บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1082 บอกใต้เท้าทังดีไหม
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ ก่อนอื่นนางค่อนข้างแปลกใจ ฮูหยินทังก็ขุดหลุมใต้ดินเพื่อซ่อนเงิน? เงินของพวกเขา ใต้เท้าทังเป็นคนดูแลไม่ใช่หรือ?
แต่ยังไงก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น หยวนชิงหลิงพูดสั่งสอนอย่างเคร่งขรึมว่า “ห้ามไปแอบดูภายในเรือนของใต้เท้าทัง รู้ไหม?”
“ไม่ได้แอบดู ข้าก็แค่พาหมาป่าไปเล่นแถวนั้น ก็เลยเห็นโดยบังเอิญ” ทังหยวนพูดขึ้น
“งั้นเจ้าเห็นนางซ่อนอะไรไว้ไหม?” หยวนชิงหลิงยังคงต้านทานความสงสัยไว้ไม่ได้ ฮูหยินทังคนนี้ก็ค่อนข้างลึกลับจริงๆ ถึงแม้จะห่างกับจวนอ๋อง เพียงแค่กำแพงกั้น แต่ไม่เคยไปมาหาสู่กัน
แน่นอน ก็อาจจะเป็นเพราะตามองไม่เห็น มีบางคนจะตัดขาดจากโลกภายนอก เพราะความเจ็บป่วยทางร่างกาย
“ซ่อนเสื้อผ้ากับดาบ” ทังหยวนพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงมองดูเขาอยากตกใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าโกหกหรือเปล่า?”
“ไม่ได้โกหก ข้าเห็นด้วยตาตัวเอง” ทังหยวนรีบพูดอธิบายทันทีว่า “ไม่เพียงข้าเห็นคนเดียว หมาป่าก็เห็น พวกเราต่างก็เห็นนางบินลงมา จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าโยนลงไปใต้ดินแล้วก็ฝังไว้ หลังจากฝังซ่อนไว้แล้วก็กลับไป ข้าเห็นตั้งหลายครั้งแล้ว”
ท่าทีหยวนชิงหลิงเคร่งเครียดขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นนางเคยเห็นเจ้าไหม?”
“ไม่เคย ข้ากับหมาป่า มองเห็นจากรูสุนัขด้านนอก นางมองไม่เห็นพวกเรา” ทังหยวนพูดขึ้น
“การไม่สามารถมองเห็น สายตานางบอด” หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างสงสัยคลางแคลงใจ คิดว่าควรที่จะไปถามใต้เท้าทังดีหรือไม่?
“นางสามารถมองเห็น” ทังหยวนพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เป็นไปได้อย่างไร?”
ทังหยวนพูดขึ้นว่า “ไม่ว่ายังไงก็สามารถมองเห็น นางสามารถบินลงมาได้ หลังจากบินลงมาแล้ว ก็รีบไปหาสถานที่ซ่อนของได้ทันที ยังไงก็สามารถมองเห็น”
“เป็นตอนกลางคืน? ตอนกลางคืนเจ้าไม่หลับไม่นอน วิ่งไปเล่นทางนั้นทำไม?”
จู่ทังหยวนก็ถูกถามจับผิด จึงอึ้งไปสักพัก แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีไม่หวั่นไหวเลยว่า “พาหมาป่าไปเดินเล่น หมาป่าจะถ่ายหนัก แม่บอกว่าเรื่องของตนเองให้ทำด้วยตนเอง หมาป่าเป็นของข้า ดังนั้น ข้าจึงพาหมาป่าไปเดินเล่น เพื่อถ่ายหนัก”
เหตุและผลไม่มีที่ติ หยวนชิงหลิงจึงถามขั้นว่า “งั้นเงินของเจ้าล่ะ? เอามาจากไหน?”
ทังหยวนก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจว่า “งั้นท่านจะโทษข้าไม่ได้ ข้าเคยถามท่านแล้ว ท่านบอกว่ากระดาษนั่นข้าสามารถเก็บไว้ได้ ข้าก็เลยเก็บไว้”
“กระดาษ? กระดาษอะไร?” หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก ค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านชายสี่มายืมหมาป่า ได้ให้กระดาษเขา นางโกรธขึ้นมาในทันที เดิมคิดว่าเป็นกระดาษเซวียน ใครจะคิดว่าจะเป็นตัวเงิน
เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้
หยวนชิงหลิงตีฝ่ามือของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำตัวหัวเจ้าเล่ห์เป็นแล้วหรือ? หมายถึงไม่พูดตรงๆว่าเป็นตั๋วเงิน กลับพูดว่าเป็นกระดาษ? เจ้าไม่รู้ว่าตั๋วเงินกับกระดาษแตกต่างกันหรือ? เจ้าคิดอยากหลอกใคร?”
ทังหยวนพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “ตั๋วเงินนั่นก็เป็นกระดาษนี่ ข้าก็ไม่ได้พูดผิด ท่านเองที่ไม่ถามอย่างละเอียด ข้าเห็นท่านงานยุ่ง และก็เหนื่อยอย่างมาก จึงไม่ได้พูดกับท่านอย่างละเอียด จะโทษข้าได้อย่างไร?”
“ไม่โทษเจ้า? อายุยังน้อยทำตัวหัวเจ้าเล่ห์ อาจารย์ปู่ให้เงินเจ้า เจ้าก็ไม่ควรรับ แม่เคยสอนเจ้าไว้ว่าอย่างไร?” หยวนชิงหลิงพูดตำหนิ
ทังหยวนเห็นแม่โกรธแล้วจริงๆ ก็ไม่กล้าพูดโต้เถียง เปลี่ยนกลยุทธ ก้มหัวพูดยอมรับความผิดว่า “ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ท่านอภัยให้ข้า ถ้าไม่กล้าอีกแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดสั่งสอนต่อว่า “อายุยังน้อย ทำไมถึงโลภมากทรัพย์สินขนาดนี้? ยังจะแลกตั๋วเงินเป็นเงินแล้วนำไปฝังไว้ กล้าไปร้านแลกเงิน กระทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว เจ้านี่ช่างสุดยอดจริงๆ”
ทังหยวนฉีกยิ้มจนเห็นฟันเพราะพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ใต้เท้าทังสอนพวกเรา ให้พวกเรารู้จักเก็บกักตูน เพื่อป้องกันการขาดแคลนอาหาร ข้ามีเงินแล้วก็ต้องเก็บออมไว้ เผื่อในอนาคตอดอยาก และกลัวว่าต่อไปจะเหมือนกับท่านพ่อ แต่งงานกับนางมารร้าย ไม่มีเงินทองใช้”
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “วันๆเจ้าคิดอะไรอยู่หรือ? นางมารร้ายอะไร? แม่ดุร้ายขนาดนี้เลยหรือ?”
“ตอนนี้ดุกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก เพราะน่าสงสารที่สุด” ทังหยวนคิดว่ายังไงเรื่องก็แดงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดดีเพื่อปกปิดอีกต่อไป จึงเสี่ยงตายพูดความจริง
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ถูก เมื่อก่อนพวกเจ้าล้วนกลัวท่านพ่อ บอกว่าเขาอะไรนิดอะไรหน่อยก็ลงมือตี ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนกลับมาแล้ว?”
“ช่วงนี้ท่านพ่อไม่ตีแล้ว ไม่เห็นหน้าเขาตั้งหลายวันแล้ว ต่อให้ไม่เห็นเขาก็ไม่โกรธ ยังอุ้มพวกเราด้วย”
หยวนชิงหลิงโกรธอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตี ตอนนี้ไม่ตี ก็ดีกันแล้วหรือ? เขาไม่อยู่กับพวกเจ้าหลายวัน ข้าอยู่กับพวกเจ้าทุกวัน ยังรังเกียจข้า?”
ทังหยวนพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “ท่านก็ไม่ได้อยู่ด้วยตลอด มีบางครั้งที่อยู่ด้วยก็จะถามถึงการบ้าน ถามว่าดื้อหรือเปล่า ไม่เชื่อฟังก็จะดุ”
เดิมหยวนชิงหลิงก็โกรธอยู่แล้ว ได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็อึ้งมองดูเขาสักพัก ช่วงนี้นางทำให้พวกเด็กๆรังเกียจขนาดนี้เลยหรือ?
