บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 566
วันที่หกเดือนหนึ่ง องค์รัชทายาทก็สวรรคต ด้วยพระชนมายุยี่สิบแปดพรรษา มีผู้สืบทอดหญิงสี่ ชายหนึ่ง
ตอนที่องค์รัชทายาทสวรรคตเป็นเวลากลางดึก พอได้ยินเสียงระฆังแจ้งข่าวถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ต้องสะดุ้งตื่น แล้วมองหน้ากันก่อนหลี่เย่จะพูดออกมาช้าๆ ว่า “องค์รัชทายาทสวรรคตแล้ว”
หลังจากถาวจวินหลันส่งเสียงรับรู้ ฉับพลันก็พบว่าตนเองอึ้งจนพูดไม่ออก นิ่งอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ก็ลงจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้หลี่เย่เปลี่ยน “คราวนี้ท่านคงจะต้องเข้าวังแล้วกระมังเพคะ?”
องค์รัชทายาทสวรรคตแล้ว ในวังย่อมต้องจัดงานศพอย่างแน่นอน ฮ่องเต้ไม่อาจดำเนินการได้ด้วยตนเอง ดังนั้นหลี่เย่ที่เป็นพี่น้องย่อมต้องเข้าวังไปช่วย ส่วนนางกับซวนเอ๋อร์ต้องรอพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าวังหลวงไปทำความเคารพ กล่าวคำอาลัย
หลี่เย่รับคำทีหนึ่ง มีท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อย ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา เรื่องเช่นนี้บางทีเขาอาจจะต้องเวลาเยียวยากระมัง
รอกระทั่งส่งหลี่เย่ออกจากประตูจวนไป ถาวจวินหลันก็ล้มตัวลงนอนใหม่ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ แต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาทรมานอีก จึงนอนอยู่อย่างนั้น
ที่จริงแล้วองค์รัชทายาทกลับมาสิ้นใจในเมืองหลวงถือเป็นเรื่องดี มิเช่นนั้นแล้วหากสวรรคตด้านนอก หลี่เย่จะต้องถูกครหาเป็นแน่ แม้จะบอกว่าจวนตวนอ๋องไม่ได้มีท่าทีแย่งชิงตำแหน่งกับองค์รัชทายาทมาโดยตลอด แต่คนที่มีตามองก็จะพอรู้เรื่องที่แฝงอยู่ในนั้นได้บ้าง ดังนั้นหากองค์รัชทายาทสวรรคตด้านนอก เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยคิดว่านี่เป็นแผนของหลี่เย่
องค์รัชทายาทสวรรคตไปเช่นนี้ ฮองเฮาเองก็ไม่มีเหตุผลให้ดิ้นรนอีกต่อไป ไม่มีลูกชายแล้ว นางยังต้องดิ้นรนไปเพื่ออะไรอีก? ตอนนี้ฮองเฮาควรจะต้องทุ่มเททั้งหมดให้อาอู่ถึงจะถูก แต่อย่างไรอาอู่ก็ยังเด็กถึงเพียงนั้น กว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาและแรงกายมากเพียงใด
อีกทั้งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่องค์รัชทายาทเหลือเอาไว้ ฮองเฮาคงกลัวว่าจะมีคนเล่นงานอาอู่อยู่บ้างกระมัง?
ตามเหตุผลแล้ว นางเองก็ควรจะสงสารฮองเฮา ด้วยเป็นมารดาเหมือนกัน นางจึงเข้าใจความรักที่ฮองเฮามีต่อองค์รัชทายาท แต่เมื่อนางคิดถึงเรื่องที่ฮองเฮาทำทั้งหมด ก็ไม่ได้รู้สึกสงสารขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกว่า…สมน้ำหน้าและคิดว่ากรรมตามสนอง
ใช่แล้ว กรรมตามสนอง จากเรื่องทั้งหมดที่ฮองเฮาทำ กรรมตามสนองเพียงเท่านี้ยังถือว่าเบาไปด้วยกระมัง?
