บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 674
ไทเฮากริ้วโกรธอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็สงบใจลงได้ นางมองไปทางถาวจวินหลันกับหลี่เย่ “ตอนนี้พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป? ปล่อยให้เรื่องนี้สำเร็จไม่ได้ มิเช่นนั้นจะมีเหตุน่าวิตกตามหลังอย่างไม่ขาดสาย”
ถาวจวินหลันเข้าใจดี จึงยิ้มขมขื่นพลางพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้สำเร็จได้เพคะ”
หลี่เย่หรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาช้าๆ ว่า “ใช้หญิงสาวคนหนึ่งมาแลกกับชื่อเสียงบริสุทธิ์ของตระกูลกู้ก็ถือว่าคุ้มนะพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย อดหันไปมองหลี่เย่ไม่ได้ ก็เห็นสายตาประกายเฉียบคมของหลี่เย่พอดี เห็นชัดว่าหลี่เย่พร้อมกำจัดกู้ซีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หรือจะบอกว่าหลี่เย่รังเกียจกู้ซีมานานพอควรแล้ว
เริ่มรู้สึกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ถาวจวินหลันหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็คิดว่าคงเป็นครั้งที่กู้ซีวางแผนตลบหลังนางกับองค์หญิงเก้า แน่นอนว่าอาจจะก่อนหน้านี้อีกก็ได้ อย่างไรกู้ซีก็ก่อเรื่องมาไม่น้อย แม้ไม่ได้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนาง แต่วิธีการเหล่านั้นก็ไม่น่าชอบใจนัก
ถาวจวินหลันแอบเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ดูเย็นชาไร้เยื่อใยของหลี่เย่ อีกทั้งนางยังลังเลว่าควรต้องร่วมมือกับฮองเฮา เพื่อส่งฮ่องเต้ไปสวรรค์ก่อนกำหนดหรือไม่
นางทนกับฮ่องเต้มามากพอแล้ว จะบอกว่าแก่แล้วเลอะเลือน ใช้บรรยายฮ่องเต้ก็ไม่ได้ผิดแปลกเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับความเฉลียวฉลาดและมีเหตุผลของไทเฮา ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ย่อมทำให้คนนึกรังเกียจ
นางไม่ใช่หลี่เย่ ย่อมไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งกับฮ่องเต้ สำหรับนางแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้แตกต่างไปจากคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่ไม่ได้ลงมือกับฮ่องเต้ พูดตามจริงแล้วก็ยังเป็นเพราะหลี่เย่ ทำให้ฮ่องเต้ตายอาจจะไม่ยาก แต่หากหลี่เย่รู้ความจริงเข้าเล่า? หลี่เย่จะมองนางอย่างไร? และอีกอย่างหลี่เย่จะโทษนางหรือไม่?
เพราะเหตุเหล่านี้ ถาวจวินหลันคิดว่ามีข้อจำกัดให้คำนึงถึงอีกมากมาย ย่อมไม่อาจทำเรื่องที่อกตัญญูมากขนาดนั้นได้ แต่ตอนนี้นางกลับอาฆาตแค้นจริงๆ ยิ่งฮ่องเต้ยังมีชีวิตต่ออีกวัน หลี่เย่ก็ต้องเจ็บปวดไปอีกวัน ฮ่องเต้มีแต่จะทำให้หลี่เย่ลำบากใจ เอาแต่ผลักเรื่องวุ่นวายยากคลี่คลายมาให้หลี่เย่เรื่อยๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องวุ่นวายจนไม่มีวิธีจัดการสักวัน ต่อให้จัดการได้คนที่เหนื่อยก็เป็นหลี่เย่ไม่ใช่หรือ?
