้างอย่างแท้จริง!
“เก้าชั้นฟ้า อสนีบาตเซียน สังหารซะ!” ปิงซื่อเทียนกู่คำรามลั่น ปราณเซียนสีทองม่วงวูบวาบในฝ่ามือ ขณะที่พลังแห่งกฎลอยขึ้นจากภายในนั้น พวกมันรวมตัวกันเป็นมวลพลังสายฟ้าสีทองม่วง ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงมันออกไป
เสียงระเบิดมหึมาดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ขณะที่มันพุ่งตัวออกไปอย่างฉับไวและรุนแรง ประหนึ่งมังกรทองม่วงที่ฉีกกระชากท้องฟ้าออกจากกัน มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดุร้ายและน่ากลัวออกมา
ผมของเฉินซีพลิ้วไหวอย่างไร้การควบคุม ในขณะที่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และชายหนุ่มก็ไม่ได้หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย กระบี่ยันต์ศัสตราอาบไล้ด้วยแสงเจิดจ้า ชั่วพริบตานั้นประกายกระบี่ที่ดุร้ายมากมายได้กลายเป็นยันต์เทวะโบราณที่ปะทะกับสายฟ้าสีทองม่วง
ในขณะนี้ ทุกคนดูราวจะได้ยินเสียงอันเย็นชาของการเข่นฆ่าของมหาเต๋าที่ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน คนทั้งคู่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายและเข้าปะทะกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาเป็นเหมือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูกที่ชนกันอย่างแรง ทำให้เกิดระเบิดแสงอันไร้ขอบเขต ซึ่งกลบทับทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสามารถทำให้จักรวาลสั่นสะท้านและทำให้ทวยเทพหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต่อสู้ แต่พวกเขาก็ได้เปิดเผยพลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งสามารถทำลายล้างโลกและหลอมละลายจักรวาลได้แล้ว
สิ่งนี้ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสนามรบต้องหนีเอาชีวิตรอด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะแค่แรงสั่นสะเทือนจากการสู้รบก็สามารถคร่าชีวิตของพวกเขา แล้วพวกเขาจะกล้ารั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปได้อย่างไร?
แม้ว่าจะเป็นผู้มีพลังที่กล้าแกร่ง แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกต้องใช้เคล็ดวิชาคุ้มกายเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ได้อย่างปลอดภัย ถึงกระนั้น พวกเขาก็กล้าดูการต่อสู้ในบริเวณที่ห่างไกลจากสนามรบ และไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เพราะจะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถรับการโจมตีจากพวกเขาได้?
ตู้ม!
ดวงตาของปิงซื่อเทียนทอแววเย็นชา ในขณะที่สีหน้าของเจ้าตัวเยือกเย็น ดูจะต้องการบดขยี้ท้องฟ้าในทุกย่างก้าว ซึ่งทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน ยิ่งกว่านั้น สามารถเห็นได้ว่าโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างจากพลังของกฎได้แผ่กระจายออกไปจากใต้เท้าของปิงซื่อเทียนเหมือนกับคลื่นยักษ์!
“ไอ้หนู ข้าประหลาดใจจริง ๆ ที่เจ้าสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ แต่น่าเสียดายที่พลังของเจ้าต่ำเกินไป กับแค่ความล้ำลึกของมหาเต๋าจะไปต่อต้านพลังแห่งกฎแห่งเซียนได้อย่างไร? จงตายซะ!”
“อาณาเขตเก้าชั้นฟ้า สะบั้นสามพันวิถี!” พร้อมกับเสียงตะโกนของปิงซื่อเทียน ฟ้าดินในรัศมีสองพันห้าล้อยลี้พลันถูกปกคลุมด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีทองม่วงเส้นหนาจำนวนมาก ซึ่งดูจะก่อตัวเป็นกรงขัง โซ่ศักดิ์สิทธิ์ทุกเส้นมีพลังที่ล้ำลึกและหนาแน่นของกฎที่พันกันอยู่บนมัน อีกทั้งมันยังแผ่กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ในทันทีที่มันปรากฏขึ้น ก็ได้ปกคลุมปิงซื่อเทียนและเฉินซีไว้ข้างใน