บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 663
บ่าวไพร่วิ่งถ่ายทอดคำพูดไปมาหลายรอบ ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย กินต้มถั่วเขียวเย็นถ้วยหนึ่งก็รู้สึกมีแรงขึ้นมา แต่ก็แอบบ่นรำพันไม่ได้ พระชายาองค์รัชทายาทประทานต้มถั่วเขียวให้ ไม่ได้คิดอยากให้วิ่งไปมาอีกหรือ? พระชายาองค์รัชทายาทกล้าทำกับฮองเฮาเช่นนี้ ถือว่าไม่เคารพยิ่ง
จากนั้นก็อดรู้สึกขมปากไม่ได้ ครั้งนี้ถ่ายทอดคำพูดไปอีก ฮองเฮาคงคงได้กริ้วจริงๆ หากพาลมาถึงพวกนาง… เป็นบ่าวไพร่จะเลือกอะไรได้? แม้ในใจจะกลัวมาก แต่ก็ทำได้แค่วิ่งต่อไป
ไม่รู้ว่าสวรรค์ได้ยินคำภาวนาของเขาหรืออย่างไร กลับไปครั้งนี้ ฮองเฮาไม่ได้ให้เขาวิ่งมาบอกอะไรถาวจวินหลันอีก แต่พูดออกมาตรงๆ ว่า “ในเมื่อพระชายาองค์รัชทายาทวางท่าเช่นนี้ ข้าก็คงต้องไปด้วยตนเองแล้ว”
ตอนที่ฮองเฮาพูดเช่นนี้ ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรเป็นพิเศษ คล้ายไม่ได้กริ้วโกรธ แต่ทุกคนที่ได้ยินฮองเฮาพูดคำนี้ต่างก็เย็นยะเยือกจนตัวสั่นทั้งที่อากาศร้อนเช่นนี้
ไม่มีใครเชื่อว่าฮองเฮาไม่ได้กริ้วจริงๆ ไม่ว่าใครเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องโมโหทั้งนั้น หากฮองเฮาอาละวาดยังดีเสียกว่า แต่ฮองเฮาไม่เพียงไม่กริ้ว แต่คิดจะไปหาถาวจวินหลันที่วังตวนเปิ่นด้วยตนเอง
เรื่องนี้มองอย่างไรก็แปลก
แต่เห็นชัดว่าฮองเฮาไม่ได้ล้อเล่น เรียกคนไปเตรียมเกี้ยวหามตรงไปที่วังตวนเปิ่นอย่างยิ่งใหญ่
พอถาวจวินหลันได้ยินว่าฮองเฮาจะมาก็อดตกใจไม่ได้ ความจริงแล้วนางคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทำเช่นนี้ จากที่นางดูแล้ว ต่อให้ฮองเฮาอยากพูดกับนางจริง หลังจากถูกปฏิเสธไปหลายครั้งก็น่าจะไม่ยอมลดตัวลงมา ได้แต่ปล่อยผ่านไป
อย่างไรภายในวังหลวงก็ยังมีดวงตาหลายคู่คอยจับจ้อง ฮองเฮาเป็นมารดาของแคว้น ไฉนเลยจะเสียหน้าได้?
