บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 564
หลี่เย่ตกใจตื่นเพราะเสียงพลุ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นถาวจวินหลันเองก็หลับตาพิงหมอนอิงพักผ่อนเช่นเดียวกัน
จากนั้นเขาก็ได้สติกลับมา ทำไมนอนนานขนาดนี้ พอคิดได้ว่าตนเองหนุนขาของถาวจวินหลันอยู่ ในตอนนี้ขาของนางจะต้องชาอย่างแน่นอน
เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมถึงเผลอหลับไปได้?
พอรู้สึกว่าขาของตนเองเบาขึ้น ถาวจวินหลันก็ลืมตาตื่น มองดูท่าทีรู้สึกผิดของหลี่เย่ก็หัวเราะ “เห็นว่าท่านเหนื่อยแล้ว จึงทำใจปลุกท่านไม่ได้เพคะ”
เพราะคำว่า ‘ทำใจไม่ลง’ ทำให้หลี่เย่ที่แต่เดิมรู้สึกผิดพลันเปลี่ยนเป็นอบอบุ่น จึงกระชุ่มกระชวยขึ้น
“ต่อไปไม่ให้ทำเช่นนี้อีก” หลี่เย่ยื่นมือออกไปช่วยบีบขาของถาวจวินหลัน “อย่างไรปลุกให้ตื่น พอกลับไปถึงจวนก็นอนต่อได้ ตรงนี้ทั้งหนาวทั้งแข็ง ไม่เพียงแค่นอนไม่สบายเท่านั้น เจ้าเองก็ลำบากไปด้วย”
ถาวจวินหลันหัวเราะ “เพคะ ครั้งต่อไปข้าจะปลุกท่าน” ในใจนั้นกลับรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะมีครั้งต่อไปอีกหรือไม่? ปกติแล้วหลี่เย่ไม่มีทางปล่อยตัวขนาดนี้ นางเองก็ไม่ยินยอมเห็นหลี่เย่เหนื่อยจนถึงขั้นนี้อีกแน่นอน
นวดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็ถามอย่างนุ่มนวล “ยังชาอยู่หรือไม่?”
ถาวจวินหลันขยับเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ชาแล้วเพคะ”
หลี่เย่ยื่นหน้าออกไปมองข้างนอกทีหนึ่ง ก่อนยิ้มและพูดว่า “ด้านนอกกำลังจุดพลุกันแล้ว” พอพูดจบก็กระโดดลงจากรถม้าไป แล้วค่อยๆ ประคองถาวจวินหลันลงมาอย่างระมัดระวัง
ด้วยลมพัดแรงเกินไป และยังหนาวเย็นเสียดกระดูก ดังนั้นหลี่เย่ย่อมต้องโอบถาวจวินหลันเข้ามาในอ้อมอก ใช้ผ้ากันลมของตนเองคลุมร่างทั้งสองคนเอาไว้ด้านใน
ผ้ากันลมของหลี่เย่เป็นขนสัตว์ผืนใหญ่ ลมเช่นนี้ไม่อาจทะลุผ่านผ้ากันลมเข้ามาได้ ดังนั้นภายในผ้ากันลมจึงยังอบอุ่นอยู่ ต่างจากลมหนาวที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าผ้ากันลมผืนเดียวก็แบ่งโลกนี้ออกเป็นสองส่วนได้
ถาวจวินหลันสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างนึกเสียดาย ในสถานการณ์เช่นนี้นางรู้สึกถึงความอุ่นจากกายของหลี่เย่ได้ชัดเชน กลิ่นที่คุ้นเคยเช่นนี้แทบจะทำให้ใจของนางสงบขึ้นมาในทันใด
“ข้าคิดถึงท่านมากเพคะ” อาจด้วยร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ถาวจวินหลันจึงพูดคำนี้ได้เป็นธรรมชาติ เหมือนกำลังพูดว่าเช้านี้ทานอะไรดีอย่างไรอย่างนั้น
ริมฝีปากของหลี่เย่ยกยิ้มเล็กน้อย พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าเองก็คิดถึงเจ้าเช่นเดียวกัน” ที่จริงแล้วไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันเท่านั้น ยังคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจู คิดถึงจวนตวนชินอ๋อง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นแรงผลักดันเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ลำบาก
ถาวจวินหลันอดแย้มยิ้มไม่ได้เช่นกัน ในใจนั้นรู้สึกหวานซึ้งอย่างไม่มีที่เปรียบ คำพูดที่เหลือจึงหลุดออกมาจากปากง่ายกว่าเดิม “ต่อจากนี้ไม่อนุญาตให้ท่านห่างจากข้าอีกแล้วเพคะ ไม่มีท่านอยู่ข้างกาย ข้าหลับไม่สนิท ด้วยใจกังวลถึงท่านมากเพคะ”
