บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน - บทที่ 979 ยักษาผู้โง่เขลา
บทที่ 979 ยักษาผู้โง่เขลา
บทที่ 979 ยักษาผู้โง่เขลา
การผ่านเส้นทางหมื่นดารานั้น เทียบได้กับการเข้าสู่ภูมิภาคราชานรก
ฟิ้ว!
ท่ามกลางมวลเมฆสีดำ เรือเหาะสมบัติได้แล่นไปในระยะไกลด้วยความเร็วสูงสุด พายุส่งเสียงหวีดหวิวในขณะที่คลื่นขนาดใหญ่พุ่งขึ้นท้องฟ้า แต่ก็ไม่สามารถรบกวนความเร็วของเรือได้
ความเร็วของมันรวดเร็วมากจริง ๆ!
กองเรือของตระกูลเว่ยที่แล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ ก็แทบจะไล่ตามไม่ทัน
เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะเฉินซีมีแผนการของตนเอง คิดคว้าโอกาสที่กองกำลังซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชาฉู่เจียงไม่ทันได้ตอบสนอง เข้าจัดการกับพวกมันอย่างไม่ทันตั้งตัว!
เพราะหากกองกำลังของราชาฉู่เจียงพบว่าพวกเฉินซีได้ฆ่าล้างทหารองครักษ์วิญญาณเจียงที่ประจำการอยู่รอบ ๆ เส้นทางหมื่นดาราแล้ว การวางกำลังและการป้องกันของพวกมันจะต้องแน่นหนาขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าแรงกดดันจะทบทวีคูณ แม้แต่แผนการรับมือก็จะเป็นไปได้ยากลำบากขึ้นด้วยเช่นกัน!
เนื่องจากทะเลทุกข์ที่ไร้ขอบเขตถูกปกคลุมไปด้วยอันตรายและพื้นที่หวงห้ามมากมาย ทำให้ราชาฉู่เจียงครอบครองข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์จากการพำนักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี ดังนั้นการพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและบุกตะลุยผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมด จึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแทน
…
น่านน้ำยักษา
นี่เป็นแนวป้องกันที่สองของกองกำลังของราชาฉู่เจียงที่กระจายอยู่ในเส้นทางหมื่นดารา
เกาะโดดเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางน้ำทะเลสีโคลน เกาะแห่งนี้แห้งแล้งและปกคลุมด้วยหินสีดำสนิท เมื่อมองจากระยะไกล มันก็เหมือนง้าวที่วางอยู่บนทะเลและแทงทะลุท้องฟ้า
เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า ‘อาบโลหิต’ อันเยือกเย็น และเป็นชื่อที่ค่อนข้างนองเลือด
ในขณะนี้ มียักษากลุ่มหนึ่งเฝ้าระวังเกาะอาบโลหิต และมีจำนวนมากกว่าสามร้อยตัว พวกมันทั้งหมดสูงประมาณแปดจั้ง มีปีกสีเขียวเข้มที่แผ่นหลัง มีตาสีแดงเลือดนก ท่าทางดุร้าย และมีเกล็ดสีดำปกคลุมผิวสีเขียวอมดำที่เปลือยเปล่าของพวกมัน ซึ่งขับเน้นรูปลักษณ์ของพวกมันให้น่ากลัวยิ่งขึ้น
ยักษาที่เป็นผู้นำมีปีกสีแดงเลือดคู่หนึ่ง ทำให้มันดูโดดเด่นมาก ทว่ารูปร่างหน้าตากลับไม่ต่างจากคนธรรมดา มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่อาบไปด้วยประกายสีแดงแวววาวอันงดงาม
เขาเป็นราชาของกลุ่มนี้… ราชายักษาเหยียนถู!
