บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 935 สมรภูมิหนึ่งชุ่น
บทที่ 935 สมรภูมิหนึ่งชุ่น
บทที่ 935 สมรภูมิหนึ่งชุ่น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ท่าทางของลู่เป๋ยอวี่ก็เผยให้เห็นร่องรอยของความจริงจังขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง “หากเราเริ่มการต่อสู้ที่นี่ ไม่ใช่แค่เมืองนี้ แต่ทั้งอาณาจักรจะต้องถูกทำลายล้าง เจ้าจะทนต่อผลลัพธ์ที่ตามมาได้หรือไม่?”
ชิวเสวียนซูขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าทนไม่ได้ แต่ข้ารับประกันได้ว่าแม้แต่ถนนเส้นนี้ก็จะไม่ถูกทำลาย”
ขณะที่กล่าว ชิวเสวียนซูก็ยกไม้บรรทัดสีดำสนิทในมือขึ้น และฟาดไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้าเขาเบา ๆ
โอม!
ทันใดนั้น ท้องฟ้าเริ่มหมุนวนในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ มันดูเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เหมือนระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนได้ซัดเข้าหากัน ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบในพริบตา
ถนนยังคงเป็นถนนสายเดิม
เมืองก็ยังเป็นเมืองเดิม
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดูจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในสายตาของลู่เป๋ยอวี่ บริเวณที่เขายืนอยู่ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าจะมีมิติซ้อนทับกันอยู่นับไม่ถ้วน ทำให้ขนาดของมันไม่มีที่สิ้นสุด
“ไม้บรรทัดปราชญ์ไตรภพ!” ทันใดนั้น ดวงตาของลู่เป๋ยอวี่สว่างวาบดุจประกายสายฟ้า และในที่สุดสีหน้าของเขาก็กลายเป็นสะพรึงกลัวเล็กน้อย
ว่ากันว่าไม้บรรทัดปราชญ์ไตรภพถูกสร้างโดยปราชญ์ในยุคบรรพกาล มันมีความสามารถที่สั่นคลอนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ซึ่งปราชญ์คนนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ร้ายตี้เจียง*[1] และมันสามารถควบคุมมหาเต๋าแห่งมิติได้ตั้งแต่กำเนิด
ไม้บรรทัดปราชญ์ไตรภพเป็นสมบัติอมตะที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยกลิ่นอายแห่งความชอบธรรมที่ปราชญ์ครอบครองและขัดเกลาโดยใช้กฎแห่งปริภูมิ
เมื่อสมบัติอมตะเชิงปริภูมิดังกล่าวถูกใช้งาน พื้นที่อันไร้ขอบเขตจะทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ภายในหนึ่งฟางชุ่น*[2] และมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขอบเขต จึงทำให้มันมีขนาดใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรือเล็กลงจนเหมือนเม็ดทราย ด้วยเหตุนี้ หากมีใครติดอยู่ในนั้นโดยไม่ตั้งใจ ก็อาจติดอยู่ในนั้นตลอดไปและพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีออกมา!
“ประมุขลู่ช่างรอบรู้อย่างแท้จริง ข้ารู้สึกชื่นชมยิ่งนัก” ชิวเสวียนซูยิ้มอย่างถ่อมตน
โครม!
ลู่เป๋ยอวี่ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า ในขณะที่ฝ่ามือมีเงาสีแดงชาดลุกโชน และมันก็เหมือนกับสายน้ำสีแดงชาดที่ซัดลงมายังชิวเสวียนซู
เขาถูกชิวเสวียนซูยั่วยุจนบังเกิดความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้ขอบเขต ประมุขนิกายที่องอาจผ่าเผยของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ นิกายวิถีกระแสสวรรค์กลับถูกผู้เยาว์คนหนึ่งปั่นหัวถึงขนาดนี้ …หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป โลกภายนอกจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นแล้ว!
เมื่อเผชิญกับการโจมตีของลู่เป๋ยอวี่ ใบหน้าของชิวเสวียนซูยังคงสงบเสงี่ยม อ่อนน้อมถ่อมตนและสุขุม ในขณะที่การโจมตีของเขาก็เหมือนกับตัวเขา มันทั้งเที่ยงตรงและเหนือชั้น
ไม้บรรทัดฟาดลงมาโดยตรงดุจโซ่เหล็กที่พาดผ่านแม่น้ำ และสลายการโจมตีของลู่เป๋ยอวี่จนเกิดเสียงโครมคราม
ก่อนที่กระบวนท่าจะจบลง เขาพลันพลิกข้อมือขึ้น ทำให้ไม้บรรทัดเคลื่อนตัวดุจมังกรทะยานออกจากรัง ในขณะที่มันกวาดตรงไปยังใบหน้าของลู่เป๋ยอวี่
ปัง!