หลี่เย่ทอดถอนใจเล็กน้อย ก้มหน้ามองถาวจวินหลัน จากมุมที่เขามองดูอยู่ก็เห็นว่าถาวจวินหลันเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้าหมองมัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง เขาก็กระชับถาวจวินหลันเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าเดิม ขยับให้เข้าใกล้เขามาขึ้น จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ดี ต่อจากนี้จะไม่อยู่ห่างจากเจ้าอีก” ในความเป็นจริงแล้วหากสิ้นองค์รัชทายาท เขาก็ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้อีก แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ยินยอมอยู่ห่างจากถาวจวินหลันอีก
เมื่อลองคิดถึงสองครั้งที่ถาวจวินหลันคลอดลูก ครั้งแรกเขาห่างไกลไปเป็นเวลานาน แม้แต่ตอนคลอดก็ยังกลับมาไม่ทัน ครั้งที่สองตอนเขาไปก็ยังไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์รอจนกลับมาก็ถึงเวลาใกล้คลอดแล้ว ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและโทษตนเอง
ไม่เพียงแค่รู้สึกต่อถาวจวินหลันเท่านั้น สำหรับลูกๆ ทั้งหลายก็เหมือนกัน เด็กๆ เหล่านั้นไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อคนนี้นัก นี่ก็ทำให้ใจของเขารู้สึกผิดเช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันแย้มยิ้มทันที ในดวงตาฉายแววเป็นประกาย “ต้องทำตามที่พูดนะเพคะ!”
รอยยิ้มสดใสของนาง ทำให้ใจของหลี่เย่สั่นสะท้าน มีเสี้ยววินาทีสั้นๆ ที่เหมือนเวลาย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่รู้ว่าเป็นนานเพียงใด ถาวจวินหลันเองก็เคยยิ้มเช่นนี้มาก่อน เขายืนมองอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกอ่อนยวบไปทั้งตัว
เขาจึงก้มหน้าลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ถาวจวินหลันตกใจ แต่เดิมคิดจะเตือนว่าข้างหลังยังมีบ่าวเดินตามมา อีกทั้งยังถูกคนมองอยู่ตลอด แต่ยังไม่ทันได้พูด กลับต้องตกอยู่ในภวังค์โดยพลัน
นานแล้วที่ไม่ได้พบหลี่เย่ นางย่อมอยากจะอยู่ใกล้หลี่เย่ให้มาก ย่อมไม่อาจสู้กับลมหายใจของหลี่เย่ที่เข้ามาปะทะได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงพลุระเบิดดังขึ้นมาอีก หลี่เย่ถึงได้ปล่อยถาวจวินหลันออกอย่างนึกเสียดาย แต่นิ้วมือก็ยังคงลูบไปมาอยู่บริเวณริมฝีปากของนาง เพราะตัดใจไม่ได้ แต่ก็ดึกแล้ว อีกทั้งด้านนอกยังหนาวมาก ด้วยถาวจวินหลันร่างกายอ่อนแอ จึงกลัวว่าจะรับไม่ไหว
“คิดว่าท่านคงทราบเรื่องในจวนอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่…พูดกับท่านอีกเพคะ” ถาวจวินหลันพูดอย่างไม่เก็บงำ “นิสัยของชายารองเจียงไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็ก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าอยากจะหานางกำนัลอาวุโสที่เหมาะสมสักคนมาสอนเซิ่นเอ๋อร์เพคะ”
แต่พอพูดไปแล้ว นางก็อยากจะกัดลิ้นตนเอง อยู่ดีๆ จะพูดเรื่องนี้ทำไม? แม้นหลี่เย่จะรู้ว่านางไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ และยิ่งไม่คิดจะกดหัวเจียงอวี้เหลียน แต่ตอนนี้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด อย่างไรก็ต้องเป็นการทำลายบรรยากาศลงบ้างกระมัง?