ราชายักษาผู้นี้ได้ติดตามจี้คังผู้เป็นราชาฉู่เจียงในการต่อสู้มาเป็นเวลาสามพันปี มีความสำเร็จทางการทหารที่โด่งดัง และเป็นยอดราชันในขอบเขตเซียนปฐพีที่มีความแข็งแกร่งอันน่าตกใจ
ตามข่าวลือ ราชายักษาเหยียนถูนั้นมีความสามารถที่จะบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า และสามารถขึ้นสู่ภพเซียนได้ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว แต่เขาได้ใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่าง และบังคับให้ตนเองอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
เหตุผลก็คือเขาต้องการติดตามราชาฉู่เจียง และรับใช้ราชาฉู่เจียงอย่างภักดีไปตลอดชีวิต จึงอาจกล่าวได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนที่จงรักภักดีและทุ่มเทยิ่ง
ด้วยความสำนึกต่อความภักดีของเหยียนถู ราชาฉู่เจียงจึงได้แบ่งทะเลส่วนนี้ให้เหยียนถูด้วยตัวเอง และให้ราชายักษาเหยียนถูคอยดูแลและจัดการทะเลส่วนนี้เสีย ดังนั้นทะเลที่กว้างใหญ่นี้จึงกลายเป็น ‘น่านน้ำยักษา’ ที่มีชื่อเสียงในทะเลทุกข์
“ทหารยักษาผู้กล้าหาญสามร้อยนายและแม่ทัพสี่นาย เมื่อรวมกับข้าเหยียนถู กองกำลังดังกล่าวกลับมีไว้เพื่อฆ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเพียงคนเดียวจากภพมนุษย์เท่านั้น ข้าชักสงสัยจริง ๆ ว่าราชาของข้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่” เหยียนถูนั่งบนบัลลังก์ขณะที่ลูบคางและครุ่นคิด
“ข้าคิดว่าท่านราชาฉู่เจียงของเราประเมินศัตรูสูงเกินไป ถ้าไอ้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ นั่นโผล่หัวออกมา ข้าอากู่หลัวก็บดขยี้มันได้อย่างง่ายดาย แล้วจะมีความจำเป็นอะไรที่ท่านราชายักษาต้องรับสั่งด้วยตัวเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ยักษาผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีรูปลักษณ์ดุร้ายและมีเกล็ดสีเขียวเข้มบนศีรษะ กล่าวด้วยความเฉยเมยเล็กน้อย
“ระวังไว้ดีกว่า” เหยียนถูชำเลืองมองอีกฝ่าย อากู่หลัวผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพภายใต้คำสั่งของเหยียนถู คนผู้นี้มีนิสัยกระหายเลือดและโหดเหี้ยม อีกทั้งยังกล้าหาญอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นมือขวาที่ไว้ใจได้ของเหยียนถู
“โอ้ ข้าแค่กังวลว่าเขาจะไม่สามารถผ่านเส้นทางหมื่นดาราไปได้ …เพราะเช่นนั้นแล้ว เราคงรออยู่ที่นี่นานโดยเปล่าประโยชน์” อากู่หลัวส่ายศีรษะขณะที่ยืนขึ้น และกล่าวเสริมว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะพาพี่น้องไปตรวจตรารอบ ๆ เสียก่อน เพราะกระหม่อมไม่สามารถอยู่ที่นี่เฉย ๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนถูโบกมือและกล่าวว่า “ไปเถิด แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้มุ่งหน้าไปยังเส้นทางหมื่นดารา ไม่เช่นนั้นตัวข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้าขัดขวางแผนการของท่านราชาของข้า”
อากู่หลัวเผยเสียงหัวเราะที่อำมหิตและโหดร้าย “อย่ากังวลไปเลย ฝ่าบาท”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หน่วยยักษาที่นำโดยอากู่หลัวก็พุ่งออกจากเกาะอาบโลหิต พวกมันได้หายไปในฟ้าดินที่มืดสลัวและขุ่นมัว
“นายท่านได้ตั้งแนวป้องกันไว้สามแนว เนื่องจากแนวป้องกันที่สองได้รับการปกป้องโดยข้าเหยียนถู ดังนั้นไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร พวกมันก็ไม่มีวันที่จะผ่านไปได้ เว้นแต่…” เหยียนถูพึมพำ ในขณะที่ดวงตาสีแดงเลือดอันงดงามของเขาถูกปกคลุมด้วยแววตาเคร่งขรึมและน่ากลัว “เว้นแต่เจ้าจะก้าวข้ามศพของข้าไป!”