ยิ่งคิดลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งคิดมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งคิดว่าฮ่องเต้สมควรตายไปจริงๆ
แต่นางไม่กล้าแสดงความคิดนี้ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย เพียงแค่เก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจอย่างมิดชิด ไม่ว่าฮ่องเต้สมควรตายมากเท่าไร แต่ความคิดของนางก็ยังถือว่าเนรคุณอยู่ดี
แน่นอนว่านอกจากความคิดที่จะให้ฮ่องเต้ไปตาย การให้กู้ซีไปตายก็ถือเป็นวิธีประนีประนอม นอกจากกู้ซี ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาแล้วก็ยังไม่อาจหาพระสนมที่บังคับการฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้หลงใหลได้ถึงขั้นนี้
บางทีไม่มีกู้ซี ฮ่องเต้คงจะได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมาช้าๆ
ไทเฮาครุ่นคิดข้อเสนอนี้อย่างจริงจังพักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพูดว่า “ถ้าถึงเวลาที่ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ เจ้าก็อย่าได้ใจอ่อนไป แม้จะบอกว่านางสกุลกู้ แต่นางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลกู้ของข้าเลยแม้แต่นิดเดียว! บุตรสาวตระกูลกู้ของข้าไม่มีคนเช่นนี้!” ไทเฮากริ้วโกรธอีกครั้ง แล้วก็เจ็บหัวใจอีกครั้ง
ไทเฮาเอามือกุมหน้าอกเอาไว้ รอให้เริ่มเจ็บน้อยลงถึงหัวเราะขมขื่น “ไม่รู้ว่าหญิงแก่เช่นข้ายังทนได้อีกนานเท่าไร ถ้าข้ายังไม่ตาย ฮ่องเต้ก็ยังระแวงเรื่องเหล่านี้ แต่หากข้าตายไป…”
ถาวจวินหลันได้ยินแบบนี้ก็ใจเต้นรัวทันที ไทเฮาพูดอย่างเรียบนิ่ง แต่ความจนปัญญาที่สะท้อนอยู่ภายในคำพูดนั้นกลับแทรกซึมเข้าไปในกระดูก จนเหมือนเจอด้วยตนเอง
อีกอย่าง ไทเฮายังเตือนพวกเขาอีกสองคนอีกครั้ง คนที่ตอนนี้ฮ่องเต้ระแวงมีเพียงไทเฮาเท่านั้น หากไทเฮาสิ้นพระชนม์ไป แล้วฮ่องเต้จะทำเช่นไร?
คำตอบนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน
“ถ้าข้าตายไป ก็ให้กู้ซีจากไปพร้อมกับข้าด้วยเถิด” ไทเฮาพูดพร้อมทั้งหัวเราะออกมา
บรรยากาศในห้องนิ่งเงียบอยู่นาน หลี่เย่ถึงได้รับปากว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“หากเสด็จพ่อของเจ้าโง่เง่าไร้ศีลธรรม เจ้าก็ใช้วิธีการบางอย่างได้ คนแก่แล้วจะปลูกต้นไม้ เลี้ยงหญ้าใช้ชีวิตบั้นปลายให้ดีเพื่ออายุยืนยาว มีความสุขกับลูกๆ หลานๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี” ไทเฮาเอ่ยเสียงเบา แต่ก็ชัดเจนยิ่ง
ถาวจวินหลันได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ก็สับสนขึ้นอีก ไทเฮาพูดชัดเจนมาก…ตอนที่จำเป็นก็ให้หลี่เย่ขึ้นครองบัลลังก์ไปเลย จากนั้นก็ให้ฮ่องเต้เป็นไท่ซ่างฮวง*ไปใช้ชีวิตบั้นปลาย
ที่จริงแล้วถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีมาก
อย่างไรถ้าหากปล่อยให้ฮ่องเต้โง่เง่าเช่นนี้ต่อไป คนที่รับกรรมก็คือแผ่นดินนี้ ประชาชน และยังมีหลี่เย่ แต่ถ้าทำตามวิธีของไทเฮา อย่างน้อยก็ได้รับชัยชนะโดยที่ยังไม่ออกศึก
ไทเฮาปากบอกว่าโกรธฮ่องเต้ คิดอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์แม่ลูก แต่สุดท้ายแล้วในใจก็ยังคิดถึงฮ่องเต้อยู่ตลอด มิเช่นนั้นคงไม่พูดเช่นนี้
ในเสี้ยววินาทีนั้น ถาวจวินหลันถึงกับคิดว่า ไทเฮาน่าจะจับทางความคิดสกปรกในใจของนางได้บ้าง เช่นเรื่องกำจัดฮ่องเต้
