บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 551
เวลากระต่ายตื่นตูมกัดคนได้เหมือนกัน แล้วจะเอาอะไรกับโจรลอบสังหาร? ถ้าเช่นนั้นไล่สืบไปทีละคน จะต้องทำให้คนคนนั้นกดดันอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วโจรลอบสังหารคนนั้นก็จะทนต่อไปไม่ไหว แล้วเริ่มสติแตก รีบพุ่งออกไปกอดกู่อวี้จือเอาไว้ สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ให้มีดสั้นเล่มหนึ่งไหลลงมาในมือ อล้ววางพาดลงไปบนคอของกู่อวี้จือ
ตั้งแต่เริ่มคลุ้มคลั่ง ที่จริงแล้วเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ คนอื่นยังไม่ทันรู้สึกตัวก็ถูกเล่นงานเสียแล้ว
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังมีดสั้นที่พาดอยู่บนคอของกู่อวี้จือ ก็คิดว่าคงจัดการไม่ง่ายนัก นางจะไม่สนใจชีวิตของกู่อวี้จือได้อย่างไร?
หัวหน้าทหารยามมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่เดิมนั้นที่มีโจรลอบสังหารในจวนก็เป็นความผิดของเขาอยู่แล้ว กว่าจะจับโจรลอบสังหารได้ก็ยังไม่ง่ายอีก ไม่ใช่ว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่องหรืออย่างไร?
ส่วนกู่อวี้จือก็ตกใจจนร้องเสียงแหลม แต่ก็ไม่ได้กรีดร้องนานมากเท่าไร เพราะโจรลอบสังหารคนนั้นตะคอกเสียงเย็นใส่ทันที “เงียบปาก!”
ถาวจือตกใจมาก ถอยหลังไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ จากนั้นถึงพูดว่า “อวิ๋นกู่ เจ้ารีบปล่อยกู่อี๋เหนียงเดี๋ยวนี้! ปกติแล้วข้าดูแลเจ้าบกพร่องตรงไหน ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องเช่นนี้?”
ถาวจวินหลันคิดในใจ ‘แท้จริงแล้วบ่าวคนนี้ก็ชื่ออวิ๋นกู่’ จากนั้นก็กวาดตามองไปที่ไหล่ของอวิ๋นกู่ ไม่ได้ว่องไวมากอย่างที่คาดเอาไว้ ดูแล้วคงได้รับบาดเจ็บ
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีอะไรต้องพูดอีก เห็นได้ชัดว่าบ่าวที่ชื่ออวิ๋นกู่ผู้นี้เป็นโจรลอบสังหาร
“คนอื่นถอยออกไป” ถาวจวินหลันสะบัดมือพูดสั่ง อย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นโจรลอบสังหาร ยิ่งมีคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพิ่ม ก็ยิ่งสร้างโอกาสให้โจรลอบสังหารข่มขู่ได้ เหมือนกับกู่อวี้จือ
“บอกให้ทหารยามถอยออกไป ปล่อยข้าไป ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง!” อวิ๋นกู่ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว นางพลิกข้อมือให้คมดาบแนบไปกับคอของกู่อวี้จือ ความรู้สึกเยียบเย็นทำให้กู่อวี้จือตัวสั่นสะท้านกรีดร้องเสียงดัง
ถาวจวินหลันนวดระหว่างคิ้ว มองอวิ๋นกู่หัวเราะเสียงเย็น “ฉลาดดีนี่ แต่เจ้าคิดว่าจวนตวนชินอ๋องของข้าเป็นอะไร? อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
อวิ๋นกู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ่งคุกคาม “ทำไม ท่านไม่เอาชีวิตของกู่อี๋เหนียงแล้วหรืออย่างไร?”
