บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 619
พอฮ่องเต้ประทับแล้ว ก็มีขุนนางจากกรมพระราชพิธีอีกคนก้าวขึ้นมา หยิบราชโองการแต่งตั้งออกมาจากถาดทองพลางเปิดออกอย่างจริงจัง อ่านขานออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เนื้อหาที่เขียนอยู่ในราชโองการนั้นถาวจวินหลันจำไม่ได้แม้แต่คำเดียว สมาธิทั้งหมดของนางเพ่งไปที่หลี่เย่เท่านั้น ต่อให้เห็นแค่หน้าด้านข้าง ไหล่ข้างหนึ่ง นางก็อดมองไม่ได้
หลี่เย่กลับมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้ก้มหน้าหรือแสดงความยินดี ตั้งใจฟังราชโองการอย่างสงบนิ่งและสง่างาม จากนั้นก็ก้มหัวทำความเคารพฮ่องเต้ด้วยการนำของขุนนางประจำพิธี
ถาวจวินหลันย่อมต้องทำความเคารพด้วยเช่นกัน
จากนั้นฮ่องเต้ก็ลุกจากพระที่นั่ง หยิบตราหยกขึ้นมาจากถาดทองที่ราชบริพารส่งให้ ยื่นให้หลี่เย่กับมือด้วยท่าทางจริงจัง
หลี่เย่คุกเข่าน้อมรับ ท่าทีเคร่งครึม
ถาวจวินหลันเองก็คุกเข่าเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่วินาทีที่ได้รับตราหยกองค์รัชทายาท พิธีนี้ก็ดำเนินการเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
จากนั้นฮ่องเต้ก็พูดสั่งสอนแนะนำอีกเล็กน้อย พลางประคององค์รัชทายาทขึ้นด้วยตนเอง จากนั้นก็จูงมือนำองค์รัชทายาทขึ้นไปยังราชรถ พูดเสียงดังว่า “ไปปะรำพิธีบูชาสวรรค์”
ปะรำพิธีบูชาสวรรค์อยู่ในวังหลวง ปกติแล้วเอาไว้ใช้ดูดาว ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของวังหลวง ตอนนี้หลังจากไปที่ปะรำพิธีบูชาสวรรค์แล้ว พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทของหลี่เย่ก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว
ด้วยเพราะฮ่องเต้พาองค์รัชทายาทขึ้นนั่งราชรถ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงต้องนั่งเกี้ยวองค์รัชทายาทเพียงลำพัง ในขณะเดียวกันในใจของนางก็รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก การกระทำเช่นนี้ของฮ่องเต้หมายความว่าอะไรกันแน่?
อย่างไรหากยึดตามหลักเกณฑ์ ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อีกทั้งราชรถของฮ่องเต้ก็เป็นสิ่งแสดงฐานะ มีแค่ฮ่องเต้ที่นั่งได้ แต่ตอนนี้หลี่เย่กลับไปนั่งด้วย
ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลัน แม้แต่บรรดาขุนนางที่อยู่ด้านล่างก็อดตกใจไม่ได้เช่นเดียวกัน จากนั้นในใจก็มีแต่ความคิดผุดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะเวลาไม่เหมาะ พวกเขาคงจะต้องกระซิบกระซาบพูดคุยกันตรงนั้นเป็นแน่
แต่ต่อให้ไม่ได้กระซิบกระซาบ ก็อดลอบส่งสายตาให้คนอื่นไม่ได้
ฮ่องเต้กลับไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นส่งผลอะไรตามมา ท่าทียังคงเหมือนเดิม อีกทั้งยังจับมือหลี่เย่เอาไว้เหมือนเดิม ใบหน้าสงบนิ่งแล้วยังแฝงไว้ด้วยความมีเมตตา
มีเพียงหลี่เย่ที่รู้ดีว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้มีท่าทีเช่นไร
ฮ่องเต้แทบจะบีบแขนเขาจนป่นปี้แล้ว ทันทีที่จับข้อมือของเขา ฮ่องเต้ก็ออกแรงบีบอย่างแรง ไม่มีความอบอุ่นและเมตตาแม้แต่น้อย มีเพียงความโหดเ**้ยมเท่านั้น
เขาไม่อาจสะบัดออกได้ อย่างแรกเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย อย่างที่สองเพราะฮ่องเต้ใช้แรงมากเกินไป
แต่เขาก็ยังพยายามขัดขืนเล็กน้อย แล้วยังเอ่ยเตือนฮ่องเต้เสียงเบา “เสด็จพ่อ นี่ไม่ถูกกฎนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้มีทีท่าสนใจ
สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ตอบโต้ ก้าวขึ้นไปบนราชรถตามความต้องการของฮ่องเต้
รอจนราชรถเริ่มขยับตัวไปข้างหน้า หลังจากมีระยะห่างระหว่างบรรดาขุนนางแล้ว เขาถึงได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของฮ่องเต้ “นั่งราชรถแล้วรู้สึกเช่นไร? สมกับที่เจ้าทุ่มเทกายใจมากหรือไม่?”
