บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 524
ตอนที่คนผู้นั้นถูกพาเข้ามา ใบหน้ายังมีท่าทีระแวดระวังอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าถาวจวินหลันเป็นสตรี ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ไม่กล้าแม้แต่สอดส่องสายตาไปมั่วซั่ว ยิ่งน่าอึดอัดมากกว่าเดิม
ถาวจวินหลันพูดเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแค่อยากพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้าเท่านั้น ข้าคือชายารองตวนอ๋องถาวซื่อ เจ้าเรียกข้าว่าชายารองถาวได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพบตวนชินอ๋องมาแล้ว นั่นคือสามีของข้า”
เมื่อได้ยินนางพูดเปิดเผยตัวตน คนผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมา มีความตื้นตันเล็กน้อย “ท่านคือชายารองถาว?”
ถาวจวินหลันตกใจ “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
คนผู้นั้นคุกเข่าลงทันที โขกหัวลงบนพื้นอย่างแรง “ถ้าไม่ใช่เพราะชายารองถาว แม่ชราและพี่น้องทั้งครอบครัวของข้าคงต้องหิวตาย ป่วยตายไปนานแล้วขอรับ! เพราะว่าครอบครัวของข้าถูกจัดให้ไปอยู่ที่พื้นที่สวนของท่าน ถึงได้มีชีวิตรอดขอรับ!”
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้ความเป็นมาของเรื่องนี้ จึงตกใจมากกว่าเดิม แต่พอได้สติกลับมาแล้วก็ส่ายหัวอีกครั้ง “เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้เลย ข้าเพียงทำเรื่องที่สมควรทำเท่านั้น อีกทั้งคนยกพื้นที่สวนให้พวกเจ้าอาศัยก็ไม่ได้มีข้าเพียงผู้เดียว”
“ข้ารู้ว่าชายารองถาวท่านเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา” คนผู้นั้นคุกเข่าอยู่กับพื้น อาจด้วยตื้นตันมากเกินไปจนมีสะอึกสะอื้นเจืออยู่เล็กน้อย “แล้วหลังจากนั้นท่านก็บริจาคยา และแจกอาหารอีก นั่นช่วยชีวิตคนได้มากเท่าไร? ข้าขอคำนับท่านแทนชาวบ้านเหล่านั้นด้วยเถิดขอรับ” พูดจบ ก็โขกหัวลงบนพื้นอย่างแรงอีกทีหนึ่ง
ถาวจวินหลันรีบให้คนประคองคนผู้นั้นขึ้นมา ที่จริงแล้วยิ่งนางรู้เรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด นางช่วยคน ไม่ใช่เพราะอยากทำความดี มากไปกว่านั้นคือนางอยากสั่งสมชื่อเสียงดีๆ ให้กับหลี่เย่ เหมือนกับครั้งนี้ นางออกแรงช่วยคนไปมาก แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัว นางจึงตัดใจไม่ไปสนใจช่วยเหลือชาวบ้านที่น่าสงสารเหล่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่คู่ควร
“ท่านอ๋องพูดกับเจ้าว่าอย่างไร?” ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าหลี่เย่พูดอะไรกับคนผู้นี้ไปแล้วบ้าง ดังนั้นจึงไม่กล้าเสี่ยงพูดออกไปก่อน แต่กลับถามหยั่งเชิงแทน
หลังจากคนนั้นรู้ฐานะของนาง ท่าทีก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เพียงแค่กระตือรือร้นและเคารพยำเกรงมากยิ่งขึ้น แม้แต่ความตื่นกลัวและระมัดระวังก็หายไปไม่น้อย สิ่งที่ทดแทนกันก็คือความเคารพยำเกรง ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ชิน “ท่านอ๋องบอกข้าน้อยว่า ให้ข้าน้อยพักอยู่ที่นี่สองวัน รอจนถึงเวลาเหมาะสม เขาจะพาข้าไปตีกลองแจ้งข่าวขอรับ”
พูดถึงกลองแจ้งข่าว ท่าทีของคนนั้นก็ดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย และตื่นเต้นมากกว่าเดิม ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ใครจะกล้าพูดถึงเรื่องนี้? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปตีกลองจริงๆ เลย
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปแล้ว วันนี้มีคนไปตีกลองแจ้งข่าวแล้ว จุดประสงค์เหมือนกับเจ้า ข้ามาด้วยอยากถามว่าตอนนี้เจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร? จะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป หรือว่าอยากรีบกลับบ้านเกิด”
คนผู้นั้นนิ่งไป จากนั้นก็ดีใจเป็นที่ยิ่งเพราะผลลัพธ์เกินคาด แต่จากนั้นก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา มองไปยังถาวจวินหลันอย่างหวาดระแวง “แต่ท่านอ๋องบอกว่ายังไม่ถึงเวลานี่ขอรับ?”
