บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - บทที่ 43 เสด็จอาค่อนข้างหยิ่งผยอง
บทที่ 43 เสด็จอาค่อนข้างหยิ่งผยอง
จวินหยวนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไว้ ปรากฏเพียงริมฝีปากที่เห็นได้ชัดว่ายากที่จะเข้าใกล้ได้
เขารูปร่างสูงเรียว เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ดูสูงกว่าเย่จายซิงหลายเท่าเลยทีเดียว อีกทั้งการดำรงอยู่ของเขาก็ยังค่อนข้างรุนแรงด้วย ตอนที่ไม่มีคำพูดใดนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันมาก
ดูเหมือนว่าเขากำลังโมโหที่นางจะคืนเงินให้เขา หรือว่าโมโหที่นางทิ้งเหยียนเฟิงเอาไว้แล้วแอบหนีออกไป?
เดิมทีนางไม่อยากขึ้นเกี้ยวของเขา แต่เพราะถูกเขาจูงมือพาขึ้นมา มิเช่นนั้นนางก็กลับไปเองแล้ว
เดิมคิดว่าเขาจะมาไต่ถามความผิดเสียอีก ใครจะไปคาดคิดว่าพอถึงหน้าจวนแม่ทัพ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย เอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นหลับตาทำสมาธิ
เกี้ยวหยุดลง เย่จายซิงรีบกระโดดลงไปในทันทีแล้วหันหน้ากลับมาแล้วกล่าวว่า
“เสด็จอา ข้าขอตัวเข้าไปก่อน”
เขาลืมตาที่ลึกขึ้นมองมาที่นางชั่วครู่ สั่งการให้ให้ออกเกี้ยว แม้แต่คำเดียวก็ไม่ได้พูดกับนาง
ช่างหยิ่งผยองเสียจริง เย่จายซิงดูตำหนิ มองดูเกี้ยวที่จากไปไกลแล้ว นางจึงเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพ
“ช้าก่อน คุณหนูสี่ ฮูหยินเฒ่ามีธุระจะขอพบท่าน!”
นางเดินไปทางลานบ้านของตนเองได้เพียงไม่กี่ก้าว แม่นมเฒ่าคนหนึ่งก็พาคนรับใช้สองสามคนมาดักขวางหน้านางเอาไว้ดูท่าทางหยิ่งยโสและดูเหยียดหยามอย่างไม่ต้องปิดบังซ่อนเร้น
เย่จายซิงจำนางได้ นางเป็นหญิงรับใช้ที่แต่งมาเป็นเพื่อนฮูหยินเฒ่าแซ่หลิน เป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ตัวหนึ่งของฮูหยินเฒ่า
แม่นมหลินมองเย่จายซิงมองท่าทางเย็นชาแล้วกล่าวว่า
“คุณหนูสี่ยังยืนอึ้งอะไรอยู่เล่า ยังไม่รีบตามหญิงรับใช้ไปอีก!”
เย่จายซิงยิ้มที่มุมปากด้วยอาการเยาะเย้ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“ในเมื่อแม่นมหลินรู้ว่าตนเป็นหญิงรับใช้ก็ควรมีท่าทีของหญิงรับใช้ กล้าชี้นิ้วสั่งการกับนายหญิง ความกล้าช่างไม่ธรรมดาเลย”
แม่นมหลินยิ้มด้วยท่าทางเย็นชา นางเป็นคนอัปลักษณ์ที่ไร้ความสามารถคนหนึ่ง นับเป็นเจ้านายแบบไหนกัน!