แต่ฮองเฮาไม่เพียงแค่ลดตัวลงมา แล้วยังลงมาอย่างถึงที่สุด พูดได้ว่าเอาหน้ามาวางให้นางเหยียบเล่น
ถาวจวินหลันอดรู้สึกเคารพฮองเฮาไม่ได้ ความกล้าและใจกว้างไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้ ฮองเฮามีจิตใจเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ขึ้นมาถึงตำแหน่งฮองเฮาได้ และยังถืออำนาจส่วนใหญ่ไว้ในมืออีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีโหดเ**้ยม สร้างศัตรูมากเกินไป แต่ตอนนี้ผ่อนคลายไปหลายส่วน เกรงว่าหลี่เย่คงไม่มีโอกาสลงมือ
ถาวจวินหลันเดินออกไปต้อนรับฮองเฮาด้วยความสับสน
ฮองเฮามีท่าทีเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ประดักประเดิดหรือโมโหใดๆ แต่อย่างไรมนุษย์ก็มีความรู้สึก พอเห็นถาวจวินหลัน สีหน้าของฮองเฮาก็บูดบึ้ง ปากก็พูดฮึดฮัดเสียงเบา “พระชายาองค์รัชทายาท เจ้าช่างว่าท่าเสียจริง”
พอเห็นฮองเฮาเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็สบายใจไปเฮือกหนึ่ง เทียบกับฮองเฮาที่พูดจาระมัดระวังรอบคอบ ไม่ให้คนอื่นจับผิดได้ และคาดเดายาก นางยินดีเห็นฮองเฮาเป็นเช่นนี้มากกว่า จึงยิ้มน้อยๆ พูดอย่างจริงใจ “รบกวนฮองเฮาเสด็จมาด้วยตนเองแล้ว ต้องขอประทานอภัย แต่ไม่ทราบว่าฮองเฮาทรงมีเรื่องด่วนอันใด ถึงเสด็จมาด้วยตนเองเช่นนี้เพคะ?”
คำพูดของฮองเฮาเมื่อครู่นี้ดูเค้นถามและกล่าวโทษ หากคนกระจายเรื่องนี้ออกไป คงกระทบกับชื่อเสียงของนาง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงตอบแฝงนัยหลายส่วน ฮองเฮาเป็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าไร้เหตุผล
อย่างน้อยหากคำพูดเช่นนี้กระจายออกไปจริง ถึงนางไม่ได้ผิดทั้งหมด แต่ก็แสดงท่าทีวางท่าไปแล้ว จะมองอย่างไรนางก็ดูทำเกินไปจริงๆ
ลูกสะใภ้ไปทำความเคารพแม่สามีเป็นกฎตั้งแต่โบราณ ไม่มีแม่สามีที่ไหนมาหาลูกสะใภ้ แม้ฮองเฮาไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหลี่เย่ แต่ถ้านับเข้าจริงแล้วก็ถือเป็นมารดาใหญ่
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงมีความผิดอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ตกใจกับความเมตตาที่ไม่ทันตั้งรับ แต่เรื่องน่าปวดหัวก็ตามมาด้วย ฮองเฮาเดินทางมาเช่นนี้ ย่อมไม่อาจไล่กลับไปได้โดยง่าย
แต่ถาวจวินหลันยังทำหน้าเรียบเฉย ต้อนรับฮองเฮาให้เข้าไปในวังตวนเปิ่นอย่างกระตือรือร้น ทำหน้าที่ที่ ‘ลูกสะใภ้’ พึงกระทำ
พอนั่งลง ถวายน้ำชาแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้เอ่ยปากถามว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จมาด้วยเรื่องอะไรหรือเพคะ? หม่อมฉันเตรียมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปพอสมควรแล้ว หากเป็นเรื่องนี้ เกรงว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงคงมาเสียทีแล้วเพคะ”
ฮองเฮามองท่าทียิ้มแย้มสดใสของถาวจวินหลัน ก็ให้โมโหจนแทบจะพุ่งเข้าไปถลกหนังหน้าคนที่นางเกลียดเข้าไส้ แต่พอคิดถึงสภาพของตระกูลหวังในตอนนี้แล้ว นางก็ทำได้แค่สูดลมหายใจลึกเท่านั้น “ได้ยินว่าตระกูลถาวต้องการเรียกความยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ทราบเรื่องนี้หรือ? ใช่แล้วเพคะ ขอบพระทัยฮองเฮาเหนียงเหนียงที่ทรงเป็นห่วง”
“ข้าช่วยเจ้าได้” ฮองเฮาไม่ได้อ้อมค้อมกับถาวจวินหลัน พูดสิ่งที่อยากพูดออกมาตรงๆ
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”
“ตระกูลหวังมีส่วนข้องเกี่ยวกับเรื่องตอนนั้น แต่ไม่ใช่ตัวการสำคัญ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจัดการข้า แต่อย่าเอาตระกูลหวังมาเกี่ยวด้วย หากเจ้ายอมปล่อยตระกูลหวังไป ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร หากข้าช่วยได้ก็จะช่วยทั้งหมด” ฮองเฮาพูดเรียบๆ แม้น้ำเสียงดูอ่อนน้อม แต่ท่าทางกลับไม่ได้ยอมก้มหัวให้แม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันหุบยิ้มไป “ที่แท้ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็รู้ดี ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง”
“ข้าบอกแล้วว่าตระกูลหวังไม่ใช่ตัวการสำคัญ!” ฮองเฮาคล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มร้อนรน แต่แล้วก็นึกได้ว่านางโมโหถาวจวินหลันไม่ได้ น้ำเสียงจึงผ่อนคลายลง “ขอแค่เจ้าไม่ไล่เอาความเรื่องนี้ ข้าก็ช่วยเจ้าเรียกความยุติธรรมให้พ่อเจ้าได้”
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงใส่ใจเรื่องนี้ เกรงว่าตระกูลหวังคงไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเป็นแน่เพคะ แต่น่าจะเป็นตัวนำสินะเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะ เลิกคิ้วมองฮองเฮานิ่ง “ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลัวหรือเพคะ?”