ถาวจวินหลันแค่นยิ้ม “สำหรับพวกเราแล้วถือว่ายังไม่ถึงเวลา เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้มีคนทำเรื่องนี้แทนเจ้าแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะคิดอยู่ต่อหรือกลับไป ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องเจ้า”
“ชายารองพูดเถิดขอรับ” น้ำเสียงเอาจริงเอาจังของถาวจวินหลันทำให้เขาตระหนกตกใจ รีบรับปากทันที
“ขอให้เจ้าลืมเรื่องที่เคยพบกับพวกเราไปด้วยเถิด อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น เพียงแค่บอกว่าเจ้ามาถึงช้าไป มีคนชิงตัดหน้าเจ้าตีกลองไปแล้ว ส่วนเรื่องอื่นขอให้ลืมทั้งหมด” ถาวจวินหลันลุกขึ้น ค้อมหัวทำความเคารพอย่างจริงใจ “นี่ถือเป็นความเห็นแก่ตัวของข้า เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องตามมาทีหลัง เจ้ารับปากข้าด้วยเถิด”
วิธีที่จะไม่ให้คนนี้พูดเรื่องช่วงเวลาหลายวันนี้ออกไปมีมากมาย วิธีแรกเป็นวิธีที่ประหยัดเวลามากที่สุด คือฆ่าคนปิดปาก วิธีที่สองใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ วิธีที่สามคือข่มขู่ วิธีที่สี่ขอร้องด้วยความจริงใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมและเสี่ยงอันตรายมากที่สุด
แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงเลือกวิธีที่สี่ นางคิดว่าในเมื่อคนนี้ยอมเสี่ยงอันตรายมาที่เมืองหลวงเพื่อแจ้งข่าวแทนชาวบ้าน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นคนมีคุณธรรม ใช้วิธีอื่นจะกลายเป็นการดูหมิ่นอีกฝ่ายหนึ่งไปเสียเปล่า
คนผู้นั้นตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง รับคำด้วยความจริงจัง “ข้าน้อยจะไม่บอกคนอื่นขอรับ ขอให้ชายารองถาววางใจ”
ถาวจวินหลันค้อมหัวให้อีกทีหนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านแล้ว”
“พูดอย่างไม่ปิดบังชายารองถาว แม่ชราที่บ้านของข้ารอดจากภัยพิบัติมาได้ ก็เคยบอกข้าว่านี่ถือเป็นสิ่งที่ชายารองถาวท่านประทานมาให้ ต่อจากนี้ไปพวกเราพี่น้องจะต้องทำความเคารพป้ายตำแหน่งของท่าน” เขาพูดให้ดูขำขัน แต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยเสียงสะอื้น “ไม่ใช่แค่แม่ของข้า แม้แต่คนอื่นอีกมากก็ซาบซึ้งตื้นตันต่อท่านไม่รู้ตั้งเท่าไร ขอเพียงท่านสั่งมาเพียงคำเดียว ข้าน้อยก็ยินยอมทำทุกสิ่งอย่างขอรับ”
‘บุญคุณอันเล็กน้อย ตอบแทนดั่งน้ำพุ’ แม้ว่าเป็นเพียงหลักการง่ายดาย แต่คนที่ทำได้นั้นกลับมีน้อยนิด ทว่าวันนี้คนผู้นี้กลับต้องการตอบแทนเช่นนี้ ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ
“หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว บอกมารดาของเจ้าด้วยว่าข้าฝากมาทักทาย ขอบคุณนางที่ยังนึกถึงข้า และยังอธิษฐานถึงข้า” ถาวจวินหลันพูดด้วยความจริงใจเป็นที่ยิ่ง นางย่อมต้องจริงใจ พูดตามจริงแล้วเมื่อได้ยินว่ามีคนซาบซึ้งสิ่งที่นางทำขนาดนี้ แล้วยังตั้งป้ายอายุยืนให้นางอีก นางต้องซาบซึ้งไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้วคนผู้นั้นก็หัวเราะขมขื่น “มารดาของข้าเสียชีวิตไปแล้วขอรับ อากาศหนาว คนชราไม่อาจทนอากาศหนาวเช่นนี้ได้หรอกขอรับ”
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป ฉับพลันนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้