นางกำลังคิดจะชี้หน้าด่าว่าด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังออกมา ทันใดนั้นเองเจ้าแดงจิ้กจอกที่อยู่ในอ้อมอกของเย่จายซิงก็โผล่กระโดดเข้ามา จากนั้นยื่นกรงเล็บที่แหลมคมออกไปข่วนหน้าของนาง
แม่นมหลินกรีดร้องออกมา บนใบหน้าทั้งสองด้านปรากฏเป็นรอยเลือดลึกๆ ลงไปหลายรอยจนเนื้อเปิดออกแล้วเลือดก็ไหลลงมา
โดยเฉพาะปากนั้นของนางฉีกยาวตั้งแต่แก้มจนถึงมุมปาก เจ็บจนนางอยากจะร้องตะโกนก็ไม่กล้าร้อง กัดฟันจนตัวสั่นเทาไปหมด
คนรับใช้คนอื่นพอเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตรงหน้าต่าพากันตกใจจนถอยหลังไป 10ก้าว สีหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน
เย่จายซิงเลิกคิ้วขึ้นเกิดความแปลกใจเล็กน้อย นางไม่ได้ให้จิ้กจอกน้อยลงมือ คิดไม่ถึงว่ามันจะปกป้องนายมันเช่นนี้ นี่ขนาดนางยังไม่ได้เข้ากันกับมันเลย
แต่อาจเพราะเป็นไปได้ว่ามันแสนรู้เกินไป รับรู้ได้ว่าตัวนางเองกำลังลังเลที่จะทำตัวให้เข้ากัน มันก็เลยเอาใจตนเป็นพิเศษ
ที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยก็คือจิ้งจอกน้อยประจบสอพลอถึงจุดที่ใช่เลย ตัวนางเองก็เตรียมที่จะสั่งสอนแม่นมหลินผู้นี้ มิเช่นนั้นใครก็กล้าที่จะมาขี่อยู่บนหัวนางได้
ตอนนี้จิ้งจอกน้อยข่วนใบหน้าของแม่นมหลินเละเทะไปหมด จึงกลายเป็นว่าตัดปัญหาให้นางไปเรื่องหนึ่งได้
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ค่อยๆ เช็ดกรงเล็บให้จิ้งจอกน้อย ดวงตาสีดำที่เช็ดชาจืดชืดคู่หนึ่งกวาดสายตามองไปที่คนอื่นๆ อารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ของคนพวกนี้ไม่กล้าที่จะปรากฏออกมาเลย
แม่นมหลินอยากจะด่าว่าสักสองสามประโยค พอขยับปากก็เจ็บไปถึงหัวใจเลยทีเดียว ในดวงตาที่ขุ่นมัวของนางแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองราวกับจะบอกว่าแล้วเราจะได้เห็นดีกันจากนั้นก็วิ่งไปทางเรือนคงจิตของฮูหยินเฒ่า หญิงรับใช้พวกนั้นก็รีบตามไปทันทีเช่นกัน
รอจนตอนที่เย่จายซิงค่อยๆ เดินไปถึงเรือนคงจิต หญิงรับใช้หลายคนกำลังใส่สีตีไข่กล่าวหาว่าเย่จายซิงสั่งการให้จิ้งจอกน้อยข่วนใบหน้าของแม่นมหลินอย่างไรบ้าง แม่นมหลินก็ได้เพียงแต่พยักหน้าอย่างสุดกำลัง ท่าทางต้องการให้ฮูหยินเฒ่าเป็นคนออกหน้าให้
ฮูหยินเฒ่าโมโหอย่างผิดปกติ จะตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เย่จายซิงช่างไม่ได้เห็นแก่หน้าของนางเลยจริงเชียว
เย่จายซิงเพิ่งจะเดินเข้าไป กาน้ำชาในหนึ่งก็โยนมาทางศีรษะของนาง นางค่อยๆ เอียงศีรษะหลบกาน้ำชาไปได้ แต่น้ำชาก็คงสาดเข้าที่ชายกระโปรงของนาง
สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้นมา ยายเสือแก่ผู้นี้พอร่างกายดีขึ้นหน่อยก็เริ่มกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว
“ท่านย่านี่ท่านทำอะไร? ข้าจำได้ว่ากาน้ำชาใบนี้เป็นกาที่ท่านพ่อมอบให้ท่านตอนงานแซยิดของท่าน มูลค่าล้ำค่า ท่านกลับเอามันมาทุบใส่ข้า หากท่านพ่อรับรู้ได้ในปรโลก ท่านเดาสิว่าเขาจะมาปรับความในใจกับท่านไหม?”
“มารผจญ!กล้าเอาพ่อเจ้าที่ตายไปมาข่มขู่คนแก่อย่างข้าเหรอ ข้าว่าเจ้าไม่อยากอยู่แล้วมั้ง!”
สีหน้าของฮูหยินเฒ่าดูอึมครึมไป ชี้ไปทางแม่นมหลินแล้วกล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้สัตว์ป่าตัวหนึ่งมาข่วนแม่นมจนเป็นสภาพนี้ได้ จวนแม่ทัพของพวกเราไม่มีคนเลวทรามที่ไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างเจ้าเช่นนี้!”
จิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวยิงฟัน เผยให้เห็นกรงเล็บที่แหลมคมมาทางฮูหยินเฒ่า
เย่จายซิงลูบคลำขนที่นุ่มลื่นของมัน สีหน้าเฉยเมย ดีที่นางไม่เจ้าของเดิม หากเจ้าของเดิมได้ยินคำพูดเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะใจหายขนาดไหนกัน
ฮูหยินเฒ่าเห็นว่านางไม่พูดอะไรก็เลยยิ่งด่าว่าหนักขึ้นอีก
“ของไร้ค่าที่เนรคุณ จวนแม่ทัพยอมที่จะเลี้ยงดูเจ้าและคนพิการอย่างเย่ยู่หยางนั้น พวกเจ้ายังไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณ เลวทรามชั้นต่ำเข้ากระดูกจริงๆ ……”
ดวงตาอันเย็นชาของเย่จายซิงมองมาที่ฮูหยินเฒ่า ฮูหยินเฒ่าถูกดวงตาที่ดำสนิทของนางจ้องอยู่ ทันใดนั้นมีความรู้สึกขนหัวลุกเกิดขึ้น ต่อมาก็พูดไม่ออก
“พูดจบแล้วหรือ? ท่านย่า เกรงว่าท่านจะจำผิดแล้ว จวนแม่ทัพเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านพ่อ หากไม่มีเทพสงครามอย่างท่านพ่อผู้นี้ก็ไม่มีจวนแม่ทัพ พวกเจ้าทุกคนต่างเป็นมอดที่ได้รับการเลี้ยงดูจากท่านพ่อของข้า เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักดีชั่ว กินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่ต่างอะไรกับหมูหมากาไก่ ตอนนั้นท่านพ่อของข้าเลี้ยงหมาหลายตัวจนคุ้นเคยกันแล้ว ยังรู้จักดูแลบ้านช่องด้วย”
น้ำเสียงของนางใสและเย็นชา อารมณ์เยาะเย้ยถากถาง
“พูดอะไรไร้สาระ! ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นป่วยเป็นโรคไร้หัวใจ! เจ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ พวกเราต่างหากที่รับเลี้ยงดูเจ้าและเย่ยู่หยางอยู่ ตอนนั้นเย่เจ๋อหยวนไม่ได้ทิ้งเงินเอาไว้ในคลังเลยแม้แต่นิด!”
มีเสียงโมโหของท่านรองเย่เจ๋อหย่งดังมาจากด้านนอก พอเข้ามาก็ชี้ไปที่เย่จายซิงว่านางไม่มีความเห็นใจ
“ในคลังมีหรือไม่มีเงินพวกเจ้าต่างหากที่รู้ดีที่สุด ตามที่ข้ารู้อย่างน้อยๆ ท่านพ่อเขาทิ้งเงินไว้แสนกว่าตำลึง อ๋อหรือว่าตอนนี้คลังไม่มีเงินแล้วจริงๆ เพราะว่าถูกพวกเจ้าใช้จ่ายสบายมือจนสะอาดหมดจดไปแล้ว”
เย่จายซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คนที่มากับเย่เจ๋อหย่งด้วยกันยังมีคนแซ่หวังและเย่เจียหยู
พอเย่เจียหยูกลับมาถึงก็รีบมาที่นี่ เป็นนางที่ให้คนรับใช้ไปส่งข่าว ทำให้ฮูหยินเฒ่าเรียกเย่จายซิงมาที่นี่ จุดประสงค์ของนางคือจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิง
ยิ่งเห็นจิ้งจอกแดงที่เย่จายซิงอุ้มอยู่ในอ้อมอกนั้น ในดวงตาของนางยิ่งเปล่งแสงแห่งความปรารถนาอยากแวววาว
“ยังกล้าต่อปากต่อคำอีก! ให้คนมาตบปากนางให้ข้าซิ!”