ฮองเฮาถูกถาวจวินหลันเยาะเย้ยและโต้กลับเช่นนี้ ก็ให้นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยปากว่า “ขอแค่เจ้ายอม ข้าจะรับปากทุกเรื่อง”
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง โทษต้องมีต้นเหตุ หนี้ต้องมีเจ้าของ” ถาวจวินหลันเอ่ยเตือนเรียบๆ นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เป็นเสียงกังวาน ชวนให้น่าหงุดหงิดอย่างมาก
ฮองเฮาขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของถาวจวินหลัน
แต่เรื่องนี้เห็นชัดว่าฮองเฮาไม่อาจยอมแพ้ง่ายๆ ได้ นิ่งเงียบไปนาน นางถึงเอ่ยปากพูดช้าๆ “อำนาจสั่งการทหารแสนนายทางเหนือ แลกกลับเจ้ายอมปล่อยตระกูลหวัง นี่ถือว่าคุ้มค่า”
นี่คือเบี้ยต่อรองและอำนาจที่เหลืออยู่ของตระกูลหวังแล้ว ตระกูลหวังอาศัยผลงานทางทหารสร้างตระกูล ภายในกองทัพนั้นมีรากฐานมั่นคงซับซ้อน หลายปีมานี้บวกกับการปลูกฝังสร้างอำนาจในราชสำนัก ก็ยิ่งทำให้พึ่งพาช่วยส่งเสริมกัน นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลหวังถูกกดดันจนถึงตอนนี้แล้วยังทำให้คนระแวงอยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะเสนอเรื่องเช่นนี้
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปนาน ต้องยอมรับว่านางเริ่มลังเลแล้ว นางรู้ว่าสถานการณ์ของหลี่เย่ไม่สู้ดีนัก ด้วยเพราะฮ่องเต้ยังหวาดระแวงและไม่ยอมเสียอำนาจในมือ ที่จริงทำให้หลี่เย่อึดอัดเล็กน้อย เนื่องด้วยฮ่องเต้คอยขัดขวาง หลี่เย่จึงไม่กล้ามีปฏิสัมพันธ์กับขุนนางมากนัก ย่อมไม่มีวิธีดึงใจคน อย่างน้อยต่อหน้าก็เป็นเช่นนั้น ลับหลังแม้จะบอกว่าไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ถ้านานไป สุดท้ายคงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องอยู่ดี
หากมีกองทัพหนึ่งแสนนาย…สำหรับหลี่เย่แล้วก็เหมือนกับเสือติดปีก
ฮองเฮาคำนวนจุดอ่อนของนางมาอย่างแม่นยำ แม้แค้นของพ่อแม่สำคัญ แต่อย่างไรพ่อแม่ก็ตายไปแล้ว ทว่าหลี่เย่ยังมีชีวิต คนตายจะเทียบคนเป็นได้อย่างไร?
