บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 936 ยมโลก
บทที่ 936 ยมโลก
บทที่ 936 ยมโลก
ดวงอาทิตย์สีม่วงลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าสีตะกั่ว แสงสลัวรางของมันย้อมโลกให้ดูมืดมน
สายลมหวีดหวิวครวญครางไม่ต่างกับเสียงร่ำไห้วิงวอน ความวังเวงทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหม่นหมอง
เมื่อเฉินซีลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือผืนฟ้าซึ่งย้อมด้วยสีเทา ดวงอาทิตย์ที่อาบแสงม่วงสลัว และสายลมที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้
ที่นี่คือที่ใดกัน? เฉินซีชาไปทั้งตัว เขาต้องการที่จะลุกยืน ทว่าร่างกายอันปวกเปียกกลับไม่ฟังคำสั่ง และหลังจากพยายามฝืนออกแรงอยู่นาน ในที่สุดชายหนุ่มก็อยู่ในท่านั่งสมาธิพร้อมกับลมหายใจกระหืดกระหอบ
เขารู้ดีว่านี่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ระเบิดสังหารเทวะ นอกจากนี้ การเผาผลาญแก่นโลหิตในร่างกายอย่างเกินพอดี ยังส่งผลให้อายุขัยของเขาสั้นลงไปมาก
คราวนี้เขาอาจต้องใช้เวลาสักสองสามเดือนในการฟื้นฟูพละกำลัง… เฉินซีตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างละเอียด ก่อนจะหันมองเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายอย่างพินิจพิเคราะห์
ฟ้าดินของที่นี่ดูแปลกตา มวลเมฆสีเทาราวตะกั่วโอบล้อมผืนฟ้า เคียงข้างดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงสลัวมัว แม้แต่สายลมยังพัดพาความหมองมัว บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น จุดที่ชายหนุ่มนั่งสิ้นแรงอยู่นี้ก็เป็นริมฝั่งน้ำ ในขณะที่เบื้องหน้าไกลออกไปเป็นป่าทึบที่ดูธรรมดา มันไม่มีกลิ่นอายอันตรายแผ่กระจายออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ‘หรือนี่จะเป็นยมโลก…?’ เขาได้แต่ขบคิดในใจ
หากกล่าวถึงดินแดนที่ลึกลับที่สุดในภพทั้งสาม มันย่อมเป็นยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และคงเป็นการยากมากที่สิ่งมีชีวิตตนใดจะล่วงรู้ว่าที่แห่งนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร
สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังล้วนแต่เป็นตำนานเล่าขานเท่านั้น
ตามตำนาน ดวงจิตของสิ่งมีชีวิตที่สิ้นอายุขัยจะเดินทางสู่ยมโลกโดยใช้เส้นทางของน้ำพุยมโลกเพื่อมาถึงแม่น้ำลืมเลือน ก่อนจะข้ามสะพานไน่เหอ*[1] และดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง*[2] หลังจากนั้น พวกเขาก็จะถูกนำตัวไปยังหกวิถีสังสารวัฏ และส่งไปเกิดใหม่ตามกรรมที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน
นอกจากนี้ ยมโลกยังมีสถานที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวอยู่หลายแห่ง เช่นเมืองผู้หลงผิด ประตูนรก นรกสิบแปดขุม แม่น้ำเลือดแห่งบาป และอื่น ๆ อีกมากมาย
ภายในยมโลกนี้มีผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอยู่มากมาย อาทิ จักรพรรดิวิญญาณทั้งห้า ราชานรกทั้งสิบ และพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์ และอื่น ๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพียงตำนานบอกต่อกันมา ไม่มีใครล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริง
ความเข้าใจที่เฉินซีมีต่อยมโลกนั้นล้วนมาจากเรื่องเล่าขานเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือยมโลกจริง ๆ หรือไม่
‘แล้วตอนนี้ซิ่วอี้อยู่ที่ใด…?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่ดวงตาเผยแรงอาฆาตอันเย็นยะเยือกออกมาอย่างเด่นชัด
บัดนี้ ร่างอวตารของปิงซื่อเทียนถูกเขาทำลายสิ้นแล้ว ทว่าเข็มทิศปรโลกกลับปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และกวาดเอาชิงซิ่วอี้ไป ทำให้ความสำเร็จของเฉินซีหลุดลอยไปอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้เกิดจากผู้ที่ร่วมมือกับปิงซื่อเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย …คนผู้นั้นทำให้เขาและชิงซิ่วอี้ต้องพลัดพรากจากกันทั้งที่ยังไม่ทันได้ร่วมสุขกัน!