เมื่อคิดดูแล้วก็ใช่ ช่วงนี้บอกว่าอยู่กับลูกๆ ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่เลย เพียงแค่เรียกพวกเขามา แล้วก็ถามอย่างมีอำนาจว่า ดื้อซนหรือเปล่า ไม่ได้พูดคุย เล่านิทานให้พวกเขาฟัง เหมือนที่ผ่านมาเช่นนั้นแล้ว
หลังจากที่โมโหแล้วก็กลับมาครุ่นคิด ทำให้ทังหยวนได้โอกาส เขาขยับไปใกล้อย่างว่าง่าย พร้อมใช้เสียงอ่อนโยนพูดขึ้นว่า “ทังหยวนรู้ว่าท่านแม่งานยุ่ง เหน็ดเหนื่อยอย่างมากทุกวัน ต่อไปทังหยวนจะว่านอนสอนง่าย”
หยวนชิงหลิงยื่นมืออุ้มเขาขึ้นมา แล้วก็จูบหนึ่งที ลูกโตขึ้นแล้ว อุปนิสัยเริ่มก่อตัวขึ้น จะต้องอบรมสั่งสอนเพิ่มมากขึ้น
เมื่อให้ทังหยวนกลับไปแล้ว นางคิดถึงเรื่องของฮูหยินทัง ก็ไม่รู้ว่าควรที่จะไปพูดกับใต้เท้าทังไหม หลายปีมานี้ใต้เท้าทัง จงรักภักดีเจ้าห้ามาตลอด หากครั้งนี้เป็นการเข้าใจผิดฮูหยินทัง เกรงว่าต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างแขกกับเจ้าบ้านจะไม่เข้ากันได้ดีเหมือนเดิม
คิดๆดูแล้ว นางสั่งคนไปเชิญฮูหยินเหยามา
ฮูหยินเหยาก็เพิ่งรู้เรื่องที่นางถูกลอบทำร้าย กำลังจะสวมเสื้อผ้ามา ฉี่หลอก็มาเชิญแล้ว
ไปถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ นางเห็นหยวนชิงหลิงปลอดภัยดี ค่อยโล่งอก พร้อมขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “ถูกลอบฆ่าได้อย่างไร? ใครเป็นคนลงมือ?”
หยวนชิงหลิงให้ฉี่หลอออกไป พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ็ดกำลังสืบความ ข้าตามเจ้ามา เพราะมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ฮูหยินเหยาเห็นไฟภายในห้องมืด จึงเปิดแก้วครอบตะเกียง แล้วตัดไส้ตะเกียง ได้ยินนางพูดขึ้นจึงหันกลับมาถามว่า “สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี มีเรื่องอะไรหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ข้าสงสัยว่าฮูหยินทังค่อนข้างผิดปกติ เจ้าคิดว่าข้าควรที่จะไปพูดกับใต้เท้าทังไหม?”
ฮูหยินเหยาถามถึงรายละเอียด แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าค่อนข้างหนักใจว่า “พูดตามความจริง ข้าก็ค่อนข้างสงสัยฮูหยินทังคนนี้”
“เป็นอย่างไรหรือ?” หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่านางก็มีรู้สึกเช่นนี้ จึงรีบถามขึ้น
“ข้าเคยเจอหน้านางเพียงแค่ครั้งเดียว พูดไม่ถูกว่ามีความรู้สึกยังไงกับนาง แต่ว่า เคยได้ยินอะซี่พูดถึงเรื่องของนางกับใต้เท้าทัง ข้าก็รู้สึกแปลก ผ่านไปตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางไม่เคยแต่งงาน และก็ไม่เคยมาหาใต้เท้าทังที่เมืองหลวง แต่หลังจากที่นางได้บังเอิญเจอกับใต้เท้าทัง กลับพูดถึงเรื่องที่ใต้เท้าทัง ทำให้นางตาบอดอย่างไม่ได้ตั้งใจในตอนนั้น แล้วก็สารภาพรัก โดยปกติสถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงเป็นผู้ชายที่มีมโนธรรมสักนิด ล้วนจะต้องแต่งงานกับนาง ดังนั้น จุดประสงค์ที่นางพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็คือต้องการให้ใต้เท้าทังแต่งงานกับนาง”
หยวนชิงหลิงลองคิดดู พร้อมพูดขึ้นว่า “อืม เป็นเช่นนี้จริง แต่นี่น่าแปลกตรงไหน?”
ฮูหยินเหยากลอกตามองบน พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าลองคิดดู หากตอนที่เจ้ายังเป็นวันรุ่น ถูกผู้ชายคนหนึ่งทำให้ตาบอด จนมองไม่เห็นอีกต่อไป หลายปีผ่านมาขนาดนี้ก็ไม่เคยติดต่อ เมื่อพบกับเขาอีกครั้ง ในขณะที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอของเขาเลย เจ้าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม?”
“นี่….. ถือว่าค่อนข้างสะเพร่าไป แต่เรื่องของความรู้สึก บางทีก็อยากที่จะใช้เหตุผลมาตัดสิน”
ยังไง ความรักในวัยหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่ลืมยากที่สุด