อีกทั้งฮองเฮาก็ไม่ได้ห้ามให้นางแก้แค้น เพียงแค่ปล่อยตระกูลหวังไป
เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไม่คล้อยตาม ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองฮองเฮาอย่างจริงใจ ถามความเห็น “หากเป็นฮองเฮา พระองค์จะทรงทำอย่างไรเพคะ?”
ฮองเฮานิ่งไป จากนั้นก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา พูดอย่างสมเหตุสมผล “ย่อมต้องตกลง ทิ้งเรื่องดีเช่นนี้ ไปก็เสียดายเปล่า”
ถาวจวินหลันกลับหัวเราะ ส่ายหน้าพูดอย่างจริงจังว่า “ไม่เพคะ ฮองเฮาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่”
ฮองเฮาหยุดหัวเราะ “ข้าต้องรู้แน่ว่าตัวข้าจะทำอย่างไร ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย อีกอย่างเจ้าจะเข้าใจตัวข้าไปมากกว่าตัวข้าเองได้อย่างไร?”
ถาวจวินหลันยังแย้มยิ้ม เคาะโต๊ะเบาๆ พูดช้าๆ ว่า “ไม่ พระองค์ต้องไม่ยอมแน่ เพราะหากตระกูลหวังล่มสลาย อำนาจสั่งการของทหารแสนนายก็จะหายไปเช่นกัน ในขณะเดียวกันยังกำจัดศัตรูแค้นและภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้ เรื่องดีเช่นนี้ พระองค์ไม่ต้องการได้อย่างไร“
ฮองเฮาได้ยินก็ตกใจจนนิ่งไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา นางคิดจะโต้ตอบ แต่พออ้าปากก็พบว่า เรื่องเหมือนจะเป็นจริง หากให้นางเลือก นางก็คงเลือกเหมือนที่ถาวจวินหลันพูด ไม่ได้เลือกเหมือนที่ตัวนางเองพูดไป
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีสีหน้าของฮองเฮาอย่างชัดเจน จึงหัวเราะเบาๆ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังมีเบี้ยต่อรองอีกหรือไม่เพคะ? บอกมาทีเดียวก็ได้เพคะ”
ฮองเฮาสูดลมหายใจลึก พูดช้าๆ ว่า “เหตุใดเจ้าต้องกำจัดให้สิ้นซากด้วย?”
“หม่อมฉันเพียงอยากแก้แค้นแทนบิดามารดาเท่านั้นเพคะ” ถาวจวินหลันพูดอย่างจริงใจ “ตระกูลถาวของหม่อมฉันล้มตายจากเรื่องนี้ หม่อมฉันอยากได้คำอธิบายก็ถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือเพคะ? วัฏจักรเหตุและผล ในเมื่อตระกูลหวังทำเรื่องเช่นนี้ก็ควรต้องเตรียมใจให้พร้อมเพคะ”
ฮองเฮามองถาวจวินหลัน สุดท้ายก็ถอนหายใจ พูดว่า “ข้าให้นายทหารแสนนายกับเจ้าได้ ข้าก็ให้รายชื่อคนใส่ร้ายพ่อของเจ้าในตอนนั้นได้เหมือนกัน รวมถึงคนในตระกูลหวังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แต่เจ้าห้ามยุ่งกับคนอื่นในตระกูลหวัง”
ถาวจวินหลันเอียงคอคิดอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ยิ้มตอบรับ “เพคะ”
การค้าครั้งนี้นางไม่ขาดทุน แต่หากฮองเฮารู้แต่แรกว่านางไม่ได้คิดจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อยู่แล้ว คงต้องโกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่กระมัง? อีกทั้งนางไม่ยุ่งกับคนอื่นในตระกูลหวัง ก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่จะไม่ยุ่ง อีกทั้งเหลือชีวิตเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ขอแค่ตระกูลหวังมอบอำนาจมาให้ก็พอแล้ว
เห็นชัดว่าฮองเฮาเริ่มเลอะเลือนแล้ว ถึงได้สะเพร่าถึงขนาดนี้