“เป็นแค่อี๋เหนียงเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไรมิใช่หรือ?” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ ไม่ปรายตามองกู่อวี้จือแม้แต่น้อย “กู่ซื่อเองก็ไม่ได้รับความโปรดปรานอะไร ถ้าตายไปจริงข้าก็แค่จัดการหาให้ท่านอ๋องใหม่สองคนเท่านั้น มีอะไรให้คิดมากกัน? กลับเป็นเจ้า แฝงตัวอยู่ในจวนอ๋องมานานหลายปี แต่พวกเรากลับไม่สังเกตเห็นมาตลอด”
อวิ๋นกู่ยังไม่ได้ทำอะไร กู่อวี้จือได้ยินก็ตกใจจนรับไม่ไหว กู่อวี้จือแทบจะกรีดร้องออกมา “ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้! ไทเฮาเป็นคนประทานข้าด้วยตนเอง ท่านทำกับข้าแบบนี้ไม่ได้!”
ถาวจวินหลันทำหูทวนลม เงียบมองอวิ๋นกู่
ท่าทีของอวิ๋นกู่ยังถือว่าเรียบนิ่ง มองพวกทหารยามที่ถือกระบี่หน้าโกรธขึงรอบข้างอย่างเยาะเย้ย ยิ้มหยันดูถูก “หากไม่สนใจจริง ท่านคงจะให้คนลงมือไปนานแล้ว ทำไมต้องมาพูดไร้สาระกับข้า?”
“กลางคืนนั้นยาวนาน ในเมื่อมารบกวนเวลานอนแล้ว เช่นนั้นหาคนมาพูดคุยด้วยก็ถือว่าเป็นฆ่าเวลาที่ดีนัก” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง ข้าเองก็อยากรู้นัก หลายปีมานี้ที่เจ้าแฝงตัวอยู่ในจวนไม่มีการเคลื่อนไหวใด ทำไมวันนี้ถึงเผยตัวเล่า?”
อวิ๋นกู่นิ่งไปครู่หนึ่ง หัวเราะเสียงเย็น “เพราะท่านทำผิดต่อคนอื่น ถึงได้มีคนอยากเอาชีวิตท่าน!”
ถาวจวินหลันได้ยินก็เข้าใจทันที คนที่อวิ๋นกู่พูดถึงคงเป็นฮองเฮา หลายปีมานี้คนที่นางมีเรื่องด้วยก็มีเพียงฮองเฮาคนเดียวเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้คิดว่าเจ้าคงไม่ใช่โจรลอบสังหารหรอกใช่หรือไม่? น่าจะรับผิดชอบเรื่องส่งข่าวสารทำนองนี้ใช่หรือไม่? แต่เพราะต้องอยู่กับถาวจือที่ไม่ได้รับความโปรดปรานนัก เกรงว่าเจ้าคงสืบข่าวไม่ได้สักอย่าง ดังนั้นเจ้านายถึงทอดทิ้งเจ้า” ถาวจวินหลันพูดวิเคราะห์สบายๆ ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองหรือโมโหอะไรทั้งนั้น ทำให้คนที่อยู่รอบข้างนับถือมากขึ้นเล็กน้อย
คราวนี้อวิ๋นกู่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่มือข้างที่ถือมีดสั้นอยู่กลับสั่นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการตอบคำถามแล้ว ถาวจวินหลันจึงหัวเราะเบาๆ สายตาที่มองดูอวิ๋นกู่ก็ยิ่งลึกล้ำ ก่อนพูดออกมาช้าๆ ว่า “คิดว่า แต่เดิมเจ้าคงจะคิดจะเข้ามาลอบฆ่าข้าอย่างเงียบๆ ใช่หรือไม่? หรือว่าไม่ได้คิดมาฆ่าข้าแต่แรก? แต่คิดจะมาพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูออกไปอย่างนั้นหรือ? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นตั้งแต่แรก?”