ตราบจนฟ้าสว่าง ถาวจวินหลันถึงได้ลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า เพราะว่าไว้ทุกข์ ดังนั้นย่อมต้องใส่เสื้อผ้าสีเรียบ แม้แต่เครื่องประดับก็ห้ามใส่ทองคำและอัญมณี มีเพียงแค่เงินและหยกเท่านั้นที่ใส่ได้ แต่ก็ยังต้องใช้อันที่ดูเรียบง่ายอยู่ดี
แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ใส่เพียงเสื้อนวมสีฟ้าอ่อนทั้งตัวเท่านั้น นอกจากจี้อายุยืนแล้วก็ไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปอีก
ซวนเอ๋อร์ย่อมต้องไม่เข้าใจว่าอะไรคือความตาย ถาวจวินหลันเพียงแค่สอนเขาตอนอยู่บนรถม้าว่า “อีกครู่หนึ่งพบผู้คน เจ้าห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะ คนอื่นมาหยอกเล่น เจ้าก็ห้ามหัวเราะเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? ข้าก้มหัวเจ้าก็ก้มหัวตาม”
ซวนเอ๋อร์พยักหน้าทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ได้กังวลเท่าไรนัก แม้ว่าซวนเอ๋อร์จะผิด เด็กเพียงคนเดียวก็ไม่มีคนมาเอาความอะไร ที่สำคัญก็คือไม่มีใครมีเวลามาเอาเรื่องเอาราวตอนนี้อย่างแน่นอน
ฮองเฮาประชวร ได้ยินว่าเป็นลมสลบไปแล้วหลายครั้ง ตอนนี้แม้ว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงก็ยังไม่ไหว ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงไปหมด
ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้พบฮองเฮา องค์รัชทายาทเป็นว่าที่กษัตริย์ ย่อมต้องมีการสลักวิญญาณไว้ที่วังบูรพา พระชายาองค์รัชทายาท หวังเหลียงตี้ และหยวนฉงหวาย่อมต้องมาคุกเข่าส่งวิญญาณที่นี่ แน่นอนว่าพระสนมคนอื่นขององค์รัชทายาทล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด แต่ด้วยมีฐานะตำแหน่งไม่สูง ดังนั้นจึงไม่ต้องคุกเข่าแสดงความขอบคุณให้กับคนที่มาแสดงความอาลัยเหมือนกับพวกพระชายาองค์รัชทายาท
ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์มาจุดธูป ก้มหัวให้องค์รัชทายาท รอจนแสดงความเคารพครบหมดทุกอย่างแล้วถึงได้มองพระชายาองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ก่อนพูดปลอบประโลมเสียงเบา “พวกท่านอย่าโศกเศร้าไปเลย องค์รัชทายาทสิ้นไปแล้ว แต่เด็กคนนั้นยังอายุน้อย ต่อจากนี้เลี้ยงดูเขาให้ดี องค์รัชทายาทจะได้จากไปอย่างวางใจเพคะ”
นี่เป็นเพียงแค่คำพูดตามมารยาทเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการขุดปมเศร้าของหวังเหลียงตี้ขึ้นมา หวังเหลียงตี้ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หยวนฉงหวาเองก็ใช้ผ้าเช็ดหน้ามาซับดวงตาอย่างโศกเศร้าเช่นเดียวกัน แต่ถาวจวินหลันรู้ว่าหยวนฉงหวาคงจะไม่ได้รู้สึกเศร้าแม้แต่น้อย
กลับเป็นพระชายาองค์รัชทายาทที่ดูสงบนิ่งมากที่สุด เหลือบตามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง แม้แต่ริมฝีปากของพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ได้ยินพระชายาองค์รัชทายาทพูดว่า “ขอบใจความหวังดีของชายารองถาว องค์รัชทายาทที่อยู่บนสวรรค์ต้องรับรู้เป็นแน่ คิดว่าเขาก็ต้องคาดหวังเช่นนี้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่ไปคุกเข่าตรงตำแหน่งที่นางกำนัลนำทางไป องค์รัชทายาทถือเป็นว่าที่กษัตริย์ แม้จะบอกว่าไม่อาจเทียบกับฮ่องเต้ได้ แต่นางก็จะต้องมาคุกเข่าเคารพวิญญาณ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องนานเกินไป แค่เพียงตามมารยาทเท่านั้นก็พอแล้ว
