บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 653
หมอตำแยตกใจยิ่ง รั้งเด็กเข้ามาในอ้อมกอดถอยหลังลงไปตามสัญชาตญาณ ถาวจิ้งผิงก็กระโจนเข้าไปเช่นกัน เป้าหมายของเขาย่อมเป็นการปกป้องเด็ก ตอนนี้หากลูกถูกแย่งไปจริง พวกเขาต้องถูกจูงจมูกให้เดินตามเป็นแน่ อีกทั้งเด็กตัวเล็กเท่านั้น ให้เป็นอะไรไปไม่ได้
ถาวจิ้งผิงและหญิงชราคนนั้นปะทะกันโดยเร็ว อย่างไรถาวจิ้งผิงก็เป็นผู้ชาย เขาย่อมจับหญิงชราคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว
องค์หญิงเก้ามองดูอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง คว้าผ้าปูเตียงเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้ถาวจิ้งผิงใกล้จับหญิงชราคนนั้นได้อยู่หมัดแล้ว นางเองก็สบายใจไปเฮือกหนึ่ง แต่เดิมนางคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็จะยอมสละชีวิตของตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่า…
แต่เรื่องกลับพลิกผัน หญิงชราอีกคนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดเริ่มลงมือแล้ว นางจับหมอตำแยไว้ แล้วดึงแขนเด็กออกมา เลื่อนมือไปกุมคออ่อนนุ่มของเด็ก พร้อมกับตะคอกเสียงดัง “หยุด”
องค์หญิงเก้ากรีดร้อง ตกใจจนหน้าซีดเผือด แต่ยังมีแรงตะคอกกลับอย่างร้อนรน “เจ้ากล้าหรือ!”
องค์หญิงเก้าขนลุกไปทั้งตัว หัวใจแทบจะทะลุออกมาจากอก
ถาวจิ้งผิงตกใจ รีบหันไปมอง พอเห็นว่าลูกตนถูกบีบคอ ก็ลนลานทันที ฉับพลันความรู้สึกเจ็บก็ส่งผ่านมาจากข้อศอก พอก้มหน้าลงไปก็พบว่าตนเองถูกกรรไกรบาดเข้าที่ข้อศอกเสียแล้ว
ปากแผลไม่ได้ลึกมากนัก แต่ก็มีเลือดไหลออกมา ดูน่ากลัวไม่น้อย ถาวจิ้งผิงตัดสินใจกระชากแขนเสื้อออก จ้องไปทางหญิงชราคนนั้นจัดการพันผ้าปิดแผลอย่างหยาบๆ
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ หญิงชราสองคนนั้นเหมือนจะคลายกังวลลงบ้าง แล้วหญิงชราที่ทำร้ายเขาก็เอ่ยปากพูดว่า “ข้าไม่อยากทำร้ายท่านเลย แต่ใครใช้ให้ท่านผลีผลาม บุ่มบ่ามเองเล่า? ตอนนี้ท่านช่วยอยู่นิ่งๆ ด้วยเถิด”
หญิงชราอีกคนก็พูดเนิบช้า “พวกเราไม่ได้ขอมาก ขอแค่เตรียมรถม้าให้พวกเราหนึ่งคัน คุ้มครองส่งพวกเราออกไปนอกเมืองก็พอ แล้วข้าจะคืนเด็กให้พวกท่านทันที” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็กวาดตามองไปทั้งห้อง พูดเสียงเบา “มิเช่นนั้น…” นางออกแรงที่มือเล็กน้อย เด็กพลันก็ส่งเสียงร้องไห้
พอได้ยินเสียงเด็กร้อง องค์หญิงเก้าก็รู้สึกใจแตกสลายทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสงบใจได้ จึงพยักหน้าตอบตกลงเรื่องนี้อย่างกระวีกระวาดร้อนใจ “ได้!”