หลี่เย่นิ่งไปเล็กน้อย แทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ฮ่องเต้พูดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้หูหนวก ย่อมต้องฟังน้ำเสียงเย้ยหยันและเค้นถามของฮ่องเต้ออกเป็นแน่
หากเข้าใจเรื่องราว เขาย่อมไม่ควรตอบ เพียงแค่ก้มหน้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ท่าทีของฮ่องเต้กลับทำให้เขาไม่พอใจ สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อคิดว่าลูกควรรู้สึกเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
น้ำเสียงนั้นนิ่งสงบไม่สั่นเครือ แต่พอฟังดีๆ กลับแฝงไว้ด้วยความหยอกเย้า แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่อาจรับรู้ได้ถึงการหยอกเย้านั้น แต่ก็ต้องโมโหเพราะท่าทีนิ่งสงบไม่ได้รับผลกระทบของหลี่เย่
“ดูท่าทางเจ้าจะไม่กลัวข้าเลย” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ หากตอนนี้ข้าให้เจ้าลงไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ลูกจะเสียหน้าพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของหลี่เย่ยังคงนิ่งสงบ ทั้งยังยิ้มออกมาน้อยๆ ถามฮ่องเต้กลับอย่างยำเกรง “แล้วเสด็จพ่อจะทำเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ถูกถามก็นิ่งไป ความจริงแล้วเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ทำเช่นนี้หน้าตาของหลี่เย่เสียหาย แต่คนที่เสียหน้าไปพร้อมกันไม่ใช่เขาหรือ? อีกทั้งทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ราชสำนักสั่นคลอนเท่านั้นเอง
แต่ตอนที่ฮ่องเต้พบว่าตนเองทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ก็เริ่มไม่พอใจ
ทางด้านหลี่เย่เองกลับกวาดตามองใบหน้าค่อนไปทางดำคล้ำขอองฮ่องเต้ พูดเตือนอย่างหวังดี “เสด็จพ่อ พวกขุนนางกำลังมองอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม ในใจนั้นครุ่นคิดว่าควรจัดการกับหลี่เย่เช่นไร แต่กลับได้ยินเสียงหลี่เย่พูดออกมาเบาๆ “ที่จริงแล้ว ทำไมเสด็จพ่อจะต้องกังวลด้วยพ่ะย่ะค่ะ? หากพระองค์ไม่ยอมมอบอำนาจให้ลูก ลูกก็อยู่ที่วังตวนเปิ่นนิ่งๆ ก็ได้ ไม่คิดแย่งชิงอำนาจจากเสด็จพ่อแน่นอน” ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เร่งรีบ
แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกมา
ฮ่องเต้มองหลี่เย่ด้วยความตกใจ แต่ไม่เชื่อคำพูดนี้เป็นแม่นมั่น มีใครไม่ชอบอำนาจบ้าง? เป็นองค์รัชทายาทเพื่ออะไร? ไม่ใช่เพราะอำนาจอย่างนั้นหรือ? คิดถึงตอนแรกที่เขาเป็นองค์รัชทายาทมานานหลายปี ย่อมต้องรู้ว่าคนที่เป็นองค์รัชทายาทมีความคิดเช่นไร
แต่ฮ่องเต้ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดที่แท้จริงของหลี่เย่ เป็นความคิดที่แท้จริงจนไม่อาจจริงไปกว่านั้นได้ เขาไม่รีบจริงๆ สบางทีตัวเขาเองอาจจะเข้าใจสังขารของฮ่องเต้ดีกว่าตัวฮ่องเต้เองหลายส่วน
ท่าทีของหลี่เย่ย่อมทำให้ฮ่องเต้ไม่อยากสนใจอีก
เมื่อเดินทางมาถึงลานกว้าง ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ได้จงใจแสดงท่าทีสนิทสนมรักใครออกมาอีก เพียงแค่ก้าวนำขึ้นไปยังปะรำพิธีบูชาสวรรค์ก่อน
ถาวจวินหลันยังกังวลการกระทำเมื่อครู่นี้ของฮ่องเต้ อดเอ่ยปากถามไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะส่ายหน้าเบาๆ แสดงท่าทีไม่ให้นางพูด และพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร”
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะจะถามอะไรอีก ถาวจวินหลันจึงกลืนคำพูดลงไป