“เกี่ยวข้องกับขุนนางทุจริตเงินบรรเทาทุกข์ภัยอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา
คนผู้นั้นพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “เกี่ยวข้องขอรับ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่นัก แต่ก่อนบ้านของพวกข้ายังถือว่าอยู่ในสภาพดี ในบ้านมีอาหารและเสื้อผ้าเหลือเก็บอยู่บ้าง บวกกับตอนที่ไปมาหาสู่กับเมืองหลวง จึงได้ของกลับมาจำนวนไม่น้อย แต่เพราะว่าบ้านพังลง ดังนั้นจึงไม่มีที่อยู่อาศัย ทำได้เพียงพึ่งพิงราชสำนักเท่านั้น ถึงได้… แต่ก็เพราะว่ามารดาอายุมากแล้ว ฤดูหนาวปีนี้อากาศหนาวมาก และยังไม่มีห้องให้หลบลมหนาว จึงมีคนแก่ชรามากมายที่เสียชีวิตไป ตอนนี้ที่ยังรอดก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าไร ที่น่าสงสารคือคนยากจนเหล่านั้น มีเด็กมากมายที่แข็งตายไปแล้วขอรับ บนร่างกายมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด”
หยุดไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นก็ถอนหายใจ “หากแค่อากาศหนาวก็แล้วไป แต่ที่สำคัญคือไม่มีฟืนมากพอให้ความอบอุ่น ในตอนนี้สิ่งที่เผาได้ก็มีเพียงแค่ซากไม้แห้งที่ขุดมาจากหิมะ ต่อให้เป็นเช่นนั้นทางราชการก็ไม่ยินยอม กลัวว่าจะมีของใช้บ้านเรือนถูกเผาไหม้ไปด้วย มีบางคนที่ได้เพิงหญ้ามา ซึ่งไม่เลวเลยสำหรับครอบครัวหนึ่ง แต่บางคนที่ไม่ได้แม้แต่เพิงหญ้า ก็ทำได้เพียงหลบอาศัยอยู่ในกองซากปรักหักพัง ที่สำคัญก็คือหากแค่หนาวก็ยังพอทน แต่ไม่มีอาหารให้กิน ไม่ได้รับความอบอุ่น แล้วจะทนได้อย่างไรขอรับ?”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไป เมื่อครู่นี้นางถึงสังเกตเห็นว่าบนมือของคนนี้เต็มไปด้วยรอยบาดแผลจากการโดนน้ำแข็งกัด แม้แต่บนใบหน้าก็ยังมีร่องรอยอยู่เล็กน้อยเช่นเดียวกัน แต่เดิมคิดว่าเป็นเพราะเร่งรีบเดินทางมา แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
นางเริ่มรู้สึกโกรธแค้น บรรดาขุนนางทุจริตเหล่านั้นเห็นประชาชนเป็นแค่เศษดินเศษหญ้าเท่านั้น! ไม่สนใจแม้แต่น้อย! ขุนนางเช่นนี้ ราชสำนักจะต้องเก็บเอาไว้ทำไม? แต่เดิมที่จะต้องทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ประเทศชาติเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ดูแล้วคนเหล่านี้กลับทำตรงกันข้าม หาประโยชน์จากเรื่องปากท้องของชาวบ้าน หลอกลวงราชสำนัก กัดกินรากฐานของชาติ!
อีกอย่างองค์รัชทายาทรับปากไว้แล้วว่าจะปกป้องขุนนางสกปรกทุจริตเหล่านั้น ต่อให้หลี่เย่ไม่เคยคิดว่าจะแย่งชิงอะไร นางเองก็ไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทจะเป็นคนปกครองแคว้นได้อย่างแน่นอน
องค์รัชทายาทเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเพื่อซื้อใจกลุ่มขุนนาง เพื่อเพิ่มกลุ่มผู้สนับสนุนของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น จึงไม่ห้ามปรามพวกเขาโกยเงินเข้ากระเป๋าตนเอง มองประประชาชนเป็นผักเป็นปลา! นี่เป็นเรื่องที่คนปกครองแคว้นสมควรกระทำอย่างนั้นหรือ? คนปกครองแคว้น ไม่มีแคว้นก็ไม่มีคนปกครอง แต่ถ้าไม่มีประชาชน แล้วจะเอาแคว้นมาจากที่ใด? แคว้นมีประชาชนเป็นรากฐาน คนที่ปกครองแคว้นก็ต้องทำเพื่อประชาชน
องค์รัชทายาททำเรื่องนี้ไม่ได้ ย่อมไม่เหมาะเป็นกษัตริย์! และยิ่งไม่ควรค่าต่อการเป็นกษัตริย์!