ถาวจวินหลันจับซวนเอ๋อร์ไว้ข้างกาย ไม่อนุญาตให้เขาเดินไปไหนตามใจชอบ
ผ่านไปไม่นานคนอื่นก็เริ่มทยอยกันเข้ามาไว้อาลัย อย่างเช่นองค์หญิงสาม และองค์หญิงสี่เป็นต้น
ถาวจวินหลันกลับรู้สึกขบขันที่องค์หญิงสามและองค์หญิงสี่มีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไป หลังจากจุดธูปแล้ว ไม่เพียงแค่หาที่คุกเข่าข้างกายนาง แล้วยังกดเสียงต่ำพูดคุยกับนางเสียด้วยซ้ำไป
“พูดไปแล้ว นี่เป็นชะตาทั้งนั้น” องค์หญิงสี่พูดเสียงแผ่ว “พี่สะใภ้รอง ท่านว่าจริงหรือไม่? องค์รัชทายาทไม่เคยได้รับความอยุติธรรมมาก่อน ได้เป็นองค์รัชทายาทอย่างง่ายดาย แต่ใครจะคิดว่าเขาต้องมาจากไปกะทันหัน ดังนั้นฟ้าคงกำหนดเรื่องราวทั้งหมดนี้ไว้แล้ว ควรจะเป็นของใครก็ยังต้องเป็นของคนๆ นั้น”
พอพูดจบองค์หญิงสี่ก็หันมาส่งยิ้มบางๆ ให้ถาวจวินหลัน มีท่าทีแฝงไว้ด้วยความเยินยอและประจบ
องค์หญิงสี่ไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกของตนเองได้ดี ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก นางจึงขมวดคิ้ว องค์รัชทายาทเพิ่งสิ้นไป งานศพยังไม่ทันจะจบลง องค์หญิงสี่ก็กระวีกระวาดร้อนใจอยากผูกสัมพันธ์กับนางเช่นนี้ องค์หญิงสี่มีความคิดเช่นไรมีใครบ้างที่ไม่รู้? แต่องค์หญิงสี่ไม่ปิดบังเช่นนี้ กลับทำให้คนดูแล้วพาลเสียหายไปถึงชื่อเสียงของตัวนางด้วย
ถาวจวินหลันย่อมต้องไม่ดีใจ
องค์หญิงสามก็พูดแทรกขึ้น “ซวนเอ๋อร์ยังเด็กนัก จะคุกเข่าไหวได้อย่างไร? ให้คนพาออกไปเดินเล่นดีกว่ากระมัง?” นางพูดด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย
ซวนเอ๋อร์กลับไม่พอใจ กำแขนเสื้อของถาวจวินหลันแน่น ถาวจวินหลันเองก็ไม่ทน พูดเรียบๆ ว่า “คุกเข่าส่งวิญญาณให้ลุงใหญ่ของตนเอง ถือว่าเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แม้ว่าจะอายุน้อย แต่ก็ต้องรู้จักมารยาทและความกตัญญู มิเช่นนั้นคนอื่นจะพูดเอาได้ว่าตระกูลโอรสสวรรค์อย่างตระกูลหลี่ไร้มารยาท”
องค์หญิงสาม องค์หญิงสี่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของถาวจวินหลัน ฉับพลันก็รู้สึกอับอาย องค์หญิงสี่กำลังจะบันดาลโทสะ แต่ก็ถูกองค์หญิงสามดึงเอาไว้ จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ไม่สนใจสองคนนั้นอีก กระหายในผลประโยชน์เช่นนี้ แล้วยังไม่รู้จักปิดบัง ก็ไม่แปลกที่ไม่ว่าองค์หญิงทั้งสองคนไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกียจ
ผ่านไปไม่นานพระชายาอู่อ๋อง และพระชายาจวงอ๋องก็มาถึง องค์หญิงสามและองค์หญิงสี่ก็เข้าไปหาเรื่องพูดคุยกับสองคนนั้น
หลังจากองค์หญิงแปดทำความเคารพเสร็จแล้ว ก็กวาดตามองรอบข้างสุดท้ายก็สังเกตเห็นถาวจวินหลัน จึงเดินเข้ามาหา ตอนที่เดินผ่านพระชายาอู่อ๋อง และพระชายาจวงอ๋อง องค์หญิงแปดก็ส่งเสียงฮึอย่างชัดเจน
พอองค์หญิงแปดคุกเข่าลง ถาวจวินหลันถึงถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น
องค์หญิงแปดถอนหายใจ “ท่านไม่ยินหรือ พวกนั้นกำลังพูดถึงท่าน ท่านลองดูเถิด ผ่านไปอีกไม่นานชื่อเสียงของท่านจะต้องเสื่อมเสียเพราะพวกนางเป็นแน่”
ถาวจวินหลันหัวเราะ ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “เช่นนั้นหรือ? คิดว่าแค่ไม่กี่วัน พวกนางก็คงจะมาประจบข้า ถึงเวลานั้นถึงจะเป็นการตบหน้าอย่างแท้จริง”