ไม้บรรทัดเปล่งประกายสีเขียวและหมอกมากมาย มันเป็นรัศมีแห่งความชอบธรรมที่ทรงพลัง สูงส่ง และกว้างใหญ่ไพศาล มันบดขยี้ท้องฟ้าไปตลอดทาง พร้อมกับปลดปล่อยความรู้สึกที่ไม่สั่นคลอนออกมา
เปลือกตาของลู่เป๋ยอวี่กระตุกวูบ “พลังต่อสู้ของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
เขาตะโกนเสียงดัง พร้อมกับตวัดฝ่ามือตะครุบภูเขา จากนั้นมันก็ควบแน่นเป็นผนึกที่ขดด้วยประกายสายฟ้าสีแดงชาด เผยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่น่าเกรงขาม ซึ่งซัดสาดลงมาโดยหมายมั่นที่จะระเบิดไม้บรรทัด
เพียะ!
แต่เขากลับต้องประหลาดใจ เพราะไม้บรรทัดเคลื่อนผ่านฝ่ามือของตัวเขาได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันเคลื่อนย้ายมิติได้ และฟาดไปยังหลังมือของเขาอย่างแรง มันให้ความรู้สึกเหมือนถูกก้อนเหล็กร้อนกระแทกมือ ทำให้ทั้งมือพองบวม ขณะที่ความเจ็บปวดจากความร้อนก็เจาะเข้าไปในหัวใจจนแผ่กระจายไปทั่วทั้งแขน
หากหลบไม่ทัน การโจมตีครั้งนี้ก็เกือบจะทำให้มือของเขาพิการ!
“การซ้อนทับของห้วงมิติถูกหลอมรวมในการโจมตีครั้งนี้! ความสำเร็จในมหาเต๋าแห่งมิติของเจ้าเด็กนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ…” ใบหน้าของลู่เป๋ยอวี่มืดมนลง และเขาไม่อาจใส่ใจกับความเจ็บปวดที่กำลังแผ่ซ่านได้อีกต่อไป จึงชักกระบี่สีครามออกมา ซึ่งชั่วพริบตาที่มันปรากฏตัว ก็ดูจะมีมหาสมุทรและคลื่นยักษ์ถาโถมออกมามหาศาล และลู่เป๋ยอวี่ไม่ได้ใช้ร่างกายต่อสู้อีกต่อไป
นี่คือสมบัติที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือ ‘กระบี่จรัสแสงดวงจิตมหาสมุทร!’
กระบี่อมตะเล่มนี้ถูกหลอมขึ้นมาจากโลหะดวงจิตมหาสมุทรโบราณ ซึ่งรวบรวมมาจากมหาสมุทรแอ่งหยก และมันถูกหลอมรวมเข้ากับสมบัติของฟ้าดิน ‘แสงเทวะวิหคหยินอมตะ’ มันมีอำนาจในการเข่นฆ่า มิติ ภาพลวงตา และการโจมตีที่ชั่วร้าย
“ช่างเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมเสียจริง! ข้าจะดูแลมันอย่างดีหลังจากที่ท่านประมุขได้สิ้นอายุขัย เพื่อไม่ให้มันถูกฝุ่นผงในโลกเกาะ และทำให้สมบัติที่สวรรค์ประทานมาให้เสียของไปเปล่า ๆ” ดวงตาของชิวเสวียนซูเป็นประกาย ขณะที่เขาชื่นชม
ใบหน้าของลู่เป๋ยอวี่กระตุกอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกว่า “เจ้าช่างเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่กล่าวถึงเรื่องเลวทรามต่ำช้าอย่างการฆ่าคนชิงสมบัติได้อย่างสุภาพนัก …เจ้าสมควรตายอย่างแท้จริง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ฟันปราณกระบี่ที่ล้ำลึกออกมา คลื่นรุนแรงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา มันเปี่ยมล้นด้วยประกายกระบี่ที่ละเอียดดุจขนวัว และแฝงไปด้วยแรงผลักดันที่น่ากลัว เมื่อกวาดไปทางชิวเสวียนซู
โครม!
ปราณกระบี่เป็นเหมือนกระแสน้ำ ทุกที่ที่มันผ่านไป ท้องฟ้าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในขณะที่เสียงกึกก้องของมหาเต๋าดังขึ้น และจิตสังหารแผ่ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน!