ฮูหยินเฒ่ากล่าวด้วยเสียงโมโห ทำให้หญิงรับใช้ชราสองสามคนจะเดินเข้าไปตบปากของเย่จายซิงให้เละเทะ ดูว่าวันหลังยังกล้าต่อปากต่อคำอีกไหม
ในคลังมีเงินเท่าไหร่มันใช่เรื่องที่นางจะสืบได้เหรอ
“ข้าดูว่าใครกล้า”
สายตาอของเย่จายซิงดูไม่อยากจะสนใจแล้วกล่าวว่า “องครักษ์ลับที่เสด็จอาให้ข้าไว้อยู่ด้านนอก เพียงแค่ข้าตะโกน เขาก็จะรีบเข้ามาในทันที เสด็จอาบอกกับองครักษ์ลับแล้วว่าคนที่คิดจะทำร้ายข้าไม่ว่าใครก็ตามฆ่าให้หมดไม่ต้องเหลือ พวกเจ้าอยากจะลองดูไหมล่ะ?”
หญิงรับใช้ชราได้ฟังก็ตกใจกลัวจนสั่นไปหมด ไม่มีใครไม่รู้ว่าความเย็นชาของอ๋องเซ่อเจิ้งนั้นโหดร้ายทารุณ เขาต้องการให้ใครตายก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ฮูหยินเฒ่าและพวกของเย่เจ๋อหย่งต่างพากันแสดงท่าทางที่หวาดกลัวออกมา
เย่เจียหยูซ่อนความโลภไว้ภายใต้ดวงตาจองนางแล้วกล่าวด้วยเสียงหัวเราะขำขันว่า
“ท่านย่า ท่านพ่อ พวกท่านอย่าล้อเล่นกับน้องสี่เลย น้องสี่คิดไปจริงจังใหญ่แล้ว”
และขณะที่กล่าวอยู่นั้นนางก็เดินมาทางเย่จายซิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“น้องสี่ พวกท่านย่าล้อเล่นกับเจ้าน่ะ จะไปตบตีเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ที่จริงแล้วในใจของท่านย่ารักเป็นดูเจ้าที่สุด ท่านย่าเข้มงวดกับเจ้าก็เพราะหวังว่าเจ้าจะดีวันดีคืน”
บทที่ 44 จิ้งจอกน้อย ข้าต่างหากที่เป็นเจ้านายที่คู่ควรกับเจ้า
เย่เจียหยูพูดไปพลาง แล้วก็ยื่นมือออกมาทางไหล่ของเย่จายซิงไปพลาง หวังจะโอบจับมือของนางเพื่อแสดงความสนิทสนมระหว่างพี่น้อง
แต่นางยังไม่ทันได้แตะต้องถูกเย่จายซิง จิ้งจอกน้อยก็กัดเข้าให้ หากไม่ใช่นางหลบได้ทัน บนมือจะต้องมีเลือดไหลซิบๆ เป็นแน่
“เจ้าสัตว์ชั่วตัวนี้สมควรตายเสียจริง!”
ฮูหยินเฒ่ากล่าวด่าว่าเสียงดังทันที
แม้ว่าอารมณ์ของเย่เจียหยูจะไม่พอใจนัก ทว่าด่าว่าก็ด่าไม่ได้ นางยังอยากต้องการให้จิ้งจอกน้อยรับนางเป็นนายน้อย ดังนั้นนางจึงรีบกล่าวว่า
“ท่านย่า ท่านอย่าโทษมันเลย อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ข้าทำให้มันตกใจ มันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ จะอ่านนิสัยของคนได้ดีที่สุด ไม่ได้ตั้งใจกัดคนจริงๆ หรอก”
“อะไรนะ? คิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกตัวนี้จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์?”