หลังจากนั้นหลี่เย่ก็ทำความเคารพสามครั้งก้มหัวเก้าที เคารพฟ้าดินอย่างเป็นทางการ ประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าเขาเป็นกษัตริย์คนต่อไปของแคว้นและรับลิขิตฟ้า
แน่นอนว่าตามกฎเกณฑ์แล้วนั้นแต่งตั้งองค์รัชทายาทจะต้องประกาศให้ทั่วแคว้น ฮ่องเต้แม้จะไม่ชอบหลี่เย่ แต่ก็ไม่กล้าแหกธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ ยังคงประกาศราชโองการออกไปทั่วแคว้น
หลังจากบูชาสวรรค์เสร็จเวลาก็เป็นเวลาสายแล้ว เรื่องเหล่านี้แม้ว่าจะดูง่าย แต่พอทำจริงๆ กลับกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด
เพราะแสงอาทิตย์เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ หลังของถาวจวินหลันก็ยิ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจแอบยกชายเสื้อขึ้นมาสูดดมยาหอมให้สดชื่น ยังดีที่เตรียมยาหอมมาก่อน มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าในตอนนี้คงจะเป็นลมไปนานแล้ว
ยังดีที่ทนจนพิธีจบลง ถาวจวินหลันก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว ชุดพิธีมีหลายชั้น อีกทั้งเครื่องประดับ ปิ่นปักผมทั้งหลายที่อยู่บนร่างกาย ก็ยิ่งทำให้หนักเป็นอย่างมาก จะต้องทนนานเช่นนั้นแล้วยังต้องคอยรักษาท่าทางอยู่ตลอด ไม่ใช่เรื่องสบายเลยจริงๆ
แต่ภายในวังหลวงนั้นยังมีงานสมโภช ถือว่าองค์รัชทายาทเลี้ยงขุนนาง สานสัมพันธ์ระหว่างขุนนางใกล้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น งานเลี้ยงเช่นนี้ถาวจวินหลันไม่อาจเข้าร่วมได้ แต่สิ่งที่รอนางอยู่ก็เป็นงานเลี้ยงงานหนึ่งเช่นกัน จัดขึ้นเพื่อให้สตรีในวังหลวงและภรรยาของขุนนางได้รู้จักพระชายาองค์รัชทายาท
อย่างไรก็เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท ในอนาคตจะต้องเป็นฮองเฮา หน้าที่แต่เดิมนั้นคือการรวมสตรีมียศทั้งในวังและนอกวังเข้าด้วยกัน ดังนั้นงานเลี้ยงเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างมาก
หลังจากถาวจวินหลันกลับวังมาแล้ว ก็เร่งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบายตัวเล็กน้อย จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังงานเลี้ยง
ฮองเฮามาถึงแล้ว และหวังฮูหยินพร้อมคนอื่นก็มารอนานแล้ว ถาวจวินหลันเป็นคนสุดท้ายที่ไปถึง ด้วยเพราะเวลาถึงและฐานะของนาง พอเข้าไป ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่นางทันที
ถาวจวินหลันเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง ยิ้มน้อยๆ ดูสง่างามเป็นอย่างมาก คนเหล่านี้มองนางแล้วจะทำไม? ฐานะสูงส่งแล้วเป็นอย่างไร? นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาเหล่านี้ และยิ่งไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนข้างกาย
นางมุ่งหน้าเดินไปถึงเบื้องหน้าฮองเฮา ถาวจวินหลันทำความเคารพฮองเฮาอย่างเรียบร้อยถูกต้องตามประเพณี
อาจด้วยฮองเฮาต้องแสดงความสนิทสนม จึงยิ้มพลางประคองถาวจวินหลันขึ้นมา “บูชาสวรรค์เหนื่อยหรือไม่? พักหน่อยดีไหม?”
ถาวจวินหลันชะงักกึก สบตากับฮองเฮาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงพูดอะไรเพคะ? บูชาสวรรค์เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ หม่อมฉันจะรู้สึกเหนื่อยได้อย่างไรเพคะ?”
คำพูดของฮองเฮาเมื่อครู่นี้เป็นกับดักอย่างเห็นได้ชัด หากตอบว่าเหนื่อย นั่นไม่ใช่การกล่าวโทษหรืออย่างไร? นั้นไม่ใช่ไม่เคารพพระราชพิธีหรืออย่างไร?
อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ฮองเฮาพูดเช่นนี้ออกมาคิดอะไรอยู่กันแน่?
ถาวจวินหลันลอบหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ
ฮองเฮาไม่ใส่ใจ ยิ้มอย่างมีเมตตา “รอเจ้าอยู่นานแล้ว เจ้าไปทักทายทุกคนเถิด”
ถาวจวินหลันแสร้งไม่ได้ยินคำว่า ‘รอมานานแล้ว’ ยิ้มพลางหันไปเอ่ยทักทายกับคนอื่นๆ
คนอื่นย่อมต้องหันมาทำความเคารพถาวจวินหลัน “หม่อมฉันทำความเคารพพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ พระชายาองค์รัชทายาททรงพระเจริญ”
ถาวจวินหลันมองฮองเฮาทีหนึ่ง ส่งยิ้มให้กับทุกคน “ละทิ้งขั้นตอนไร้ประโยชน์ไปเถิด พวกเราเป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น อย่าเหินห่างเพียงเพราะฐานะเลย นี่ก็สายมากแล้ว ข้าว่าเริ่มงานเถิด”
นางไม่ได้ถามความคิดของฮองเฮา ก็ประกาศเริ่มงานเลี้ยงเอง นี่ถือว่าจงใจแบ่งแยกกับฮองเฮาแล้ว พอคิดอย่างจริงจังก็ดูไม่เคารพนบน้อมฮองเฮาเล็กน้อย
ฮองเฮากัดฟัน ในใจนั้นหงุดหงิด ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ฮองเฮาอย่างไรก็ไม่ใช่หญิงสาวอายุน้อยแล้ว เรื่องเท่านี้นางยังทนได้ ดังนั้นจึงต้องกดไฟแค้น ยิ้มรับปล่อยให้เรื่องผ่านไป
ส่วนคนอื่นๆ นั้นได้ยินก็แสร้งไม่ได้ยิน จะต้องรู้ว่าหลังจากเรื่องฮองเฮาปล่อยผม ถอดชุดตำแหน่งออก แล้วคุกเข่าขออภัย ชื่อเสียงของฮองเฮาก็ถดถอยลง บวกกับทางด้านตระกูลหวังเองก็ไม่มีทางให้การสนับสนุนได้อีก ดังนั้นจึงไม่มีใครมองฮองเฮาดีอีกแล้ว
เป็นฮองเฮาแล้วอย่างไร? สูญเสียลูกชายคนโตไป สูญเสียชื่อเสียง ในอนาคตคนที่เป็นผู้นำ ตัดสินใจเรื่องราวไม่ใช่ฮองเฮาเป็นแน่ เพียงแค่เรื่องนี้ทุกคนก็รู้ว่าตนเองจะต้องยืนอยู่ข้างใครแล้ว
พระชายาองค์รัชทายาทจะเย่อหยิ่งแล้วอย่างไร? นั่นเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท มารดาของแคว้นในอนาคต ใครจะกล้าละเลยกัน? ดูจากที่องค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับพระชายาแล้ว ประจบเอาใจพระชายาองค์รัชทายาทย่อมไม่ผิด นี่คือความคิดของทุกคน
ถาวจวินหลันย่อมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป หมุนตัวหันไปยิ้มให้ฮองเฮา “หม่อมฉันตัดสินใจโดยพลการ ฮองเฮาเหนียงเหนียงอย่ากริ้วหม่อมฉันเลยนะเพคะ”
ถาวจวินหลันเรียกว่า ‘ฮองเฮาเหนียงเหนียง’ อยู่หลายครั้ง ความห่างเหินที่แสดงออกมานั้นยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม สตรีมียศทุกคนนั้นมองดูอยู่ ในใจยิ่งเข้าใจมากกว่าเดิม ดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพระชายาองค์รัชทายาทองค์ใหม่และฮองเฮาคงไม่ดีเท่าไรนัก ใช่แล้ว องค์รัชทายาทไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฮองเฮา ไม่อาจพูดถึงความสนิทสนมได้ เช่นนั้นกับพระชายาองค์รัชทายาทเองก็ยิ่งไม่อาจพูดได้
พองานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนก็แยกย้ายไปนั่งประจำที่ ถาวจวินหลันก็ยิ้มเตือนฮองเฮาที่นั่งไม่ติดที่ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงดื่มก่อนเถิดเพคะ? ถือว่าหม่อมฉันแสดงความเคารพต่อฮองเฮาเหนียงเหนียง ขอให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ”
‘พระชนมายุยิ่งยืนนาน’ พอได้ยินคำนี้แล้ว คิ้วของฮองเฮาก็กระตุกอย่างแรง มองถาวจวินหลันที่ยิ้มอย่างสง่างามและอบอุ่นนิ่งทีหนึ่ง ฮองเฮายกจอกเหล้าขึ้นมาจิบหมดในอึกเดียว จากนั้นถึงได้ฝืนยิ้มให้สตรีมียศทุกคน “ทุกคนอย่าได้ทำตัวห่างเหิน ไม่ต้องฝืน เพลิดเพลินให้เต็มที่ วันนี้เป็นวันดี”