…หากนี่คือโลกภายนอก การโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอจะบดขยี้เมืองหมอนสนให้ราบนับสิบครั้งแล้ว
“ห้วงมิติไหลเวียนอย่างไร้ขอบเขต ดาราเคลื่อนคล้อยไม่มีสิ้นสุด!” ชิวเสวียนซูฟาดด้วยไม้บรรทัดของเขา ประหนึ่งชายหนุ่มกำลังตัดผ่านหยินหยาง จากนั้นปราณกระบี่อันพลุ่งพล่านก็เป็นดุจมังกรน้ำที่ถูกจูงจมูก มันหันกลับมาและส่งเสียงคำรามไปทางลู่เป๋ยอวี่
โครม!
ดวงตาของลู่เป๋ยอวี่จดจ่อ ในขณะที่เขาทำลายการโจมตีนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หยิบยืมพลังของคู่ต่อเป็นของตนเอง? ดูเหมือนว่าความสำเร็จในมหาเต๋าแห่งมิติของเจ้าจะบรรลุความสมบูรณ์แบบแล้ว!”
“ประมุขลู่ กรุณาเกินไปแล้ว” ชิวเสวียนซูยิ้มอย่างถ่อมตน จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ต่อไปเป็นตาข้าโต้กลับบ้าง!”
ขณะกล่าว เจ้าตัวก็หายวับไปในทันที
ในเวลาเดียวกัน บริเวณโดยรอบทั้งหมดพลันถาโถมเข้ามาด้วยบทกวีแผ่นแล้วแผ่นเล่า ซึ่งทุก ๆ คำถูกเขียนอย่างสละสลวย และเปล่งความชอบธรรมอันไร้ขอบเขตออกมา
“ท้องฟ้ามืดมิด แผ่นดินเป็นสีเหลือง และจักรวาลอยู่ในสภาวะโกลาหล พระอาทิตย์ขึ้นตรงแต่กลับเอนเอียง พระจันทร์กลมมนแต่ไร้แสง ดวงดาวปกคลุมทั่วท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต…”
“มหาเต๋าแห่งฟ้าดินก็เสมือนกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่และการเคลื่อนคล้อยของดวงดารา ซึ่งล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง ในขณะที่เราต่างแสวงหาความจริง…”
“กว้างใหญ่และน่าประทับใจดุจความรู้สูงสุดของปราชญ์ ซึ่งเปิดหัวใจของโลกและสร้างสันติภาพ…”
คลื่นเสียงท่องมนต์มากมายดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ประหนึ่งเสียงระฆังใหญ่ที่ถูกตี อีกทั้งยังเหมือนกับการท่องมนต์ของปราชญ์ ในขณะที่มันแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงที่ดังกึกก้องอย่างไม่มีสิ้นสุด
ทันใดนั้น สีหน้าของลู่เป๋ยอวี่ก็กลายเป็นน่ากลัว เพราะนี่คือสุดยอดศาสตร์เต๋าที่หายาก ซึ่งเปลี่ยนหลักการของบัณฑิตให้เป็นจังหวะที่ดูเหมือนจะไร้รูปแบบ แต่กลับเต็มไปด้วยความอำมหิต!
เมื่อรวมกับห้วงมิติอันไร้ขอบเขตที่ถูกเปิดโดยไม้บรรทัดปราชญ์ไตรภพ จึงทำให้เขาไม่มีที่ให้หลบ!
ครืน!
กระแสน้ำที่ก่อตัวขึ้นจากผ้าที่ปักด้วยคำนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าใส่ลู่เป๋ยอวี่ในทันที คำที่นำหน้าคือตัวอักษร ‘镇’ โบราณที่หมายถึงการสยบ และมันก็เหมือนภูเขาหนักอึ้งที่ทำให้ลู่เป๋ยอวี่ไม่ทันได้ตั้งตัว จนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝืนต้านทาน
ตู้ม!
หลังจากที่ปะทะกับการโจมตีนี้ ร่างกายของเจ้าตัวพลันเซไปทางด้านหลัง เผยสภาพที่ไม่น่าดูยิ่งนัก ในขณะที่แขนขวารู้สึกชาด้าน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้ฟื้นตัวจากสิ่งนี้ ผ้าที่ปักถ้อยคำอีกแถวหนึ่งได้ส่งเสียงคำรามเข้ามา คำที่นำหน้าคือตัวอักษร ‘明’ ที่เป็นตัวแทนของแสง และมันเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์แผดเผา ทำให้ดวงตาของลู่เป๋ยอวี่เจ็บปวดจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบไป
ตัวอักษร ‘裂’ ที่หมายถึงความแตกแยก!