หลังออกมาจากวังหย่งโซ่วของไทเฮา ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็หดหู่ อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไม วิธีการพูดของไทเฮาถึงเหมือนคำสั่งเสีย จนถาวจวินหลันรู้สึกไม่เป็นมงคล
หลี่เย่เบือนหน้าไปมองถาวจวินหลันที่หน้านิ่วคิ้วขมวด จึงได้พยายามเก็บอารมณ์ ยิ้มพลางพูดปลอบนางว่า “อย่าคิดมากไปเลย ไทเฮาเริ่มมีพระวรกายอ่อนแอ จึงคิดหลายเรื่องเผื่อไว้มาก แต่เจ้าอย่าเข้าไปมีส่วนรวมในความโกลาหลนี้ หมอหลวงบอกแล้วไทเฮาไม่ได้เป็นอะไร รักษาบำรุงให้ดีก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเอง”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลี่เย่กลับเข้าใจความหมายของนาง
“ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์ หากคิดมากเกินไปจะส่งผลกระทบถึงลูกในท้อง“ หลี่เย่เอื้อมมือไปจับท้องของถาวจวินหลันเบาๆ เหมือนว่าการกระทำนี้จะทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย เขาถึงหัวเราะออกมา “มีข้าดูแลเรื่องภายนอกทั้งคน เจ้าก็อย่าคิดมากไป รักษาร่างกายให้ดี คลอดลูกชายตัวอวบขาวมาให้ข้าสักคน ถึงเวลาไทเฮาจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ฝืนยิ้ม “เพคะ”
หลี่เย่เห็นนางทุกข์ใจ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงลอบถอนหายใจอยู่ในใจเท่านั้น และรู้สึกรำคาญที่เกิดเรื่องเยอะมากเกินไป ความกดดันก็เริ่มใหญ่ขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีถาวจวินหลันอยู่ด้วย เกรงว่าเขาคงเป็นบ้าไปแล้ว
หลี่เย่หัวเราะขมขื่นพลางคิดว่า หากรู้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ควรเป็นท่านอ๋องเจ้าสำราญให้รู้แล้วรู้รอด บางทีตอนนี้อาจจะได้พาถาวจวินหลันไปเหยียบที่ต่างๆ ท่องเที่ยวไปทั่ว ครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตามีความสุข ไม่ใช่ว่าสบายอกสบายใจหรืออย่างไร?
แต่วันเวลาเช่นนี้ก็เป็นแค่เพียงเรื่องเพียงชั่วพริบตา ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ให้โอกาสเลือกอีกครั้ง เขาก็ยังเหลือเส้นทางนี้เหมือนเดิม เขาไม่อาจเต็มใจเป็นเพียงท่านอ๋องเจ้าสำราญคนหนึ่งเท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านตัวเป็นขน แม้แต่แค้นของตนเองก็ไม่ได้รับการชำระ
ยังดีที่หลังจากนี้ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาอีก ราบลื่นปลอดภัยมาเรื่อยตราบจนถึงวันที่อู่อ๋องกลับมาเมืองหลวง
อู่อ๋องกลับเมืองหลวง นี่หมายถึงคลื่นอีกลูกกำลังพัดเข้าฝั่ง
คนที่ตามอู่อ๋องกลับมาเมืองหลวงได้ยังมีผู้บัญชาการจากตระกูลหวังอีกคนหนึ่ง นามว่าหวังฮ่วนจื้อ แม้คนผู้นี้เป็นญาติสายห่างของตระกูลหวัง แต่พ่อของเขากลับมีส่วนร่วมเรื่องตระกูลถาวอยู่ด้วย ตอนนี้ถูกใต้เท้าเฉิน ‘เชิญ’ กลับมาพูดคุย
อาศัยเรื่องนี้เกรงว่าหวังฮ่วนจื้อคงไม่ยอมง่ายๆ อย่างไรครั้งนี้หวังฮ่วนจื้อก็สร้างผลงานชิ้นใหญ่ หลังจากอู่อ๋องโดนลอบทำร้าย ก็แทบจะต้องอาศัยแรงของบรรดาผู้บัญชาการทั้งหมดที่เขาพาไปในการปราบกลุ่มกบฏเหล่านั้น
ผลงานเช่นนี้ ต่อให้เป็นหลี่เย่ก็ทำอะไรหวังฮ่วนจื้อไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วคงน่าหนาวเหน็บเป็นแน่