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นกู่ไม่อยากให้โอกาสถาวจวินหลันคาดเดาออกทีละเล็กละน้อย สะบัดมีดสั้นในมือด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็พูดเสียงดังว่า “พูดไร้สาระอะไรกัน ปล่อยข้าไปหรือไม่ก็ตาย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘ตาย’ เสียงของอวิ๋นกู่ก็เปลี่ยนไปกลางคัน กลายเป็นเสียงสำลัก เสียงย่อมต้องแปลกประหลาดมากแน่นอน
เพียงไม่นาน สถานการณ์ของอวิ๋นกู่ก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่นี้ราวฟ้ากับเหว ไม่รู้ว่าทหารยามพุ่งเข้าไปจากทางไหน แยกอวิ๋นกู่และกู่อวิ้นจือออกจากกันอย่างรวดเร็ว แล้วกดอวิ๋นกู่แน่นไม่ให้ดิ้นหนีไปไหน
มีดสั้นถูกแย่งออกไป อวิ๋นกู่นั้นเป็นผู้หญิงอ่อนแอ แม้ว่าจะมีวิชาแต่ก็ไม่อาจสู้ชายฉกรรจ์ได้มิใช่หรือ? ถูกกดนิ่งอยู่บนพื้น ดูน่าสมเพชจนพูดไม่ออก แม้แต่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำไม่ได้
ถาวจวินหลันแย้มยิ้มมองอวิ๋นกู่ ก็เห็นชัดเจนมาก เมื่อครู่นี้ตอนที่มีดสั้นของอวิ๋นกู่ห่างออกจากคอของกู่อวี้จือภายในเสี้ยววินาที หัวหน้าทหารยามก็ปาหินจากไหนไม่รู้ไปที่บาดแผลของอวิ๋นกู่ หินก้อนนั้นมีขนาดเท่าไข่ไก่ แม้แต่เด็กโยนเล่นกันแล้วกระแทกโดนตัวก็เจ็บมาก ไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มแข็งแรงอย่างหัวหน้าทหารยามโยนออกไป และยิ่งไม่ต้องพูดตรงที่ปาเข้าไปเป็นบริเวณบาดแผลของคนอื่น
ความเจ็บเช่นนี้ แม้แต่เทพเซียนยังเจ็บจนตั้งตัวไม่ถูก และเพียงไม่นาน นายทหารยามคนอื่นที่จ้องอยู่นานแล้วก็พากันพุ่งเข้าไป แล้วจัดการแก้สถานการณ์นี้เป็นที่เรียบร้อย
ถาวจวินหลันปรบมือ มองหัวหน้าทหารยามอย่างชื่นชม “ว่องไวเลยทีเดียว อีกเดี๋ยวค่อยไปรับรางวัลจากคนดูแลจวน ช่วงเวลาที่กุมตัวนั้นมอบรางวัลให้พิเศษอีกสองชั่ง!”
เมื่อหัวหน้าทหารยามคนนั้นได้ยินก็ดูดีใจมาก แต่เดิมเมื่อพบเรื่องเช่นนี้เจ้านายไม่ทำโทษก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังได้เงินรางวัลอีก นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ
ถาวจวินหลันมองหัวหน้าทหารยามทีหนึ่ง ก่อนพูดอธิบาย “ในเมื่อไม่ใช่ความหละหลวมของพวกเจ้าปล่อยโจรลอยสังหารเข้ามาในจวน เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า และตอนนี้จับโจรลอบสังหารได้ ก็ถือว่าเป็นผลงานใหญ่ คุ้มที่จะให้รางวัล!”