ตัวอักษร ‘困’ ที่หมายถึงกับดัก!
ตัวอักษร ‘崩’ ที่หมายถึงการล่มสลาย!
ตัวอักษร ‘灼’ ที่หมายถึงการเผาไหม้!
…
เช่นเดียวกันนั้น ถ้อยคำที่สละสลวยได้ล่องลอยไปมา ราวกับบทกวีอันชาญฉลาดของนักปราชญ์ที่กู่ร้องทั่วฟ้าดิน ขณะที่พวกมันโจมตีลู่เป๋ยอวี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กดขี่ข่มเหงจนถึงจุดที่เขาทำได้เพียงแต่ป้องกันตัวเท่านั้น มันทำให้เสื้อผ้าของลู่เป๋ยอวี่ขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และตัวคนอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูยิ่งนัก
“บัดซบ! ศิษย์ของแดนไร้นามทุกคนจะมีฝีมือแกร่งกล้าอย่างผิดปกติเช่นนี้เลยหรือ?”ลู่เป๋ยอวี่ทั้งตกใจและโกรธมาก เขาไม่เคยคาดคิดว่าพลังของชิวเสวียนซูจะแข็งแกร่งขนาดนี้ และมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินซีมากนัก ยิ่งกว่านั้น รัศมีแห่งความชอบธรรมของอีกฝ่ายยังบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ!
สิ่งนี้ทำให้ลู่เป๋ยอวี่เกิดความรู้สึกที่จะหลบหนี!
“สะบั้น!” ชิวเสวียนซูก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้า ในขณะที่ไม้บรรทัดในมือได้ปลดปล่อยตัวอักษรโบราณที่หนาและแหลมคมเหมือนกับอสนีบาตฟาดลงมายังลู่เป๋ยอวี่
การโจมตีนี้เรียบง่ายมาก แต่กลับแสดงกลิ่นอายของคำว่า ‘สะบั้น’ อย่างชัดเจน และดูเหมือนจะไม่สามารถต้านทานได้ แม้กระทั่งเทพอสูรก็คงถูกแยกออกเป็นสองส่วนเมื่อเผชิญกับมัน
สีหน้าของลู่เป๋ยอวี่เปลี่ยนไปในที่สุด และเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรง
…
ณ จวนตระกูลเฉิน
ทุกคนรวมถึงเฉินฮ่าวต่างก็ชำเลืองมองกันและกัน ซึ่งพวกเขาต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ภายในระยะสายตาของพวกเขา ถนนสายนั้นเงียบสงัดและรกร้างมาก ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย มีเพียงสองร่างที่วูบวาบไปมาในรัศมีไม่เกินร้อยยี่สิบจั้ง
เนื่องจากฝีเท้าของพวกเขาฉับไวเกินไป และทุก ๆ กระบวนท่าของพวกเขาทำให้เกิดแสงเปล่งประกายออกมา จึงทำให้ทุกคนในจวนตระกูลเฉินมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักว่าเกิดอันใดขึ้น
แต่ฉากนี้แปลกประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย
ราวกับมันกำลังเกิดขึ้นในห้วงมิติอื่น ในขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าดูภาพฉายของมันเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้พวกเขานึกถึงฉากที่มักจะปรากฏในทะเลทรายซึ่งเป็นภาพลวงตา
“เปลี่ยนความว่างเปล่าให้กลายเป็นห้วงมิติและสร้างโลกของตัวเองในห้วงมิตินั้น… ชายหนุ่มผู้นี้ที่เรียกท่านพี่ว่าอาจารย์ลุงน้อย ช่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง…”
เฉินฮ่าวพึมพำท่ามกลางผู้คนที่อยู่ตรงนั้น มีเพียงตัวเขาและไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรับรู้ความลึกซึ้งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า และดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะทอแววความตกใจออกมา
“ท่านพี่มีศิษย์หลานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หากยึดจากสิ่งนี้เป็นหลัก การบ่มเพาะของท่านพี่ในตอนนี้อาจสูงถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว” เฟยเหลิ่งชุ่ยที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แน่นอน!” เฉินฮ่าวตอบกลับอย่างไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวและทรงพลัง
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ซ่ง แต่ความเคารพและความชื่นชมของเขาที่มีต่อเฉินซีก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
“ประมุขลู่ โปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ ข้าไม่ปรารถนาที่จะเข่นฆ่า แต่เรื่องราวในโลกนั้นยากจะคาดเดา ข้าควรทำอย่างไรดี? ในเมื่อตอนนี้ข้ามีอาจารย์ลุงน้อยอีกคนแล้ว? หากท่านต้องการตำหนิใครสักคน ก็โทษเจตจำนงของสวรรค์ที่เล่นตลกกับท่านเถิด อภัยให้ข้าด้วย อภัยให้ข้าด้วย…” จู่ ๆ เสียงของชิวเสวียนซูก็ดังก้องไปในสวรรค์และโลก ซึ่งมันฟังดูอบอุ่นสงบเสงี่ยมยิ่งนัก
แต่ทันทีที่เสียงของเขาดังก้องไปบนท้องฟ้า ฝนเลือดสีแดงกลุ่มหนึ่งพลันโปรยปรายลงมาจากนภา ไหลรินสู่ท้องถนนที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งขับเน้นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและน่ากลัวขึ้นไปอีก
ในเวลาเดียวกัน ชิวเสวียนซูที่สวมชุดสีเขียวซึ่งมีท่าทีอ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตน ได้ถือกระบี่อมตะสีครามไว้ในมือ ขณะที่เดินผ่านท้องถนนที่แปดเปื้อนด้วยเลือด
รูปร่างของเขาดูสง่าผ่าเผย และดูเหมือนบัณฑิตที่เข้ามาในเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบจอหงวน แต่ผู้ใดจะจินตนาการได้ว่า ลู่เป๋ยอวี่ผู้เป็นประมุขของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่อย่างนิกายวิถีกระแสสวรรค์ กลับถูกเขาทำลายอย่างง่ายดายเมื่อครู่นี้รึ?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก และร่างกายของพวกเขาก็เย็นยะเยือกอย่างช่วยไม่ได้ เพราะชายหนุ่มที่ดูเหมือนบัณฑิตผู้นี้กลับเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ ที่ไม่อาจล่วงเกินได้!
…
ณ ชายฝั่งของเกาะกลางทะเลสาบ
จี้อวี๋แหงนหน้าขึ้นมองชิวเสวียนซูที่เพิ่งกลับมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวว่า “พลังของเจ้าไม่เลวเลย มันแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของเจ้าเมื่อหลายปีก่อนมาก”
ชิวเสวียนซูป้องมือของเขาและโค้งคำนับ จากนั้นจึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “ผู้อาวุโสกรุณาเกินไปแล้ว”
จี้อวี๋เพียงยิ้มเบา ๆ และกล่าวว่า “เมื่อเจ้าวางแผนจะจากไป จงพาเด็กน้อยทั้งสองคนนี้ไปด้วย”
ในขณะที่กล่าว จี้อวี๋ก็ชี้ไปทางเฉินอันกับเฉินอวี่ที่อยู่ไกลออกไป “เจ้าน่าจะทราบว่าคัมภีร์แห่งความชอบธรรมสูงสุดของสำนักไพรครามยังขาดคัมภีร์อีกสามสิบสามม้วน หากเจ้าต้องการอ่านมัน ให้พาพวกเขาไปที่แดนภวังค์ทมิฬ จากนั้นก็ตามหาเฉินซี เจ้าจึงจะมีโอกาสไปที่เขาเทพพยากรณ์แน่นอน”
ชิวเสวียนซูป้องมือของเขาและคำนับอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับคำชี้แนะของท่าน”
ในวันนี้ ลู่เป๋ยอวี่ ผู้เป็นประมุขของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ได้เสียชีวิตในแผ่นดินซ่ง ในขณะที่ศิษย์จากสำนักไพรครามของแดนไร้นาม ชิวเสวียนซูได้เดินทางออกจากเมืองหมอกสน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังแดนภวังค์ทมิฬกับเฉินอันและเฉินอวี่
การจากกันของพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ เนื่องจากมันจะมีความอาวรณ์และความไม่เต็มใจมากเกินไป
[1] ตี้เจียง มีรูปร่างอ้วนกลม มีสีแดงดุจเปลวเพลิง มีปีกสี่ปีก มีขาหกขา ไม่มีใบหน้า คือสิ่งมีชีวิตในตำนานของจีนชนิดเดียวกับฮุ่นตุ้น
[2] หนึ่งฟางชุ่นเท่ากับ 1.722 ตารางนิ้ว