จากที่องค์หญิงเก้าดูแล้ว ขอแค่เด็กไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว
ถาวจิ้งผิงมององค์หญิงเก้า พยักหน้าตอบตกลงเช่นเดียวกัน “ได้” พูดจบก็ส่งเสียงให้คนเข้ามารับคำสั่งเรื่องเตรียมรถม้า
จู่ๆ หญิงชราที่เอากรรไกรทำร้ายถาวจิ้งผิงก็พูดว่า “ในเมื่อรีบเดินทาง จะไม่มีเงินทองเลยก็ไม่ได้ ต้องรบกวนนายท่านเตรียมเงินห้าร้อยชั่งให้พวกเราด้วย” พอพูดจบหญิงชราคนนั้นก็ยิ้มอย่างลำพองใจ ได้คืบจะเอาศอก
หญิงชราที่อยู่ข้างๆ มองมาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ถือว่ายอมรับ
ถาวจิ้งผิงไม่มีปัญหาเรื่องเงิน จึงพยักหน้ารับทันที “ได้” จากนั้นก็สั่งให้คนไปเตรียม แต่เขาจ้องมองหญิงชราสองคนนี้อยู่ตลอด ไม่ละสายตาแม้เสี้ยววินาทีเดียว
กลับเป็นองค์หญิงเก้าที่สังเกตเห็นแขนเสื้อของถาวจิ้งผิงถูกย้อมเป็นสีแดง จึงถามเสียงเบา “ให้เชิญหมอมาทำแผลหรือไม่”
องค์หญิงเก้าคล้ายใจสลายเป็นสองส่วน ส่วนแรกกังวลเรื่องลูก อีกส่วนกังวลเรื่องถาวจิ้งผิง
ถาวจิ้งผิงไม่สนใจแผลของตนเองแม้แต่น้อย ยังคงจ้อมองหญิงชราสองคนด้วยสายตาเย็นชา พูดเนิบๆ “ไม่เป็นอะไร ข้ายังทนไหว ไม่รีบ” บาดแผลร้ายแรงกว่านี้เขาก็เคยประสบมาแล้ว ตอนนั้นไม่มีหมอหลวงก็ทนมาได้มิใช่หรืออย่างไร นับประสาอะไรกับอดทนเพียงชั่วครู่เล่า?
ทว่าองค์หญิงเก้าเสียแรงจากการคลอดไปเยอะ และยังต้องทนประคองสติมาระยะหนึ่ง นางเริ่มทนรับความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวแล้ว
แม้ถาวจิ้งผิงไม่ได้มององค์หญิงเก้า แต่ก็รู้ว่าองค์หญิงเก้าต้องอ่อนแรงมากแล้วเป็นแน่ จึงพูดเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าฝืนเลย ยังมีข้าอยู่ นอนพักเสียหน่อยเถิด ตื่นมาแล้วพวกเราก็จะอยู่ที่บ้านกัน ลูกต้องปลอดภัยแน่นอน”
น้ำเสียงของถาวจิ้งผิงไม่ได้อ่อนโยนมากนัก ทั้งยังค่อนไปทางนิ่งสงบราบเรียบด้วยซ้ำไป แต่เมื่อดังเข้าหูองค์หญิงเก้าได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็สบายใจขึ้นไม่น้อย คำพูดของเขาน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าอะไร
องค์หญิงเก้าก็รู้ว่าตนเองเริ่มทนไม่ไหวแล้ว จึงส่งเสียงตอบรับเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่ยังคงฝืนทนอย่างสุดความสามารถ มองไปที่ลูก กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายลูกของตน
ถาวจิ้งผิงเหมือนมีตาหลังเห็นภาพนี้ก็มิปาน จึงพูดเกลี่ยกล่อมอีกครั้ง “เจ้าฝืนทนเช่นนี้จะยิ่งส่งผลเสียกับร่างกายเจ้า เชื่อข้าเถิด พักให้ดี มีข้าอยู่ตรงนี้ เชื่อใจข้า”
องค์หญิงเก้านิ่งไป จากนั้นน้ำตาก็รินไหลลงมา นางทำลายความหวังดีของถาวจิ้งผิงไม่ได้ จึงส่งเสียงตอบรับ พลางบังคับให้ตนเองหลับตาลง
ความจริงแล้วหลังจากร่างกายอ่อนล้าจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ถึงตนเองไม่อยากนอนก็ไร้ประโยชน์ ตอนที่ยังไม่หลับตาก็ยังดี แต่พอได้หลับตาลงองค์หญิงเก้าก็หลับลึกทันที แม้ว่านางจะพยายามทำให้ตนเองตื่นตัว แต่ก็ทำไม่ได้
ได้ยินเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอจากด้านหลัง ถาวจิ้งผิงก็ลอบถอนใจเบาๆ เขากลัวว่าองค์หญิงเก้าทนเช่นนี้ยิ่งส่งผลเสียกับร่างกาย อีกทั้งองค์หญิงเก้าเพิ่งคลอดลูก ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านไม่ได้ ในนอนหลับได้ก็คลายกังวลได้ช่วงหนึ่ง
ถาวจิ้งผิงเริ่มเจ็บบาดแผลน้อยลงแล้ว จึงปล่อยมือที่กดปากแผลออก ยิ้มให้หญิงชราสองคน พลางนั่งลงช้าๆ ถามว่า “เจ้าเป็นคนของใคร?”