ถาวจวินหลันถอนหายใจ แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
หลี่เย่มองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ก็เข้าใจความคิดของนางในทันใด จึงหัวเราะน้อยๆ “เรื่องภายในจวนใน เจ้าตัดสินใจเองเถิด แต่อย่างไรเจียงซื่อก็มีบุญคุณต่อข้า กินนอนอยู่อาศัยก็อย่าละเลยนาง”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกสงบใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่คิดไปคิดมาก็ยังหลุดหัวเราะ “ท่านเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ? ไม่กลัวข้าจะเอาอนุภรยาของท่านไปขายหมดหรือเพคะ?”
หลี่เย่ได้ยินก็หัวเราะลั่น ก่อนส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่มีทางทำแน่ แต่ถ้าจะขายไปทั้งหมดข้าก็ไม่ติดใจอะไร ไม่ว่าอย่างไรต่อจากนี้ก็จะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก”
ถาวจวินหลันเข้าใจว่าที่หลี่เย่พูดถึงนั้นเป็นเรื่องใด อนุภรรยาส่วนมากของเขาล้วนเป็นคนอื่นยัดเยียดเข้ามา
“ทำเรื่องมากมายเช่นนี้ ข้าก็เพียงอยากให้ทุกเรื่องข้าสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองเท่านั้น” หลี่เย่ถอนหายใจออกมา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย “ตอนเด็กๆ มีเรื่องมากมายที่ไม่อาจตัดสินใจเองได้ ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทหรือไทเฮาต่างก็เอาแต่บอกว่าโตขึ้นก็จะดีเอง แต่หลังจากโตแล้วถึงรู้ว่าที่จริงแล้วก็ยัง ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนเดิม”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ ในใจรู้สึกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือของเขาเอาไว้ ยิ้มและพูดว่า “เพคะ ท่านจะต้องสำเร็จสมหวังอย่างแน่นอน ข้าจะรอวันนั้นเพคะ”
หลี่เย่พลิกมือของนางขึ้นมาจับ พูดเสียงเบาว่า “ดี ถึงเวลานั้น เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า”
พอกลับมาถึงเรือนเฉินเซียงก็ดึกมากแล้ว ถาวจวินหลันยิ้มและพูดว่า “พวกเราก็ถือว่าโต้รุ่งในคืนสิ้นปีแล้วเพคะ”
หลี่เย่ก็หัวเราะ “ต่อจากนี้พวกเรามาโต้รุ่งในคืนสิ้นปีด้วยกันเถิด” ที่จริงแล้วขอเพียงแค่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโต้รุ่งในคืนสิ้นปีก็ดี หรือทำอย่างอื่นก็ดี เขาเองก็มีความสุขทั้งนั้น
ยามพบเจอเรื่องอันตราย ก็จะกอดคอช่วยเหลือกันให้ผ่านพ้นไป ร่วมหัวจมท้าย ร่วมโชคชะตาเดียวกัน นี่อาจจะเป็นความคาดหวังของสามีภรรยากระมัง?
“อาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาทรุนแรงมากนัก ไม่ต้องจัดฉลองในจวนใหญ่มาก” ก่อนนอนหลี่เย่กำชับเสียงแผ่วเบา “หลายวันนี้ให้ระวังความเคลื่อนไหวในวังหลวงเสียหน่อย”
ถาวจวินหลันกลับถามอีกเรื่องหนึ่ง “เช่นนั้นเรื่องปลดองค์รัชทายาท…”
“คนไม่มีแล้ว จะใช่องค์รัชทายาทหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว อย่างน้อยก็เป็นพี่น้องกัน ก็ให้เขาจากไปอย่างสมเกียรติหน่อยเถิด” หลี่เย่ถอนหายใจด้วยท่าทีโศกเศร้าเล็กน้อย
ถาวจวินหลันพยักหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าสลดเล็กน้อย ทำเรื่องมากมายเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะมีจุดจบเช่นนี้ หากรู้จุดจบนี้ตั้งแต่แรก แล้วจะต้องลงแรงมากขนาดนั้นไปทำไม?
