บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 958 หกเทพโลหิตเลือน
บทที่ 958 หกเทพโลหิตเลือน
บทที่ 958 หกเทพโลหิตเลือน
ชุยหรูอิ๋นเหินร่างขึ้นฟ้าแล้วเคลื่อนย้ายร่างมา นิ้วมือกำเข้าหากันจนแน่นคล้ายว่ากำลังกำบีบมังกรหรือจับโซ่คล้องสวรรค์ ความรวดเร็วของเขาไม่แพ้สายอัสนีที่ฟาดลงมาเลย
นี่คือการโจมตีอย่างเต็มกำลังของชุยหรูอิ๋น และเจ้าตัวมั่นใจมากว่าจะสามารถจับเป้ยหลิงไว้ได้
ตึง!
ทว่ากลับเกิดภาพอันน่าประหลาดใจขึ้น เป้ยหลิงจู่ ๆ ก็พลิกฝ่ามือ เรียกภาพกระบี่แทงเสียดฟ้าออกมา มันเข้าปะทะกับการโจมตีของชุยหรูอิ๋น!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เจ็ดวัน พลังของนางจะพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร?
ชุยหรูอิ๋นหรี่ตาลง เมื่อเจ็ดวันก่อนเขายังสามารถไล่สังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามืออยู่เลยแท้ ๆ แต่ตอนนี้นางกลับมีฝีมือสูสีกับเขาแล้ว!
“ตัวประหลาดแต่กำเนิดเช่นเจ้าช่างโง่เขลาไร้ปัญญาเสียจริง!” ร่างเป้ยหลิงวูบไหวแล้วถอยออกไปราวหกลี้ นางยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น ขณะที่มุมปากมีแววเยาะเย้ย
ตัวประหลาด!
โง่เขลาไร้ปัญญา!
คำเหล่านี้กระตุ้นความโกรธของชุยหรูอิ๋นจนเส้นเลือดปูดโปน ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ เขาคำรามลั่น ต้องการจะพุ่งเข้าไปสังหารหญิงสาว
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือก็เหมือนมีใครคว้าหลังคอไว้ ทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังทั่วร่างออกมาได้ กลายเป็นเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ถูกคนคว้าคอยกขึ้นจากด้านหลัง
“การเรียกเจ้าว่าตัวประหลาดย่อมเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่เจ้าไม่เพียงมีร่างกายประหลาดเท่านั้น ทว่าจิตใจนั้นยังวิปริตอีก สมควรถูกดูแคลนไปชั่วชีวิตแล้ว” เฉินซีหิ้วคออีกฝ่ายราวกับจับผ้าขี้ริ้วสกปรก ก่อนจะปลดปล่อยพลังออกมาจากปลายนิ้ว
“เจ้า…เจ้า…” ชุยหรูอิ๋นเริ่มหายใจลำบาก เขาใกล้จะขาดอากาศหายใจเต็มทน ใบหน้าอ่อนเยาว์กลายเป็นสีแดงเข้ม ลูกตาแทบถลน ทำให้เกิดเป็นภาพน่ากลัวยิ่ง และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร มันก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
อีกทั้งตอนนี้เขายังมีท่าทางเหมือนลิงน่าเกลียดน่ากลัวตัวหนึ่ง ดูแล้วน่าตลกยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ! พี่ชายช่างมีอำนาจกล้าแกร่งยิ่ง ข้าล่ะชอบใจท่านจริง ๆ” พี่สี่ปรบมือแล้วหัวเราะลั่นขณะที่ยืนอยู่ไกล ๆ ส่งสายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ ทว่าเผยความตื่นเต้นและความหลงใหลเมื่อจ้องไปทางเฉินซี และถึงขนาดแลบลิ้นเลียปากทีเดียว
ทั่วทั้งร่างของเฉินซีพลันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก ทันใดนั้นเอง เขาก็แทบควบคุมตนเองไม่ให้สังหารชุยหรูอิ๋นไม่อยู่
“จับตาดูเขาไว้ ข้าจะไปสังหารเจ้าคนน่าขยะแขยงที่ไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรีนั่น!” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วผนึกทั้งร่างของชุยหรูอิ๋นไว้ด้วยศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ จากนั้นก็โยนชุยหรูอิ๋นไปทางเป้ยหลิง ก่อนจะรุดหน้าไปหาพี่สี่ผู้นั้น
เฉินซีทนอีกฝ่ายไม่ไหวแล้ว เห็นชัด ๆ ว่าเป็นบุรุษ แต่กลับสวมชุดเย้ายวน ดูแล้วชวนสับสนว่าเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่ ทั้งอีกฝ่ายยังชอบบุรุษและเอ่ยวาจาท่าทางตุ้งติ้ง ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจชอบกล
“อ๋า ท่านต้องการข้าหรือ? ดีใจจัง…” เมื่อเห็นเฉินซีกำลังพุ่งเข้ามา พี่สี่กลับไม่หลบเลี่ยง เพียงกรีดร้องเสียงตื่นเต้นออกมา ขณะที่ใบหน้าซึ่งแต่งแต้มไปด้วยเครื่องประทินโฉมหนาเตอะขึ้นสีแดงเล็กน้อย ดูเย้ายวนมากกว่าเดิม
เฉินซีถึงกับหน้าหมองคล้ำ เสือกแทงกระบี่เข้าไปเต็มแรงทันที!