หญิงชราทั้งสองคนไม่เอ่ยปาก เห็นชัดว่าไม่ยินยอมตอบคำถาม
ถาวจิ้งผิงก็ไม่ได้หงุดหงิด เพียงแค่หัวเราะ “เงินห้าพันชั่ง ซื้อความเข้าใจเป็นอย่างไร? ไม่เพียงแค่ให้เงินกับพวกเจ้า แล้วยังให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเจ้าด้วย”
ข้อเสนอนี้ย่อมเย้ายวนใจยิ่ง เห็นชัดว่าทั้งสองคนเริ่มสั่นคลอนแล้ว หญิงชราที่เอ่ยปากพูดเรื่องเงินกำลังอ้าปากค้าง แต่อีกคนก็สังเกตเห็น จึงเตะเข้าไปอย่างแรงเพื่อให้หุบปาก
รอยยิ้มของถาวจิ้งผิงค่อยๆ เย็นลง สายตาโหดเ**้ยม “พูดเช่นนี้พวกเจ้าคงไม่ชอบไม้อ่อน แต่ชอบไม้แข็ง ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมพูด ก็ทำใจให้ดีเถิด”
พอพูดจบถาวจิ้งผิงก็ผิวปาก
ตอนนี้องค์หญิงเก้านอนหลับลึก ย่อมไม่สะดุ้งตื่นเพียงเพราะเสียงเท่านี้
ฉับพลันก็มีคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ทำความเคารพถาวจิ้งผิง พูดว่า “เตรียมรถม้าและเงินพร้อมแล้วขอรับ”
ถาวจิ้งผิงพยักหน้า มองไปยังหญิงชราทั้งสองคน “เชิญ”
หญิงชราทั้งสองคนสบตากัน แต่ยังตกใจคำพูดของถาวจิ้งผิงที่ว่า ‘ทำใจให้ดี’ จึงไม่กล้าขยับเท้าไปไหน
“วางใจ ลูกชายของข้ายังอยู่ในมือพวกเจ้า” ถาวจิ้งผิงทิ้งประโยคนี้เอาไว้ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไปก่อน แต่ก็ยังเหลือคนเอาไว้เฝ้าองค์หญิงเก้า แน่นอนว่าคนที่เหลือเอาไว้เป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่ก็เป็นสตรีที่ไหล่ใหญ่ เอวใหญ่ รูปร่างบึกบึน
หญิงชราสองคนเห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าอยู่ต่อนาน รีบอุ้มเด็กออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน เด็กอยู่ในมือของพวกนาง ที่จริงไม่ได้กลัวว่าถาวจิ้งผิงจะทำอะไร อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายของเขา
พอคิดถึงเรื่องนี้ทั้งสองคนก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
แต่พวกนางไม่เห็นสีหน้ามืดมนเคร่งขรึมของถาวจิ้งผิง มิเช่นนั้นพวกนางต้องไม่คิดเช่นนี้ หรือก้าวออกจากห้องนี้ไปเป็นแน่
ไม่นานทั้งสองคนก็เห็นรถม้าคันหนึ่ง รถม้าขนาดใหญ่หรูหรา
หญิงชราที่อุ้มเด็กมีสีหน้ามืดครึ้มลงทันที ส่งเสียงเรียกถาวจิ้งผิงที่หันหลังให้นาง “นี่นายท่านหมายความว่าอย่างไร?” คนปกติไม่อาจนั่งรถม้าใหญ่โตหรูหราเช่นนี้ได้ หากนั่งรถคันนี้เพื่อหนีเอาชีวิต นั่นไม่เท่ากับโห่ร้องตะโกนว่า ‘ข้าอยู่ที่นี่ รีบมาจับข้าเร็วเข้า’ อย่างนั้นหรือ?