นี่จะต้องแบ่งแยกการตบรางวัลและลงโทษอย่างเห็นได้ชัด หากโจรลอบสังหารเข้ามาจากภายนอกจวน เช่นนั้นก็เป็นเพราะว่ากลุ่มทหารยามทำงานไม่ดี ต่อให้ตอนนี้จับโจรลอบสังหารได้ นางก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายดายแน่นอน ย่อมต้องได้รับการลงโทษเป็นแน่ นี่ก็เพื่อให้จัดการกับคนภายในจวนที่เหลือได้ดีมากขึ้น
ถาวจวินหลันมองกู่อวี้จือที่ตกใจกลัวยังตั้งสติไม่ได้ ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “อีกครู่ให้หมอหลวงมาดูอาการสักหน่อยเถิด อย่าให้นางตกใจกลัวเกินไป สถานการณ์ภายในจวนไม่ค่อยปลอดภัยนัก เกิดเรื่องขึ้นตลอด พวกเจ้าจะต้องระวังตัวด้วย”
หลังจากพูดจบก็ไม่สนใจกู่อวี้จืออีก เพียงแค่หันไปสั่งหัวหน้าทหารยาม “ดูโจรลอบสังหารให้ดี วันพรุ่งนี้เช้าข้าจะจับนางเข้าวังหลวง”
หลังจากสั่งการทุกอย่างเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็กลับเข้าเรือนเฉินเซียงไป พูดตามจริงแล้วยืนทรมานอยู่ด้านนอกครู่ใหญ่ แม้ว่าจะสวมผ้าคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกชาไปครึ่งตัวแล้ว จนกระดูกข้อมือเริ่มเจ็บเล็กน้อย เท้าเองก็เช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ได้จากอาการเจ็บป่วยตอนนั้น เมื่อหนาวก็จะเป็นเช่นนี้ ใช้ยาแล้วก็ยังไม่ได้ผลนัก
พอได้ดื่มชาผลซิ่งร้อนๆ พลางนั่งผิงไฟอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วถาวจวินหลันก็ไปดูเด็กทั้งสองคน เห็นว่าทั้งสองหลับสนิทไม่มีอะไรมารบกวน ก็อดหัวเราะพูดตำหนิไม่ได้ “พวกเจ้าสบายเสียจริง” ตอนนั้นนางตกใจกลัวแทบตาย แต่เด็กทั้งสองคนกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวาดกลัว
แม่นมเพิ่งจะได้สติกลับมา ก็ยิ้มพูดว่า “ไม่รู้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นคงตกใจมาก”
ถาวจวินหลันถึงได้หันไปถามสถานการณ์ของอาอู่ ทางด้านอาอู่นั้นไม่ได้ตกใจใดๆ เหตุผลไม่ได้เป็นเพราะว่าอาศัยอยู่ที่เรือนข้าง แต่เป็นเพราะเรือนเฉินเซียงเก็บความลับได้เป็นอย่างดี คนอื่นจึงไม่รู้ตัวตนของอาอู่
อาจด้วยฮองเฮาคงคิดว่าเพียงคนของนางเปิดประตูก็พบตัวอาอู่ได้อย่างง่ายดาย แล้วก็พาอาอู่ออกไป แต่น่าเสียดาย ฮองเฮาวางแผนไว้อย่างดี แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์
ฮองเฮาคิดจะฆ่านางอยู่ทุกๆ ครั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นเพราะนางโชคดี แต่ก็เป็นเพราะว่าตัวนางระแวดระวัง ป้องกันอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็เป็นเพราะสวรรค์ไม่เข้าข้างฮองเฮา
ถาวจวินหลันรู้สึกพอใจเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงท่าทีของฮองเฮา อีกทั้งนางยังตัดสินใจได้ว่า ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่มีคุณธรรม นางก็ไม่ควรรักษาคุณธรรมไว้เช่นกัน ฮองเฮาอย่าได้คิดว่าจะเอาตัวอาอู่กลับไปได้ง่ายๆ เลย
เพราะว่าเหน็ดเหนื่อยอยู่นาน ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดจะนอนอีกต่อไป แต่กลับเรียกให้คนไปเตรียมชุดเข้าวังในวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันไปถามหงหลัวต่อ “บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หงหลัวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ เมื่อวานนี้บ่าวยังคิดว่า มีเรื่องมากมายขนาดนี้ควรจะกลับมาเข้าเวรแล้วหรือไม่ วันนี้ได้พบชายารองแล้ว ข้าขอพูดออกมาเลยดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็กลับมาเถิด” ถาวจวินหลันพยักหน้า “ห่างจากเจ้าแล้วข้าไม่ค่อยคุ้นชินนัก”
หงหลัวยิ้มกว้างสดใสทันที แต่จากนั้นท่าทีของนางก็เคร่งขรึมอีกครั้ง พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามเนิบๆ ว่า “ชายารองคิดว่าถาวจืออี๋เหนียงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันมองไปทางหงหลัว เลิกคิ้วน้อยๆ “เช่นนั้นหรือ เจ้าเองก็เห็นแล้วหรือ?”