ฮูหยินเฒ่าตกใจอึ้งไป เย่เจ๋อหย่งและคนแซ่หวังก็ประหลาดใจเช่นกัน
เมื่อครู่เย่เจียหยูเพียงแค่ให้คนรับใช้ไปแจ้งข่าว ให้ฮูหยินเฒ่าเรียกเย่จายซิงให้มาที่นี่ แต่ก็ไม่ได้แจ้งว่าด้วยสาเหตุใด
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูจิ้งจอกตัวนี้จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ตาในตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาจริงๆ
แผ่นดินเทียนเหย้าแม้แต่เด็ก 3 ขวบยังรู้เลยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์คืออะไร คนที่สามารถรู้ใจอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นต้องเป็นคนที่อนาคตไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่
อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือบรรดาอสูรทั้งหลาย อยู่รองแค่เพียงอสูรทิพย์เท่านั้น
ในใต้หล้านี้ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนเท่าไหร่ที่ต้องการจะรู้ใจอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ปริมาณอสูรศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างน้อย บนแผ่นดินมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่รู้ใจเจ้าของอสูรสามารถนับได้เลย
และสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยก็คือ เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์เหตุใดจึงอยู่ในอ้อมอกของคนไร้ความสามารถอย่างเย่จายซิง
“ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เป็นสิ่งที่อ๋องเซ่อเจิ้งมอบให้น้องสี่น่ะ”
เย่เจียหยูกล่าว
พูดจบ นางแอบขยิบตากับท่านพ่อท่านแม่
เย่เจ๋อหย่งรีบกล่าวขึ้นว่า
“จายซิง เจ้าไม่สามารถฝึกตนได้ อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของเจ้าก็เป็นได้เพียงไข่มุกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นเท่านั้น เจ้าเอาอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านพี่รองเถอะ”
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าเอาอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านพี่รอง ไว้วันหลังพวกข้าจะมอบอสูรทิพย์ขั้นแรกที่สวยงามหนึ่งตัวให้เจ้า ให้เจ้าไปกอดเล่น”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนแซ่หวังพูดไปทางเย่จายซิง ดวงตาแห่งความโลภคู่นั้นมองไปที่จิ้งจอกน้อยอยู่
หากน้องหยูสามารถรู้ใจจิ้งจอกน้อยได้ ถ้าเช่นนั้นน้องหยูชาตินี้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว
“เอาอสูรทิพย์ขั้นแรกจากที่ไหนก็เห็นได้มาแลกอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่งบนโลกนี้ พี่สะใภ้รองช่างวาดฝันไว้สวยงามเกินไปแล้วมั้ง!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเด็กหนุ่มดังมีจากด้านนอกประตู
เย่ยู่หยางเดินตัดทางแสงเข้ามา รูปร่างของเขาซูบผอม เดินกะโผลกกะเผลก แต่แผ่นหลังยืดตรง คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาแน่วแน่ โหงวเฮ้งธรรมดาปกติแต่ดูสง่างามต่างจากคนปกติ ช่างเป็นช่ายหนุ่มที่รูปงามคนหนึ่ง
เย่จายซิงเห็นน้องชายรูปงามมุมปากก็ยกขึ้น น้องชายยังคงค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเอง
“พี่สะใภ้รองกำลังละเมอพูดคำพูดในฝันอยู่น่ะ”
นางกล่าวต่อจากน้องชาย
เย่ยู่หยางเม้มริมฝีปากยิ้มอยู่ชั่วครู่ คำพูดของท่านพี่มักจะแทงใจดำเสมอ
คนแซ่หวังกล่าวด้วยอาการโมโหว่า “พวกเจ้าพูดกับผู้อาวุโสเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ผู้อาวุโสอ่อนข้อให้พวกเจ้าก็เท่ากับว่าเห็นแก่หน้าพวกเจ้าแล้ว!”
“การเห็นแก่หน้าเช่นนี้ ท่านไม่ต้องให้ก็ได้ หากท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วรู้ว่าพวกท่านจะปากคอเช่นนี้ ไม่รู้จะต้องปวดใจขนาดไหนกัน!”
เย่ยู่หยางกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
เมื่อก่อนเขายอมอดทนมาตลอด แต่กลับแลกมาด้วยการได้คืบเอาศอกของบ้านรองและบ้านสาม
บัดนี้เขาไม่อยากทนแล้ว ไม่ได้คิดเพื่อตนเองก็ต้องทำเพื่อท่านพี่ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้านใหญ่ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนไร้ค่าไป ก็ต้องยืนหยัดเพื่อท่านพี่ของเขาเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่าจะกล้าต่อปากต่อคำ!ข้าว่าพวกเจ้าพี่น้องสองคนไม่อยากอยู่แล้วล่ะ!”