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะหาเจ้าให้เจอ และฆ่าเจ้าเสีย!” เฉินซีกัดฟันกรอดขณะพึมพำ
“นั่นคือเข็มทิศปรโลก มันเป็นสมบัติเทวะในยมโลก ดังนั้นจึงมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่แห่งหกวิถีสังสารวัฏเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้” หม้อใบจิ๋วพูดขึ้น
เฉินซีขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า มีผู้ยิ่งใหญ่ในยมโลกที่สมรู้ร่วมคิดกับปิงซื่อเทียน ขโมยซิ่วอี้ไปอย่างนั้นหรือ?” เขาถามอย่างคลางแคลงใจ
หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ไม่ผิด เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ในยมโลกนี่”
สิ้นวาจา เสียงของหม้อใบจิ๋วได้เผยร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักออกมา “ข้าขอโทษ ข้าไม่คิดว่าจู่ ๆ เข็มทิศปรโลกจะโผล่มา ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
เฉินซีส่ายหน้า “อย่าได้โทษตัวเองเลย” เขาพูดขัดจัดหวะหม้อใบจิ๋ว
“เจ้าก็อย่ากังวลไป ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าอยู่ ดังนั้นคราวนี้ข้าจะต้องพานางกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน” หม้อใบจิ๋วยังไม่คลายจากความเสียใจ “การที่เข็มทิศปรโลกปรากฏในภพมนุษย์นั้นเป็นสิ่งต้องห้าม ในเมื่อพวกมันกล้าทำลายสมดุล เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจ”
เฉินซีสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านแล้ว ผู้อาวุโส”
เขาเข้ามายังยมโลกด้วยร่างกายที่อ่อนแอ ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงจำต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของหม้อใบจิ๋วเป็นการชั่วคราว
บางทีอาจจะเป็นด้วยความรู้สึกผิดในใจ หม้อใบจิ๋วจึงยอมยื่นมือช่วยเหลือเฉินซี และอธิบายรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในยมโลกให้แก่เขา
ตามที่หม้อใบจิ๋วอธิบาย แม้ยมโลกจะเป็นดินแดนเอกเทศ ทว่ามันก็กว้างใหญ่เสียจนเกือบจะไม่มีเขตแดนสิ้นสุด มันยิ่งใหญ่ไพศาลเสียยิ่งกว่าโลกทุกใบในภพมนุษย์รวมกัน และอาจมีอาณาเขตเทียบได้กับพื้นที่ของภพเซียน
การดำรงอยู่ของยมโลกนั้นเป็นไปเพื่อการเวียนว่ายตายเกิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก มันเต็มไปด้วยวิญญาณ ดวงจิต และภูตผีเหลือคณานับ ทว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ที่นี่ยังมีเผ่าพันธุ์มากมายอาศัยอยู่
เผ่าพันธุ์เหล่านั้นเรียกรวม ๆ กันว่าเผ่าปรภพ
การมีอยู่ของเผ่าปรภพนั้นไม่ต่างอะไรกับมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มากมายที่มาจากยุคบรรพกาล ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือพวกเขาอาศัยอยู่ในยมโลก
ตัวอย่างเช่น ผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองยมโลกก็ล้วนมาจากเผ่าปรภพ ในขณะที่นรกใต้พิภพเป็นกลุ่มการปกครองซึ่งทำหน้าที่ควบคุมยมโลก
กลุ่มผู้ปกครองนี้ถูกแบ่งออกเป็นผู้ดูแลประตูนรก เส้นทางน้ำพุยมโลก สะพานไน่เหอ และหกวิถีสังสารวัฏ
จักรพรรดิวิญญาณทั้งห้าทำหน้าที่ปกครองทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และศูนย์กลางของประตูนรก วิญญาณคนตายทั้งหมดจากภพมนุษย์จะปรากฏตัวที่ประตูนรกเป็นที่แรกเมื่อพวกเขาเข้ามาสู่ยมโลก
หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกนำตัวไปยังเส้นทางน้ำพุยมโลกโดยนายแห่งน้ำพุยมโลก ซึ่งถูกเรียกว่ามหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก
เส้นทางน้ำพุยมโลกจะนำพาวิญญาณให้ข้ามผ่านสะพานไน่เหอ พวกเขาจะถูกคนของเผ่าปรภพนำตัวไปยังโถงยายเฒ่าเมิ่ง ก่อนที่จะเดินทางไปสู่หกวิถีสังสารวัฏ เพื่อไปเกิดใหม่ตามกรรมต่าง ๆ เช่น ความดี ความเมตตา บาป ความชั่ว ๆ หรืออื่น ๆ ที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้