“ที่บอกว่ายังไม่ถึงแก่เวลาอันสมควร ก็เพราะว่าฮ่องเต้ส่งองค์รัชทายาทไปเพื่อสืบเรื่องนี้ และฎีกาขององค์รัชทายาทจะส่งมาถึงภายในสองวันนี้ พวกเราอยากดูว่าสุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทจะอธิบายตามความเป็นจริง หรือช่วยปกปิดเรื่องนี้ต่อไปกันแน่” หลังจากที่ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดอธิบาย “ทางพวกเราเริ่มแอบสะสมเสื้อนวม ถ่านฟืนและได้ติดต่อกับพ่อค้าไว้แล้ว ถึงเวลานั้นขอเพียงแค่ราชสำนักยินยอมปันเงินมาช่วย ก็สามารถส่งไปบรรเทาภัยได้ทันที”
พอพูดจบถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะเข้าใจความหมายของตนเองหรือไม่ เพียงพูดแค่ว่า “นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน เจ้าลองคิดดูก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะอยู่หรือว่าจะไป พวกเราก็ช่วยเจ้าจัดการได้ทั้งนั้น”
พอพูดจบถาวจวินหลันก็รีบก้าวฝีเท้าเดินออกมา กระทั่งดูเสียมารยาทเล็กน้อย แต่นางกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว นางรู้แค่ว่าครั้งนี้นางหลอกใช้ประโยชน์คนอื่นอย่างน่ารังเกียจ
นางยิ่งรู้ว่า แม้นฝ่ายตรงข้ามจะยังไม่เข้าใจความหมายของตนเอง แต่หลังจากลองพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ต่อให้ถูกปิดหูปิดตาอย่างไรก็เข้าใจได้
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเท่าไรนัก แน่นอนว่าที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย
ตลอดทางที่เร่งรีบกลับจวนนั้น ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าองค์หญิงเก้าส่งจดหมายมาให้ตนแล้ว ว่าองค์หญิงแปดยินยอมทำเรื่องนี้
ถาวจวินหลันถอนใจเบาๆ จากนั้นก็คิดได้ว่าจะต้องให้คนไปรายงานหลี่เย่ นางตัดสินใจมากมายขนาดนี้ ก็ควรให้หลี่เย่ทราบเรื่องนี้โดยเร็ว มิเช่นนั้นหากด้านหลี่เย่ตัดสินใจทำเรื่องที่ขัดกับนาง ก็มีแต่ต้องยอมรับผลลัพธ์เสียหายที่จะตามมา
แต่คนที่นางส่งไปกลับไม่ได้พบหลี่เย่ เพราะว่าตั้งแต่ที่หลี่เย่รู้ว่ากลองแจ้งข่าวถูกตีเขาก็ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบ กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกมา
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้หลี่เย่ย่อมไม่มีเวลามาสั่งคนที่อยู่ใต้บัญชาอะไรมากมายนัก ในความเป็นจริงแล้วหลี่เย่ทันสั่งเพียงประโยคเดียวเท่านั้น กลับจวนไปแจ้งให้ชายารองทราบแล้วก็รีบเข้าวังหลวงไปอย่างเร่งร้อน
หลังจากถาวจวินหลันรู้ข่าวแล้ว ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ หลี่เย่เชื่อใจนางเช่นนี้ แม้กระทั่งเรื่องที่ใหญ่ก็ยังกล้าฝากฝังให้นางทำ
แน่นอนว่านางเองก็ไม่เคยทำลายความเชื่อใจของเขา นางถามตัวเองว่าสิ่งที่นางตัดสินใจเหล่านั้นสามารถให้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังสำคัญมาก นางเองก็เชื่อว่า หากทำตามที่นางวางแผนเอาไว้ ผลลัพธ์ย่อมเหมือนกับที่นางคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านั้นแน่นอน
ปลดองค์รัชทายาท นี่คือเป้าหมายเพียงอย่างเดียวของนาง และเป็นผลลัพธ์เดียวที่นางตั้งหน้าตั้งตารอคอย