ตู้ม!
กระแสปราณกระบี่หนาแน่นพุ่งออกมา มันเต็มไปด้วยอักขระยันต์นับไม่ถ้วน สะท้านฟ้าดินด้วยแรงสั่นสะเทือนมหาศาล และพริบตาเดียว พื้นที่รอบข้างก็ระเบิดออก ส่งเสียงดังครืนและเกิดเป็นคลื่นพลังโกลาหลซัดเข้ามาจนฟ้าดินมืดครึ้ม
ลงมือทีก็ใช้ท่าถึงตายเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเฉินซีเกลียดชังพี่สี่ผู้นี้ขนาดไหน
ขณะเดียวกัน พี่สี่ผู้นี้มีพลังอยู่แค่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าเท่านั้น แต่เหตุใดกัน เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่กลัวการโจมตีเต็มกำลังของเขาเลยสักนิด?
“พี่ชาย หากไม่ใช่เซียนที่สามารถใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ได้ ก็ไม่มีใครสังหารข้าได้หรอก” อีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคักแล้วหลบไปทางด้านข้าง
ชั่วพริบตาต่อมา ทั่วทั้งร่างก็กลายเป็นแสงสีเลือดเส้นบางเหมือนขนวัว ส่งเสียงครืนดังสะท้อนออกไปทั่วทุกทิศทาง
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ด้วยพลังทำลายล้างของปราณกระบี่ แสงสีเลือดหลายเส้นได้ถูกฟันจนแหลกเป็นชิ้น ทว่าปราณกระบี่ก็ยังไม่สามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้ เพราะพวกมันทั้งหนาแน่นและมีจำนวนมากเกินไป คล้ายฝูงตั๊กแตนที่ไม่อาจกำจัดได้หมด พอกรีดผ่านห้วงกาลเวลาแล้วก็หายไป เป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดยิ่ง
‘หืม?’ เฉินซีเห็นแล้วอดชะงักไปไม่ได้ นั่นมันวิชาอันใดกัน?
“พี่ชาย ข้าจะรออยู่ที่ภูมิภาคราชหกวิถีนะ อย่าให้ข้ารอนานล่ะ…” เสียงพี่สี่ยังคงลอยละล่องอยู่ในอากาศ เป็นน้ำเสียงตื่นเต้นเจือแววยวนใจ ผ่านไปนานจึงจะหายไปจนสิ้น
‘ไอ้บัดซบนั่น!’ มุมปากเฉินซีถึงกับกระตุกยิก ๆ
“คนผู้นั้นคงจะได้วิชาหกเทพโลหิตเลือน เป็นวิชาที่มาจากธารโลหิตในยมโลก จากที่ลือกันมา ข้าได้ยินว่าบรรพชนแม่น้ำโลหิตเมื่อครั้งบรรพกาลเป็นคนสร้างวิชานี้ขึ้น ผู้บ่มเพาะจะสามารถแปลงกายเป็นเมล็ดเทพโลหิตสามแสนหกหมื่นแปดพันร่าง ฉะนั้นย่อมเอาชนะได้ง่ายแต่ฆ่าให้ตายยาก” เป้ยหลิงเหินร่างเข้ามา ดูท่าเจ้าตัวจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงอธิบายเสียงเบาให้ฟัง “วิชาบ่มเพาะนี้มีเป้าหมายเหมือนกับเคล็ดวิชาจ้าวปรภพอมตะของข้า แต่ด้วยวิถีทางที่ต่างกัน …วิชานี้มีหลักคือ หากร่างกายยังอยู่ ฟ้าดินและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องตาย เป็นวิชาบ้าเลือดที่ทำให้นิสัยดั้งเดิมหายไป และเหลือไว้เพียงตัวตนปีศาจในกาย มันจึงยังห่างไกลจากเคล็ดวิชาจ้าวปรภพอมตะเมื่อนำมาเทียบกัน”
“ทำลายฟ้าดินและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายหรือ ฮ่า! ฟังดูสูงส่งไม่ใช่น้อย” เฉินซีเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่สี่ถึงได้น่าชังและดูประหลาดไม่ปกติเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าพี่สี่ฝึกวิชาเลือดเย็นที่ทำลายลักษณะนิสัยของมนุษย์นี่เอง!