ส่วนหกวิถีสังสารวัฏนั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมาก
แม้ว่ามันจะถูกแบ่งเป็นวิถีอสูร วิถีเทพ วิถีมนุษย์ วิถีวิญญาณ วิถีนรก และวิถีสัตว์ร้าย แต่ก็มีกลุ่มคนมากมายที่ควบคุมหกวิถีสังสารวัฏเอาได้ด้วยกัน อาทิ ราชานรกทั้งสิบ พัศดี ตุลาการนรก ผู้บังคับลงทัณฑ์ และอื่น ๆ พวกเขามีหน้าที่จัดการสิ่งต่าง ๆ ตามลำดับ โดยจะแบ่งงานกันอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ตามที่หม้อใบจิ๋วกล่าว นรกใต้พิภพเป็นศูนย์กลางการปกครองของยมโลก เดิมทีมันเคยอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิยมโลกเพียงผู้เดียว หาได้มีกลุ่มผู้ปกครองมากมายเช่นนี้
ทว่าหลังจากสูญเสียจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ยมโลกทั้งหมดก็ตกอยู่ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ราชานรกทั้งสิบและจักรพรรดิวิญญาณต่อสู้ห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงอำนาจ แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถไขว่คว้าตำแหน่งจักรพรรดิยมโลกไปครองได้ ส่งผลให้นรกใต้พิภพถูกแบ่งแยกเป็นดินแดนที่ปกครองโดยผู้ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เกิดเป็นภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
พูดให้เข้าใจง่าย นรกใต้พิภพตอนนี้เป็นเหมือนดินแดนที่แตกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ ซึ่งถูกปกครองโดยผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในยมโลก
ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดภายในยมโลกอย่างคร่าว ๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เช่นนั้น ข้าก็ต้องมุ่งหน้าไปยังหกวิถีสังสารวัฏเพื่อช่วยซิ่วอี้” เฉินซีครุ่นคิด
“เรื่องนั้นต้องทำแน่นอน แต่เจ้าอย่าเพิ่งวู่วามไป ยมโลกที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังนั้นเป็นเรื่องเมื่อนานนม ไม่แน่ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ข้าไม่รู้เกิดขึ้นก็เป็นได้ ข้าว่าเป็นการดีกว่าหากพวกเราจะทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ปัจจุบันให้แน่ชัดเสียก่อน จะได้วางแผนอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น” หม้อใบจิ๋วตอบ
เฉินซีพยักหน้า “ต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่พวกเรารู้ตัวผู้ครอบครองเข็มทิศยมโลก เมื่อนั้นก็จะสามารถลากคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาและช่วยซิ่วอี้ได้!”
สามวันต่อมา
เฉินซีตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะ แต่เมื่อเขาลองสำรวจสถานการณ์ในร่างกายของตนเอง ชายหนุ่มก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
แม้เขาจะได้รับการเยียวยาจากต้นอ่อนเงาทมิฬ ทว่าร่างกายของเขาก็ยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก จนถึงตอนนี้ ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มฟื้นฟูมาได้เพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น เขาไม่สามารถใช้กระบวนท่าอันน่าเกรงขามของตนได้อย่างเต็มที่
นี่ยังไม่พูดถึงปริมาณของปราณเซียนที่หลงเหลืออยู่ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่พ้นระเบิดสังหารเทวะ เคล็ดวิชาดังกล่าวเผาผลาญทั้งวิญญาณ พลัง แก่นแท้ รวมไปถึงต้นกำเนิดพลังอื่น ๆ ของชายหนุ่มจนเกินขีดจำกัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่อาจฟื้นคืนได้ในเวลาอันสั้น
เฉินซีส่ายหน้าสลัดความคิดวุ่นวายออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้งพร้อมกับตำราหยกขาวที่ปรากฏขึ้นบนผ่ามือ