…
บนดาดฟ้าเรือ เฉินซีเล่นกับเข็มทิศวิญญาณหวนกลับในมือ
สมบัติชิ้นนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ มีห่วงสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่และเล็กติดตั้งอยู่บนมัน ขณะที่ห่วงสัมฤทธิ์ทั้งสองวงเป็นรูปเฟือง ห่วงสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่เป็นตัวแทนของโลกใบใหญ่ทั้งสามพันแห่งของภพมนุษย์ ในขณะที่ห่วงสัมฤทธิ์ขนาดเล็กเป็นตัวแทนของโลกใบเล็กมากมายในภพมนุษย์
เมื่อเขาขยับห่วงสัมฤทธิ์ด้วยนิ้ว ชื่อของโลกต่าง ๆ จะโผล่ออกมาจากพื้นผิวของพวกมัน ตราบเท่าที่ชายหนุ่มเลือกหนึ่งในนั้น และถ่ายเทปราณเซียนลงในเข็มทิศวิญญาณหวนกลับ มันจะเปิดใช้งานข้อจำกัดภายในเข็มทิศ และแสดงเส้นทางที่นำไปสู่ภพมนุษย์
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือสมบัติหายากนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากมันถูกใช้งาน ข้อจำกัดภายในก็จะพังทลาย และจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
แต่นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเฉินซี
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการปล่อยชายตัวเล็ก ๆ ไป จะได้สมบัติล้ำค่ากลับมาแทน หรือว่านี่คือสิ่งที่หมายถึงว่าการทำความดีจะได้รับการตอบแทน” เป้ยหลิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่าเป้ยหลิงดูจะเศร้าใจเล็กน้อย และเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าข้ากลับไปที่ภพมนุษย์ เจ้าก็…”
เป้ยหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคงตามไปไม่ได้แน่”
แม้ว่านางจะยิ้ม แต่ก็ดูฝืนเล็กน้อย และแม้ว่าเสียงของหญิงสาวจะสงบ แต่มันก็สั่นเครือเล็กน้อย
เฉินซีตกตะลึงอีกครั้ง และเขาตระหนักได้ทันที เนื่องจากเป้ยหลิงสามารถตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านางได้ไตร่ตรองคำถามนี้ในใจมานานแล้ว
และเมื่อชายหนุ่มตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันรู้สึกสูญเสียในใจเล็กน้อย
แต่ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็ระงับความคิดของตนและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ยมโลกเป็นบ้านเกิดของเจ้า และเจ้าต้องการฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลิน ดังนั้นเจ้าจึงต้องอยู่ที่นี่”
เป้ยหลิงหันหลังกลับและมองไปยังระยะไกล ขณะที่นางกล่าวว่า “ใช่แล้ว ถึงอย่างไร ข้าก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่โดดเดี่ยว และมีเพียงแต่ต้องอยู่ในยมโลกเท่านั้น ที่ข้าจะทำให้จุดประสงค์ของข้าเป็นจริงได้”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่นางก็ถอนหายใจเบา ๆ ในใจแทน เพราะหญิงสาวเองก็รู้สึกถึงความสูญเสียและความเศร้าโศกอย่างที่อธิบายไม่ได้เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง สักวันเราคงได้พบกันใหม่” เฉินซีเดินไปข้างหน้าและยืนเคียงข้างนาง สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่ง ขณะที่น้ำเสียงของเขามีความมั่นใจมาก
“ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น” เป้ยหลิงเอามือสางผมที่หลังใบหูของนาง ในขณะที่ดวงตาสุกใสได้กลายเป็นขุ่นมัว ขณะที่หญิงสาวมองไปยังระยะไกล พบเข้ากับคลื่นโคลนและพายุที่โหมกระหน่ำ ซึ่งดูคล้ายกับความรู้สึกซับซ้อนของนางในยามนี้
เฉินซีรู้สึกว่าบรรยากาศบีบคั้นและเป็นทุกข์เล็กน้อย เขาจึงเปิดปากเพื่อหมายจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นเงากลุ่มหนึ่งกำลังบินเข้ามาด้วยท่าทางคุกคามจากระยะไกล
“ระวัง มีศัตรูกำลังเข้ามา” เฉินซีเตือนในขณะที่ร่างของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ครืน!