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง องค์รัชทายาทสวรรคตแล้ว องค์ชายรัชทายาทคนต่อไปจะเป็นใครทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้ว วันนี้องค์หญิงสาม และองค์หญิงสี่เข้ามาตีสนิทกับนาง ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย องค์หญิงแปดก็คงจะหลุดหัวเราะไปแล้ว จากความเข้าใจที่นางมีต่อองค์หญิงสาม และองค์หญิงสี่ เรื่องนี้พวกนางย่อมกล้าทำอย่างแน่นอน
“เอาเถิด ให้ซวนเอ๋อร์ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เด็กเล็กไฉนเลยจะมาทนด้วยกันได้เล่า? ให้คนส่งไปหาไทเฮาเถิด” องค์หญิงแปดพูดเสียงเบา หยิกแก้มซวนเอ๋อร์อย่างสนิทสนม ตั้งใจหยอกเขา “ทำไมซวนเอ๋อร์ไม่เรียกข้าเล่า? ไม่รู้จักกันเสียแล้วหรือ”
ซวนเอ๋อร์รีบอธิบาย “เมื่อครู่นี้ข้าเรียกแล้ว ท่านอาแปดไม่ได้ยินเอง”
ถาวจวินหลันมองรอบข้าง ส่ายหน้าพูดว่า “อย่างไรก็ต้องทนอีกหน่อย” รอจนคนเริ่มมากันเยอะแล้ว ค่อยให้ซวนเอ๋อร์ไปหาไทเฮาก็ยังไม่สาย
อีกอย่างนางเองก็อยากให้ซวนเอ๋อร์เรียนรู้เรื่องมารยาทกฎเกณฑ์ให้ดี จะได้รู้ว่าตอนได้ดีก็จะมีคนเข้ามาประจบประแจง ตอนตกต่ำต่างก็พากันซ้ำเติม
แต่หลังจากมีคนเข้ามาทักทายใกล้ชิด พูดจาประจบประแจงบ่อยครั้งจนทำให้รู้สึกคลื่นไส้นั้น ถาวจวินหลันก็เริ่มรู้สึกเสียดาย ให้ซวนเอ๋อร์พบเจอเรื่องเหล่านี้ถือว่าไม่เหมาะจริงๆ
ตอนที่กำลังคิดจะเรียกคน ไทเฮาก็ส่งคนมารับซวนเอ๋อร์พอดี เป็นจางหมัวหมัวที่เดินนำเข้ามาเอง บอกว่าเด็กยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เกรงว่าจะพบเจอสิ่งไม่ดีเข้า
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงให้จางหมัวหมัวพาซวนเอ๋อร์ไป
หลังจากซวนเอ๋อร์ออกไปแล้ว จู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มองไปรอบข้างไม่เห็นเงาขององค์หญิงเก้า ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “น้องเก้าไม่มาหรือ?”
องค์หญิงแปดได้ยินเช่นนี้ถึงได้รู้สึกตัว ฉับพลันก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน “ใช่แล้ว ทำไมไม่มากัน?”
ตามหลักแล้วนางต้องรู้เรื่องนี้ และต้องมาร่วมงานเท่านั้น นอกจากจะมีเรื่องที่ไม่อาจถอนตัวได้จริงๆ
ขณะที่กำลังพูดกัน องค์หญิงเก้าก็เข้ามาแล้ว แต่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
ถาวจวินหลันย่อมต้องเป็นกังวล จึงค่อยๆ ดึงองค์หญิงเก้ามาข้างกาย ถามว่า “ทำไมถึงเพิ่งมาตอนนี้เล่า?”
ใบหน้าขององค์หญิงเก้าแดงระเรื่อ พูดเสียงเบา “วันนี้ตอนกำลังเตรียมออกจากจวน ข้ารู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน จำต้องให้หมอมาจับชีพจรก่อน ผลออกมาถึงได้รู้ว่าตัวข้าตั้งครรภ์สองเดือนครึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันทั้งตกใจ ทั้งยินดี ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนาวย เกรงว่านางคงหัวเราะร่าไปแล้ว “นี่ถือเป็นเรื่องดี!”
องค์หญิงเก้าตั้งครรภ์ ตระกูลถาวก็จะมีผู้สืบทอดตระกูลต่อไป ย่อมถือเป็นเรื่องดียิ่ง นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
“ในเมื่อตั้งครรภ์แล้วจะมาทำไมอีก? ส่งคนมาบอกสักคำก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบาแฝงไว้ด้วยความกล่าวโทษบางส่วน “สามเดือนแรกเป็นช่วงที่อันตรายมากที่สุด เจ้าไม่ควรละเลยเช่นนี้”
องค์หญิงเก้ารีบพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี นี่ก็เพียงมาให้เห็นหน้าเท่านั้นเองเจ้าค่ะ อีกครู่หนึ่งข้าก็จะไปแล้ว” นี่เป็นลูกคนแรกของนาง นางย่อมไม่กล้าประมาทแน่นอน