ถาวจวินหลันครุ่นคิด หากหวังฮ่วนจื้อเสนอให้ปล่อยพ่อของเขา ฮ่องเต้ก็คงต้องรับปาก
แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่จนปัญญา จะโทษก็โทษได้แค่คนของตระกูลหวังมีความสามารถมากเกินไป จะโทษก็โทษได้แค่ราชสำนักไม่มีคนอื่นที่สามารถใช้ได้ ดังนั้นต่อให้นางจะคิดแค้นอย่างไรก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ใช่ บางทีนางพูดแล้วหลี่เย่อาจจะรับปากและทำตาม แต่พอเป็นเช่นนี้กลับสร้างปัญหายากให้หลี่เย่เท่านั้นเอง
ระยะเวลานี้เกิดเรื่องขึ้นติดต่อกันจนร่างกายและจิตใจของหลี่เย่เหนื่อยล้ามากพอแล้ว นางจะทำใจไปสร้างความวุ่นวายให้หลี่เย่ได้อีกอย่างไร? โดยเฉพาะวันนั้นที่ช่วยหวีผมให้เขาแล้วสังเกตเห็นว่าในเส้นผมของเขาเริ่มมีผมหงอกปนอยู่ด้วย นางก็เจ็บปวดใจอย่างไม่มีที่เปรียบ อยากจะช่วยจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้จบไป
แต่นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่นางทำได้มีเพียงให้คนไปแจ้งถาวจิ้งผิง เรื่องหวังฮ่วนจื้อไว้ก่อนก็ได้ ไม่ต้องแข็งข้อ
แน่นอนว่านางไม่คิดจะปล่อยคนตระกูลหวังไปเช่นนี้ แต่เรื่องมาถึงตอนนี้นางก็ไม่อาจทำอะไรมากเกินไปได้ ดังนั้นย่อมต้องทนไปก่อน รอจนมีโอกาสเหมาะสมแล้วค่อยบุกโจมตีอีกครั้ง
ที่ทำให้ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงก็คือ ฮ่องเต้สั่งให้นางกับหลี่เย่เป็นตัวแทนฮ่องเต้กับฮองเฮาเดินทางไปรับอู่อ๋องและหวังฮ่วนจื้อ แล้วทำพิธีปัดเป่าต้อนรับให้พวกเขาสองคน
ที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าหลายวันมานี้ร่างกายของกู้ซีไม่ค่อยดีนัก ฮ่องเต้ปลีกตัวออกมาไม่ได้ ต้องคอยดูแลกู้ซีอยู่ตลอด
แน่นอนว่าฮ่องเต้ให้หลี่เย่ไปแทนได้ แม้ดูแปลกเล็กน้อย แต่อย่างไรก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน สามารถอธิบายผ่านไปได้
สถานะองค์รัชทายาทของหลี่เย่ก็สูงส่งมากพอ
แต่ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าตนเองก็จะต้องไป เอาเข้าจริงแล้วนางไม่อยากไป แต่ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสแล้ว นางย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงต้องฝืนรีบเดินทางไป
แต่เป็นเช่นนี้อย่างแรกคือหลี่เย่ไม่วางใจ ไม่เพียงแค่กำชับหลายเรื่อง แล้วยังให้คนคอยติดตามนางอย่างใกล้ชิด ต้องดูแลนางให้ดี
นางตั้งครรภ์คราวนี้ หลี่เย่ดูเหมือนจะเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ถาวจวินหลันคิดว่าเป็นเพราะนางเพิ่งตั้งครรภ์แล้วยังได้รับบาดเจ็บมา ครั้งนั้นคงทำให้หลี่เย่ตกใจมาก
เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของหลี่เย่ นางย่อมต้องระมัดระวังทุกทาง ไม่กลัวอย่างอื่น แค่กลัวหลี่เย่จะเป็นกังวล
เพราะหลังจากที่ไปต้อนรับแล้วยังต้องทำพิธีปัดเป่า ดังนั้นถาวจวินหลันจึงออกเดินทางไปพร้อมหลี่เย่ เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่เย่ถึงวางใจลงได้ อีกทั้งก่อนจะออกเดินทางก็ได้เตรียมของกินมาด้วย มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ท้องว่าง อีกทั้งในงานเลี้ยงนางก็ไม่คิดจะกินอะไรทั้งนั้น
ภาพเหตุการณ์ในวันเพ็ญเดือนแปดยังคงติดตา นางไม่ตื่นตัวป้องกันเสียหน่อย ก็คงสงบใจไม่ได้
*ไท่ซ่างฮวง คือฮ่องเต้ที่ยังไม่สิ้นพระชนม์ แต่สละบัลลังก์ให้ลูกขึ้นมาแทน