ตำราหยกขาวปกคลุมไปด้วยหมอกเย็นยะเยือก มันเปล่งรัศมีอันพิสดารและไพศาลราวผืนสมุทรกว้าง บนหน้าปกของมันมีคำว่า ‘ระเบียนแดนมรณะ’ ที่เขียนขึ้นอย่างวิจิตรและพิถีพิถัน ตัวอักษรเหล่านั้นเปล่งประกายด้วยสัมผัสแข็งแกร่ง ยุติธรรมและนุ่มลึกเกิดหาใดเทียม
ในวันนั้นที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ รัศมีของเข็มทิศยมโลกได้สัมผัสกับระเบียนแดนมรณะ ส่งผลให้เฉินซีถูกพาตัวเข้ามายังยมโลก
“มันแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก!” เฉินซีสำรวจมันคร่าว ๆ เขาสังเกตเห็นว่าบัดนี้ระเบียนแดนมรณะผิดแปลกไปจากเดิม หน้าปกของมันปลดปล่อยพลังบางอย่าง ซึ่งดูดกลืนพลังงานทั้งมวลในยมโลกอยู่
คล้ายกับมันได้พบพานกับอาหารอันโอชะ ระเบียนแดนมรณะที่หิวกระหายอย่างเหลือทนในยามนี้ไม่ต่างคนตะกละตะกลาม
“นั่นมันระเบียนแดนมรณะ ซึ่งเป็นยอดสมบัติในครอบครองของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามไม่ใช่หรือ?” หม้อใบจิ๋วถามด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจ “มีตำนานเล่าขานอยู่ว่า ภายในระเบียนแดนมรณะนี้มีความลึกล้ำแห่งจุดจบที่ทำให้เทพเซียนภายในสามภพหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่ มันจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่าหรือไม่นะ…”
สิ้นคำพูด เฉินซีพลันตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องดังกล่าว
“ให้ตายเถิด ความแข็งแกร่งของมันยิ่งใหญ่กว่าข้าเสียอีก หากเจ้าต้องการจะเปิดมันเพื่อตรวจสอบสิ่งที่บันทึกไว้ภายใน เห็นทีคงจะต้องใช้พลังจากยมโลกจำนวนมหาศาล”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉินซีเดินหลงทางในความคิด เขาสัมผัสมาได้สักพักใหญ่แล้วว่าฟ้าดินของยมโลกมีพลังแปลก ๆ บางอย่างอยู่รายล้อม มันให้ความรู้สึกเย็นเยียบ ชวนหวาดผวา และเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้วิญญาณต้องสั่นสะท้าน จึงชายหนุ่มเชื่อว่ามันน่าจะเป็นพลังงานที่มาจากยมโลก!
อันที่จริง ปราณยมโลกเป็นปราณวิญญาณประเภทหนึ่ง เพียงแค่มันถือกำเนิดขึ้นภายในยมโลกเท่านั้น
“เจ้าต้องระวังไว้ อย่าได้สำแดงสมบัติล้ำค่าที่เจ้ามีในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าอาจกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของบรรดาผู้ปกครองแห่งยมโลก” หม้อใบจิ๋วปราม
เฉินซีเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี การอวดความมั่งคั่งเป็นหนทางสู่ความวิบัติ สมบัติล้ำค่ามากมายที่เขามีล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นความโลภของผู้อื่น ไม่ว่าจะแห่งหนใด ความจริงข้อนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
อีกทั้งสิ่งนี้ยังเป็นสมบัติตกทอดจากจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม มันเป็นของล้ำค่าที่แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลกยังต้องตาลุกวาวเมื่อได้เห็น!
ทันใดนั้น เสียงอุทานหนึ่งจากที่ไกลได้แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเฉินซี
“มีคนอยู่ไกล ๆ!” เฉินซีและหม้อใบจิ๋วโพล่งขึ้นพร้อมกัน
มีคนอยู่ไกล ๆ แล้วอย่างไร?
คำตอบไม่ได้ซับซ้อนนัก มันหมายความว่าพวกเขาจะได้รู้เสียทีว่าตนอยู่ที่แห่งใดในยมโลกอันกว้างใหญ่นี้!
[1] สะพานไน่เหอ เป็นสะพานข้ามภพที่เชื่อมแดนสวรรค์ มนุษย์ และยมโลก ตามความเชื่อของพุทธมหายาน มนุษย์ที่ตายแล้วทุกคนจะต้องเดินข้ามสะพานนี้
[2] น้ำแกงยายเมิ่งหรือน้ำแกงเบญจรส คือน้ำแกงที่ยายเมิ่ง เทพที่ประจำการในยมโลกปรุงขึ้น โดยยายเมิ่งจะประจำการอยู่ที่สะพานไน่เหอ และยื่นน้ำแกงให้แก่ดวงวิญญาณทั้งหลาย เพื่อทำให้พวกเขาลืมเลือนเรื่องราวในอดีตชาติก่อนจะกลับชาติมาเกิดใหม่