เสียงของฮูหยินเฒ่าเคร่งขรึมขึ้นอีก ดูท่าจะต้องมีการใช้กฎของตระกูลเป็นแน่
นางชี้ไปยังแม่นมหลินที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้วกล่าวกับเย่จายซิงว่า
“ดูสิ นี่ก็คือสิ่งที่จิ้งจอกน้องของเจ้าตัวนี้ทำ แม่นมหลินเป็นคนรับใช้เก่าแก่ที่คนแก่อย่างข้าไว้ใจที่สุด ตีนางก็เหมือนกับตีข้า ในเมื่อเจ้าดูแลอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ก็เอาอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านพี่รองของเจ้าไปเสีย มีเพียงพรสวรรค์เช่นนางแบบนี้จึงจะคู่ควรกับอสูรศักดิ์สิทธิ์!”
เย่จายซิงเม้มปากแล้วเหลือบตามองไปยังเย่เจียหยู จากนั้นกล่าวว่า
“ท่านพี่รองอยากได้จิ้งจอกของข้าหรือ?”
แน่นอนว่าเย่เจียหยูอยากได้ อยากได้จนจะคลั่งแล้ว แต่รูปลักษณ์ภายนอกของนางจะพังไม่ได้ ดังนั้นจึงกดความคลั่งในใจเอาไว้แล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
“น้องสี่ เจ้าอย่าโมโหเลย ที่จริงแล้วพวกท่านย่าก็คิดดีกับเจ้าเช่นกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของเจ้า เจ้าไม่มีทางทำให้มันรู้จักเจ้าของได้ วันข้างหน้าก็จะมีแต่จะดึงดูดสายตาละโมบจากคนภายนอก สำหรับเจ้าแล้วช่างเป็นเรื่องที่อันตรายมากทีเดียว
และอีกอย่างอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่กับเจ้า เจ้าไม่มีปัจจัยให้มันเพิ่มขั้นพลังเลย นี่เท่ากับเป็นการทำลายของโดยเปล่าประโยชน์ อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็จะอึดอัดเช่นกัน ไม่แน่ว่าวันไหนตัวมันเองอาจจะหลุดลอยจากเจ้าไป ยิ่งเป็นเช่นนี้ผลประโยชน์ก็ยิ่งไหลไปสู่บุคคลภายนอกไม่ได้เจ้าเอามันให้ข้า วันหลังข้าจะให้มันไปเล่นกับเจ้าบ่อยๆ เมื่อข้าแข็งแกร่งแล้วจึงจะสามารถปกป้องคุ้มครองตระกูลเย่และพวกเจ้าสองพี่น้องได้”
ดูแต่ละคำพูดที่พูดออกมา เป็นปี่เป็นขลุ่ยเป็นเหตุเป็นผล เป็นชุดๆ เลยเชียว
ไม่เสียแรงที่เป็นสาลิกาลิ้นทอง
แต่แม้ว่านางจะพูดอย่างชอบธรรมมากเพียงใด ก็ปิดบังซ่อนเร้นความโลภภายใต้จิตใจของนางไม่มิดหรอก
เย่จายซิงหาวออกมาด้วยความน่าเบื่อ หลังจากนั้นก็ปล่อยมือ ปล่อยให้จิ้งจอกน้อยหล่นลงไปที่พื้นเอง
“ในเมื่อเจ้าอยากได้ งั้นเจ้าก็ลองดูว่ามันยินยอมรับเจ้าเป็นนายหญิงของมันหรือไม่ เดี๋ยวจะมาหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าได้”
นางกล่าวออกมาด้วยความเกียจคร้าน พูดจบยกเท้าแล้วก็เดินไป แล้วถือโอกาสจูงมือน้องชายรูปงามไปด้วยกันเพื่อออกจากสถานที่ที่อบอวลไปด้วยควันดำชี่พิษ
อย่างเรือนคงจิตแห่งนี้
ปากคอของคนพวกนี้ช่างน่ารังเกียจนัก เสี่ยวยู่อย่าไปใส่ใจให้มากเลย
เห็นสองพี่น้องจะจากไปแบบนี้อย่างคาดไม่ถึง พวกของเย่เจียหยูยินดีใหญ่
ฮูหยินเฒ่ากล่าวด้วยเสียงขรึมว่า “นับว่านางปรับตัวได้ดี”
คนแซ่หวังกล่าวด้วยท่าทางประจบสอพอว่า “นางคงจะเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของท่าน ยังคิดว่านางจะหยิ่งผยองแค่ไหนเชียว สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าท่าทางสำนึกผิดแล้วจากไปหรือ”
ฮูหยินเฒ่าเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ฮือๆๆ!”