เขาเคยได้ยินมาว่าเมื่อครั้งบรรพกาล วิชาของบรรพชนแห่งแม่น้ำโลหิตนั้นไม่ธรรมดายิ่ง พลังอำนาจของอีกฝ่ายดังไกลไปทั่วทั้งสามภพ อีกทั้งคนผู้นี้ยังเคยเสวนาเกี่ยวกับวิถีเต๋าและเข้าต่อสู้กับบรรพชนปีศาจราหูอย่างดุเดือด ผลออกมาคือทั้งคู่มีฝีมือทัดเทียมกัน
ต่อมา พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์แห่งนิกายวิถีพุทธที่มีสติปัญญา ความมุ่งมั่น และความเมตตายิ่งได้ถือกำเนิดขึ้น คอยเป็นกันชนอยู่ ณ ริมธารโลหิตยมโลก ทั้งยังตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ว่า หากนรกยังไม่ว่างเปล่า และหากบรรพชนแม่น้ำโลหิตไม่จากไปไหน ตัวเขาก็จะไม่ยอมไปจุติเช่นกัน
จากนั้นเฉินซีก็เก็บกวาดพื้นที่โดยรอบ พลางคิดว่าจะเข้าเมืองสาละไปกับเป้ยหลิง แล้วจึงค่อยสอบปากคำชุยหรูอิ๋นเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
ตอนนี้ชุยหรูอิ๋นถูกผนึกไว้ด้วยศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ แต่อีกฝ่ายราวกับได้ใช้วิชาลับบางอย่าง เขาในตอนนี้จึงมีร่างขยายใหญ่ขึ้นเหมือนลูกหนัง
อีกทั้งบนใบหน้ายังปรากฏความขุ่นเคืองและความบ้าคลั่งออกมา
เวรแล้ว บัดซบเอ๊ย! เฉินซีหรี่ตาลง ร่างขยับไปพร้อมกับเป้ยหลิง แล้วพวกเขาก็หายไปจากตรงนั้นทันที
ตู้ม!
ลำแสงพุ่งสู่ฟากฟ้าปรากฏขึ้นทันทีตรงจุดที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ เสียงฟ้าลั่นดังสนั่นกินพื้นที่ไปไกลถึงหมื่นลี้ ทำลายทุกสิ่งในรัศมีนั้นจนหมดสิ้น
ชุยหรูอิ๋นระเบิดร่างตนเอง!
เขาถอยออกมาในรัศมีหมื่นลี้แล้ว และได้แต่มองภาพพื้นที่ที่ถูกทำลายเบื้องหน้า ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกและกล่าวขึ้นว่า “ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะโหดเหี้ยมได้เช่นนี้ หากคนตระกูลชุยเหมือนเขาทั้งหมด เราก็คงรับมือได้ยากทีเดียว”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ต้องตาย จึงยอมใช้วิชาลับตระกูลชุยเพื่อใช้ความตายจบเรื่องทุกอย่าง” เป้ยหลิงส่ายหน้า
เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
จากนั้นพวกเขาก็ไม่รอช้า รีบเดินทางมุ่งตรงไปยังเมืองสาละทันที
…
ในขณะนั้นเอง ภายในจวนตระกูลชุย ณ ภูมิภาคราชหกวิถี
เปรี๊ยะ!
ป้ายหยกในมือของชุยฟางจวินถูกบีบจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ใบหน้างามเผยความเศร้าโศกออกมาเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบกาย “มีเพียงชุยหรูซานที่กลับมา ส่วนคนอื่นถูกสังหารสิ้น” น้ำเสียงของเขาคล้ายกับอัสนีซัดลงมากลางห้องโถง
เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากันแล้วพากันนิ่งเงียบเหมือนจักจั่นหน้าหนาว
ชิงเซียวที่มีชื่อเสียงว่าไม่เคยทำพลาดกลับต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ในขณะที่หวังฉงจากวิถีอสูรและหลิ่วจวิ้นกับรุ่ยฉิงจากวิถีวิญญาณก็ตายไปในเมืองผาทมิฬแล้ว
ตอนนี้ขนาดชุยหรูอิ๋นและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีมากกว่าสิบคนก็ยังตายตกไปตามกันเช่นนี้…
ทุกคนคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดเด็กสาวที่หนีหัวซุกหัวซุนคนหนึ่งจึงจัดการได้ยากเช่นนี้
“หรูซาน บอกมาว่าฝีมือใคร” ชุยฟางจวินสังเกตเห็นความตกตะลึงในสายตาของทุกคน จึงโบกมือแล้วถามขึ้น
หลังจากนั้น บุรุษท่าทางเย้ายวนที่แต่งหน้าหนาเตอะก็เดินนวยนาดเข้ามาด้านในแล้วยืนอยู่ตรงกลาง นัยน์ตาฉ่ำน้ำกวาดมองไปทั่วห้องโถง หัวใจของทุกคนที่สายตานั้นวาดผ่านถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความรังเกียจ
คนผู้นี้ก็คือ ‘พี่สี่’ หรือชุยหรูซานนั่นเอง
หรูซานมีความหมายว่าขุนเขา เป็นชื่อที่ดูสูงส่งยิ่ง แต่ไม่เหมาะจะนำมาใช้กับเขาเช่นเดียวกัน
“อ้อ เป็นพี่ชายสุดหล่อคนหนึ่ง เขามีพละกำลังสูงส่งมากทีเดียว กลิ่นอายกล้าหาญทรงพลังของเขาทำใจข้าอ่อนยวบไปหมดเลย…” ชุยหรูซานเอ่ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย ทำเอาคนอื่นขมวดคิ้ว ขนาดผู้อาวุโสรองอย่างชุยฟางจวินยังรู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ
แต่เขาก็ต้องอดทนไว้ เพราะมีแต่เพียงชุยหรูซานเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อชุยหรูซานว่าจบแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ความเกลียดชังในใจเริ่มจางลง แต่พอนึกถึงชื่อ ‘เฉินซี’ ที่ชุยหรูซานพูดถึง พวกเขาก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด!
มีความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา!
เต๋ากระบี่ลึกล้ำหาใครเทียม!
มีผู้เก่งกล้าเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นในยมโลกตั้งแต่เมื่อไรกัน? เหตุใดพวกเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย?
ทุกคนทั้งตกตะลึงและงุนงง มีคนมากฝีมือปกป้องนางไว้เช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่กระทั่งชุยหรูอิ๋นที่อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดจะยังทำไม่สำเร็จ
“เฉินซีคงไม่ใช่คนที่กลุ่มอำนาจอื่นใช้มาฉวยโอกาสกระพือความขัดแย้งในตระกูลชุยเพื่อแบ่งผลประโยชน์กันหรอกกระมัง?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งมุ่นคิ้วคิดอยู่นานแล้วถามขึ้น
“หึ! ไร้สาระสิ้นดี มีบรรพบุรุษตระกูลชุยคอยดูแลอยู่เช่นนี้ จะมีหน้าไหนกล้าทำแบบนั้นได้?” ผู้อาวุโสรองชุยฟางจวินขัดขึ้นทันใด จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกพลางกล่าวขึ้นว่า “ทุกคน ความขัดแย้งในตระกูลชุยของเราทำให้กลุ่มอำนาจอื่นพากันหัวร่อหมดแล้ว สถานการณ์ไม่สู้ดีเช่นนี้ ถึงเวลาที่พวกเราต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยได้แล้ว”
เขาหยุดพูดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ข้ามีความรู้สึกว่าเฉินซีนั่นคงไปส่งชิงหนิงถึงภูมิภาคราชหกวิถีในอีกไม่นานแน่ ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเราเช่นกัน หากไม่สามารถจัดการนางได้ เช่นนั้นก็ได้แต่ตัดสินแพ้ชนะกันในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของตระกูลแล้ว ซึ่งข้าไม่อยากให้มันลากยาวไปถึงตอนนั้น!”
ทุกคนใจสั่นสะท้าน สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
“ผู้อาวุโสรอง ท่านหลักแหลมยิ่งนัก เหตุใดไม่บอกให้ชัดเจนเลยว่าพวกเราควรทำอย่างไรกันแน่?” ชุยหรูซานเอ่ยด้วยเสียงเล็ก
ชุยฟางจวินไม่อยากมานั่งสนใจว่าอีกฝ่ายพูดเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าชังอย่างไร ใบหน้าสง่างามเผยแววเหี้ยมออกมาเล็กน้อย “หากเป้าหมายเข้าเมืองมาเมื่อไร ให้ใช้ทุกอย่างที่มีสังหารเป้าหมายอย่างไร้ความปรานี!”
เขาเอ่ยคำตัดสินสุดท้ายออกมา
หลังจากทุกคนรับคำสั่งแล้วจากไปแล้ว ชุยฟางจวินก็ลุกขึ้นเดินอยู่ภายในห้องโถงอันว่างเปล่า ผ่านไปไม่นานตัวคนพลันหยุดเคลื่อนไหว นัยน์ตาเผยแววสว่างไสวอยู่ชั่วครู่
“เฉินซี… ไม่แปลกใจที่ชื่อนี้คุ้นหูนัก…” อึดใจต่อมา ร่างเขาก็แวบหายไปจากห้องโถงแล้ว ด้วยอยากไปเยี่ยมเยียนตัวตนสูงส่งผู้หนึ่งเสียหน่อย จะได้รู้ว่าสหายนามว่าเฉินซีมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่