พอย้อนกลับมา หากไม่ทำเรื่องเหล่านั้น องค์รัชทายาทก็จะไม่ออกไปจากเมืองหลวง จะคงไม่พบเรื่องเช่นนี้กระมัง? พูดไปพูดมา สุดท้ายแล้วก็เกิดขึ้นเพราะทุกอย่างร้อยเรียงเข้าด้วยกัน
ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็รู้สึกว่า ที่จริงแล้วเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นอาจจะถูกกำหนดไว้อยู่แล้วก็ได้
คิดอย่างโศกเศร้ามากมายเช่นนี้ จากนั้นจู่ๆ นางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “แย่แล้ว อาอู่ยังอยู่กับข้าที่นี่อยู่เลยเพคะ”
หลี่เย่ใกล้จะหลับแล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าสงสัย “อาอู่เป็นใครหรือ?”
“ลูกชายขององค์รัชทายาทกับอี๋เฟย” ถาวจวินหลันพูดอย่างกระชับได้ใจความ
หลี่เย่ตื่นเต็มตาทันใด
ถาวจวินหลันจึงเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วขมวดคิ้วถามหลี่เย่ “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะคืนอาอู่ตอนไหนดีเพคะ?”
“พรุ่งนี้เช้าเถิด” หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ก่อนที่องค์รัชทายาทจะตายจะต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งของเด็กคนนี้เป็นแน่”
ถาวจวินหลันกลับกังวลเรื่องอื่น “ไม่มีองค์รัชทายาทแล้ว ฮองเฮาจะให้ฮ่องเต้แต่งตั้งอาอู่…”
หลี่เย่หัวเราะเบาๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ผู้นำอายุน้อยจะรักษาแผ่นดินได้อย่างไร? อีกอย่างเสด็จพ่อก็คิดจะปลดองค์รัชทายาทอยู่แล้ว แล้วยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับอาอู่มากนัก เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันถึงได้วางใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น อาอู่ก็ถูกแอบส่งไปยังบ้านนั้น ตอนที่ส่งอาอู่ไป ถาวจวินหลันก็สำรวจมองด้วยตนเอง ในใจรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง อาอู่อยู่ในจวนตวนชินอ๋องหลายวัน หลายวันมานี้นางเองก็เริ่มผูกพันกับอาอู่อยู่บ้าง ตอนนี้ต้องส่งอาอู่กลับไป ก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปอาอู่จะใช้ชีวิตอย่างไร?
หลังจากส่งอาอู่กลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ครุ่นคิด แล้วให้คนแอบไปส่งข่าวบอกหยวนฉงหวา ให้นางคิดหาวิธีพูดกล่อมองค์รัชทายาท เพื่อมอบเด็กคนนี้ให้นางเลี้ยง
ครั้งนี้หลี่เย่กลับนอนตื่นสาย ตอนที่ถาวจวินหลันตื่นขึ้นมา เขาก็ยังไม่ตื่น เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้คงจะเหนื่อยไม่น้อย
ถาวจวินหลันดูแล้วก็เจ็บปวดใจเป็นที่ยิ่ง รีบให้ห้องครัวเตรียมอาหารโปรดของหลี่เย่เอาไว้ให้พร้อม จากนั้นก็เริ่มวางแผนว่าจะบำรุงหลี่เย่อย่างไรให้ดี
ด้วยเป็นวันแรกของเดือนหนึ่ง วันนี้ย่อมต้องบูชาสวรรค์ บูชาบรรพบุรุษ ดังนั้นหลี่เย่จึงไม่ได้นอนจนกระทั่งตื่นเอง คำนวณเวลาตื่นแล้วก็รีบพาซวนเอ๋อร์และถาวจวินหลันเข้าวังหลวง
เขากับซวนเอ๋อร์ตามฮ่องเต้ไปบูชาสวรรค์ บูชาบรรพบุรุษ ส่วนถาวจวินหลันกลับไปเยี่ยมองค์รัชทายาท