แม่นมหลินชี้ไปที่หน้าอันยับเยินของตนด้วยอาการเจ็บปวด
“แม่นมหลินไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าก็แค่บาดเจ็บภายนอก ในเมื่อเป็นเพราะอสูรศักดิ์สิทธิ์ของข้าที่ข่วน ยาขั้นสามที่ใช้รักษาบาดแผลเม็ดนี้เจ้าเอาไปกินซะ แค่ไม่กี่วันก็ดีขึ้นมากแน่”
เย่เจียหยูที่สีหน้าอ่อนโยนได้หยิบยาขั้นสามออกมาให้แม่นมหลิน 1เม็ด ช่างใจกว้างเสียจริง
ควรจะรู้ว่ายาขั้นสามเม็ดนี้ราคาไม่ต่ำเลย สามารถซื้อหญิงรับใช้เช่นแม่นมหลินแบบนี้ได้ 10กว่าคนเลย
แต่เย่เจียหยูถูกความคลั่งไคล้ครอบอยู่ แม้แต่นิดก็ไม่รู้สึกเสียดาย ดูเหมือนว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ที่อยู่ในห้องจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักของนางไปแล้ว
แม่นมหลินยินดียกใหญ่ ชาตินี้นางไม่มีทางได้กินยาขั้นสามได้แน่ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะใจกว้างเช่นนี้
ตัวยาในยาขั้นสามยังมีส่วนช่วยในการยืดอายุขัยได้ด้วย
เย่เจียหยูยอมสละเม็ดยา แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนไปทางเจ้าจิ้งจอกแดง
“จิ้งจอกน้อย เจ้าน่าจะรู้นิสัยใจคอคนอย่างดี เจ้าก็รู้ว่าหญิงสามคนเมื่อครู่นั้นไม่สามารถฝึกตนได้ เจ้าจะไปยอมรับนางเป็นนายหญิงไม่ได้ มิเช่นนั้นชาตินี้เจ้าจะไม่ได้อะไรเลย แต่ข้า ไม่ว่าคุณสมบัติในการฝึกตนหรือพรสวรรค์กลั่นยาล้วนแข็งแกร่งทั้งนั้น เจ้ายอมรับข้าเป็นนายหญิง ข้าก็จะให้เจ้าได้กลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ร้ายกาจที่สุด เจ้ากับข้าร่วมมือกันเป็นความภาคภูมิใจของพระนคร”
นางกล่าวสั่งสอนอย่างอดทนและจริงจัง
จิ้งจอกน้อยยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับไปไหน ในสายตาของเย่เจียหยูและคนอื่นๆ ตรงนั้นคิดว่ามันยอมรับในคำพูดของนาง
รอยยิ้มของเย่เจียหยูยิ่งมากขึ้นไปอีก ยื่นมือออกไปคิดที่จะอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่มือของนางจะสัมผัสไปถูกขนของมันนั้น มันกัดไปที่มือของนางด้วยความไวราวแสงก็ไม่ปานอย่างโหดร้าย เมื่อนางกรีดร้องออกมา จิ้งจอกน้อยก็ตดเหม็นดังปู้ดใส่นางไปหนึ่งที จากนั้นก็วิ่งลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไอ้สัตว์บ้าสมควรตาย!”
“รีบจับมันไว้……”
ฮูหยินเฒ่า เย่เจ๋อหย่งและคนอื่นๆ ตะโกนอย่างโมโห แต่ทันทีที่ส่งเสียงออกมาก็วิงเวียนศีรษะ ครอกแครกครอกแครกอยู่สองสามที ทุกคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดต่างหมดสติและล้มลงอยู่กับพื้น
และเย่เจียหยูที่ถูกจิ้งจอกน้อยกัดไปหนึ่งทีนั้น บริเวณที่โดนกัดก็เปลี่ยนเป็นรอยเขียวช้ำตามที่ตาเห็น
“มีพิษ!”
เย่เจียหยูกัดปลายลิ้นไม่ให้ตนเองหมดสติไปได้ รีบควักเอายาถอนพิษหนึ่งเม็ดออกมาด้วยความรวดเร็วแล้วกินลงไป ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็เป็นลมหมดสติไป
¬