เสียงดังก้องเหมือนเสียงฟ้าร้อง ในช่วงเวลาถัดมา คนกลุ่มหนึ่งได้แหวกผ่านท้องฟ้า และร่อนลงมาเหมือนเมฆดำที่พวยพุ่ง พร้อมกับเผยกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่งออกมา
คนที่เป็นผู้นำมีรูปร่างกำยำ มีท่าทางป่าเถื่อน มีเกล็ดสีเขียวเข้มบนหนังศีรษะ และมีปีกสีดำสนิทคู่หนึ่งอยู่บนแผ่นหลัง เขาคืออากู่หลัว หนึ่งในสี่แม่ทัพภายใต้คำสั่งของราชายักษา!
ทหารองครักษ์ยักษาอีกแปดสิบคนติดตามอยู่ทางด้านหลัง พวกเขาทั้งหมดมีดวงตาสีแดงเข้มและมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว
“ยักษา?” เป้ยหลิงรู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าเพียงดูการต่อสู้ก็พอ ส่วนไอ้พวกนี้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เฉินซียืนตัวตรงอยู่กลางอากาศดุจหอก ผมยาวของเขาปลิวไหวไปตามแรงลม ในขณะที่ชายหนุ่มปลดปล่อยกลิ่นอายกดดันออกมา
“ฮ่า ๆ! ข้าเดาว่าเจ้าคงเป็นมดปลวกที่มาจากภพมนุษย์สินะ!” อากู่หลัวระเบิดเสียงหัวเราะ เขาถือง้าวสีแดงเข้มไว้ในมือ ในขณะที่ปีกกระพือไปมาและปลดปล่อยหมอกสีดำ ทำให้ตัวคนดูเหมือนเทพอสูร
“กองกำลังเพียงเล็กน้อยนี้ไม่เพียงพออย่างแท้จริง หรือว่าราชาฉู่เจียงไม่ได้บอกเจ้าว่าควรนำคนติดตามมามากกว่านี้ เพื่อยามที่เจ้าเอาชีวิตมาทิ้งจะได้ไม่ตายเร็วเกินไป” เฉินซีกล่าวอย่างเย็นชา เขารู้สึกว่ามีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในอก และชายหนุ่มต้องการระบายมันออกไป
“เจ้ามนุษย์ผู้หยิ่งยโส! เจ้าช่างมั่นใจเสียจริง!” ยักษาเดินออกจากกลุ่มและยิ้มอย่างน่ากลัว “ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นกองเนื้อสับในสามลมหายใจ จำไว้ว่าข้าคือ…”
โครม!
อีกฝ่ายยังกล่าวไม่ทันจบ เมื่อเสียงหวีดหวิวอันรุนแรงซึ่งเกิดจากพลังหมัดดังก้องออกมา จากนั้นเส้นทางที่ลุกเป็นไฟฉีกผ่าท้องฟ้า และกวาดออกไปในขณะที่ถาโถมเข้าใส่ทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นี้
“เพลงหมัดเทพอัคคี!”
ในพริบตาต่อมา รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวของทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นี้ก็แข็งค้างอยู่บนใบหน้า ทันใดนั้นจมูกและปากของเขาก็ยุบตัวลง ในขณะที่กระดูกบนใบหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ และมีรอยกำปั้นปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน
ต่อจากนั้น หัวของเจ้าตัวก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นสมองและเลือดก็พุ่งกระฉูดออกมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เป้าหมายถูกระเบิดจนตายด้วยหมัดเดียว!
เฉินซีถอนมือออกและไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าไม่สนใจที่จะรู้จักนามของคนที่ไม่อาจต้านทานหมัดของข้าได้แม้แต่หมัดเดียวหรอกนะ”
ในตอนนี้ สีหน้าของทหารองค์รักษ์ยักษาทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี้ได้กลายเป็นเคร่งขรึมในที่สุด พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสหายของพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดีเมื่อครู่นี้ จะกลายเป็นศพเย็นยะเยือกที่ไร้หัวในชั่วพริบตา!
ยักษาตัวหนึ่งในกลุ่มไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พลันตะโกนอย่างบ้าคลั่งในขณะที่พุ่งเข้าหาเฉินซี
“เจ้ามนุษย์น่ารังเกียจ! เจ้ามันสมควรตายอย่างแท้จริง ที่กล้าอาศัยการลอบจู่โจมเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ! ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้วกินเจ้าทีละคำ! จำไว้ว่าข้าคือ…”
ปัง!
อีกฝ่ายยังกล่าวไม่ทันจบ เมื่อพลังหมัดรุนแรงได้ดังขึ้นอีกครั้ง และมันดูเหมือนกับพรมสีแดงเพลิงที่นำไปสู่นรก
แต่ทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นี้ได้เตรียมพร้อมมาก่อน ทั้งร่างของเขาพลุ่งพล่านด้วยปราณเซียนสีดำสนิท ในขณะที่ยกกำปั้นขวาขึ้น และชกออกไปเพื่อต้อนรับหมัดของเฉินซี ในเวลาเดียวกัน เจ้าตัวได้เผยรอยยิ้มเย็นชาในขณะที่ร่างสว่างวาบ ต้องการที่จะฉวยโอกาสโจมตีสวนกลับในฉับพลันนั้น!
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ใบหน้าของเจ้าตัวซีดลง เมื่อกำปั้นของพวกเขาปะทะกัน ทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นั้นก็รู้สึกว่ามีแรงมหาศาลไหลผ่านกำปั้น เหมือนกับมหาสมุทรที่ปกคลุมซัดสาดเข้าใส่ ขณะที่กำปั้นของทั้งสองกระแทกกันอย่างรุนแรง!
ทันใดนั้น นิ้วของทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นั้นก็แตกหักจนหงิกงอ จากนั้นฝ่ามือก็ฉีกขาดออกจากกัน ก่อนที่เลือดสด ๆ จะสาดกระเซ็นออกมา
ยักษาผู้นี้จับแขนขวาของตน พร้อมกับปล่อยเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และถอยร่นกลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า …ที่น่าตกใจก็คือทุกครั้งที่ก้าวถอยหลัง ส่วนหนึ่งของร่างกายทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นี้จะระเบิด โดยเริ่มที่แขนขวาก่อน จากนั้นเป็นแขนซ้าย แล้วตามมาด้วยหน้าอกและศีรษะ…
ตู้ม!
เมื่อก้าวถอยหลังก้าวที่เจ็ด ร่างกายของทหารองค์รักษ์ยักษาผู้นั้นก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นเนื้อ และไหลลงสู่ทะเลทุกข์ราวกับน้ำตกสีเลือด ปรากฏเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นฉากนี้ ร่างของยักษาตัวอื่น ๆ ก็แข็งทื่อ ในขณะที่ม่านตาของพวกเขาหดตัว “นี่ไม่ใช่การลอบโจมตี แต่เขาก็ยังถูกทำลายด้วยหมัดเดียว ความแข็งแกร่งของเด็กมนุษย์ผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
ใบหน้าของอากู่หลัวมืดมนลง เขาจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาโหดเหี้ยม แล้วกล่าวว่า “ไอ้มนุษย์บัดซบ ข้าเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพ…”
“ไอ้พวกโง่บัดซบ หรือพวกเจ้าทุกคนจะต้องประกาศนามก่อนการต่อสู้ทุกครั้ง?” เฉินซีส่ายศีรษะขณะที่ขัดจังหวะอากู่หลัว ในใจคิดว่าสติปัญญาของยักษาเหล่านี้มีปัญหาหรือไม่?
——————————————-