ถาวจิ้งผิงหมุนตัวกลับมา ด้วยแขนเสื้อขาดไป ดังนั้นจึงมีคนเอาผ้าคลุมมาให้เขา เพื่อไม่ให้เขามีสารรูปน่าสงสารเกินไป
เสื้อคลุมสีทองประกายเขียวขับให้ใบหน้านิ่งสงบของถาวจิ้งผิงเหมือนกับรูปสลัก สีหน้าไร้อารมณ์ แข็งกระด้างเย็นชา โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างยิ่งเรียบเย็นและมืดมน
ถาวจิ้งผิงเอ่ยปากเรียบๆ “ข้าไม่คิดจะปล่อยพวกเจ้าไป”
ทั้งสองคนตกใจ ขยับเข้าไปแนบชิดกันทันที จากนั้นคนที่อุ้มเด็กก็พูดขู่ “หรือว่านายท่านไม่อยากได้ลูกชายของท่านแล้วหรือเจ้าคะ?” พูดไปพลางก็ทำท่าจะบีบคอเด็กไปพลาง
ถาวจิ้งผิงไม่พูดจา แต่รอบข้างมีคนถือคันธนูออกมาเต็มไปหมด จับตามองพวกนางด้วยสายตาเย็นชา คนเหล่านี้เป็นนายทหารที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงรังสีอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากร่างจนไม่กล้ามองตรงๆ บวกกับแสงสะท้อนมาจากปลายธนูแหลมคม รู้สึกอย่างไรไม่ต้องพูดถึง
หญิงชราที่อุ้มเด็กเอาไว้มีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าลงมือบีบคอ
“ข้าให้พวกเจ้าสองทางเลือก อย่างแรกคืนเด็กมา และพูดความจริงทั้งหมด ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอด อย่างที่สองไปอยู่ในโลงกับลูกข้า ครอบครัวและคนในตระกูลของพวกเจ้า” เสียงของถาวจิ้งผิงดังขึ้น เย็นชาจนไม่เหมือนน้ำเสียงของคนเป็นพ่อ
หญิงชราทั้งสองคนนิ่งอึ้งไป ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็คิดไม่ถึงว่าถาวจิ้งผิงจะยอมทิ้งลูกชายของเขาแล้ว ความหมายของคำพูดนั้นคือหากพวกนางไม่ให้ความร่วมมือ แม้แต่เด็กก็ต้องถูกยิงตายไปด้วย
นี่เป็นคำพูดที่พ่อคนพูดได้จริงๆ หรือ? หรือว่าเด็กจะไม่ใช่ลูกของถาวจิ้งผิง?
ไม่เพียงแค่หญิงชราที่คิดเช่นนี้ แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คิดเช่นเดียวกัน
“เด็กเพิ่งคลอด จะตายก็ตายไป ข้าจะมีอีกเท่าไรก็ได้” เสียงเรียบนิ่งของถาวจิ้งผิงดังขึ้นอีก “ถึงองค์หญิงเก้ามีให้ไม่ได้ ก็ยังมีหญิงอีกมากมาย”
“องค์หญิงเก้าไม่มีทางยอม” หญิงที่อุ้มเด็กอยู่ตอบกลับอย่างเคร่งเครียด “หากเด็กตายไป นางต้องไม่ปล่อยไปเช่นนี้แน่!”
“นางก็จะต้องจัดการพวกเจ้าสองคนเก้าชั่วโคตร” พอพูดจบถาวจิ้งผิงก็หัวเราะ “พวกเจ้าฆ่าเด็กตาย นางไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่”
ทุกคนอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ มองถาวจิ้งผิงด้วยสายตาตื่นตกใจ