บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1109 ปฏิเสธไม่ยอมรับผิด
อ๋องฉีฟังเช่นนี้แล้ว กลับยังคงไม่โกรธ กลับถามขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “ดังนั้น เจ้าคิดว่าคนร้ายคืออ๋องผิงหนาน? แต่ทำไมอ๋องผิงหนานจะต้องทำร้ายท่านปู่?”
“เพราะท่านปู่ซื่อสัตย์และรักชาติ ตอนนี้ยังช่วยเหลือองค์ชายรัชทายาท อ๋องผิงหนานทำร้ายเขา เป้าหมายก็คือกำจัดขุนนางจงรักภักดี บรรลุเป้าหมายที่ซ่อนอยู่ของเขา” คราวนี้ฉู่หมิงหยางช่วยอ๋องฉีวิเคราะห์ ไม่มีแม้แต่ท่าทีถากถางดูถูกเหมือนเมื่อกี้
อ๋องฉีถามขึ้นว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ อ๋องผิงหนานคิดกบฏ?”
“ใช่” ฉู่หมิงหยางตอบทันที
อ๋องฉีมองดูนาง ท่าทีจริงจังขึ้นมาในทันใด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดไม่ผิด คนที่ทำร้ายท่านปู่มีจุดประสงค์เช่นนี้จริง ตอนนี้ถึงแม้ท่านปู่จะถอนตัวออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงมีอำนาจ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา ราชสำนักก็จะสันคลอน เสด็จพ่อก็กำลังป่วยอยู่ จะทำให้สถานการณ์เกิดความวุ่นวาย แต่นี่ไม่ใช่อ๋องผิงหนานเป็นคนลงมือ อ๋องผิงหนานถูกหลอกใช้ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องพวกนี้ ให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ดูเลือนลางไม่ชัดเจน เจ้าคิดว่าใช่หรือไม่?”
ฉู่หมิงหยางมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าทีค่อนข้างเย็นชาว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า กลับไม่สามารถที่จะเอาชนะใจคนได้ เจ้าบอกว่าอ๋องผิงหนานเป็นผู้ถูกกระทำ งั้นใครเป็นคนวางยาพิษ? ภายในจวน หาเจอใครไหม? แต่ถ้าอ๋องผิงหนานเป็นคนร้าย ยังไงก็มีความเป็นไปได้ และเจ้าก็จะได้มีผลงานคุณความดีที่สามารถจบคดีได้ ตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครก็สามารถได้มาโดยง่าย จะต้องคิดอย่างอื่นทำไม?”
อ๋องฉีค่อยๆยื่นมือชี้ไปหานาง พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาเย็นชาว่า “คนร้ายหาไม่ยาก เจ้าก็คือคนร้ายที่วางยาพิษ”
ฉู่หมิงหยางจ้องมองดูเขาตาไม่กะพริบ แล้วก็ค่อยๆฝืนฉีกยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้น เจ้าหาคนร้ายไม่ได้ และก็ไม่กล้าล่วงเกินอ๋องผิงหนาน จึงจะโยนความผิดให้กับข้า? เจ้าช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ ถึงว่าต้องตกอยู่ภายในกำมือของหยู่เหวินเห้าไปตลอดชีวิต”
สายตาของนาง ยังคงฉายแววกระสับกระส่าย ถึงแม้จะแวบเดียว แต่ตอนนี้อ๋องฉีสามารถสังเกตเห็นได้อย่างละเอียด มองดูก็เห็นเลย
อ๋องฉีลุกขึ้นมา เดินไปตรงหน้าของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าจะปิดบังไปถึงเมื่อไหร่? หลินเซียวเป็นคนใช้ให้เจ้าวางยาพิษ หลินเซียวเป็นไส้ศึกของหงเล่กับเป่ยโม่ เจ้าถูกเขาหลอกใช้ ถูกเขาบีบบังคับ ใช่หรือไม่?”
ฉู่หมิงหยางเห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมน่าเกรงขามขึ้นมา แตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างมาก และได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจกระวนกระวายขึ้นมา สีหน้ากลับยังคงพยายามรักษาความเหน็บแนมไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไร้สาระ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือหลินเซียว”
อ๋องฉีพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “น้องสาว เห็นแก่ความที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย สารภาพเรื่องทั้งหมดออกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ฉู่หมิงหยางหันร่างจะเดินออกไป พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นบ้าอะไร เจ้าไม่มีปัญญาจับตัวคนร้าย กลับมาใส่ร้ายข้า ช่างน่าขำ” นางเปิดประตูห้องหนังสือออก กลับพบเจ้าหน้าที่กรมการพระนครสองคนขวางทางไว้ ฉู่หมิงหยางตะคอกพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป” สองคนนั่นกีดขวางประตูไว้ ไม่สนใจท่าทีโกรธโมโหของนาง ฟังเพียงคำสั่งของอ๋องฉี
ฉู่หมิงหยางเห็นว่าสั่งไม่ได้ ในใจทั้งหวาดกลัวทั้งโมโห ยื่นมือผลัก แต่ทั้งสองคนกลับเหมือนดั่งภูเขา ใช้แรงผลักก็ไม่ขยับเขยื้อน ด้วยความที่ฉู่หมิงหยางโกรธจัด ตบหน้าตบเจ้าหน้าที่ข้างซ้ายหนึ่งที พร้อมตะคอกพูดว่า “ทาสรับใช้ ยังไม่ไสหัวไป?”
“เจ้ายังจะโวยวายไปถึงเมื่อไหร่?” น้ำเสียงโมโหเล็กน้อยของอ๋องฉี ดังขึ้นทางด้านหลังว่า “เจ้ายอมสารภาพความจริง ข้าจะช่วยรักษาชีวิตเจ้าไว้ จะกระทำการกบฏเพื่อหลินเซียวทำไม?”
ฉู่หมิงหยางหันกลับมา มองดูอย่างโกรธเคือง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าคิดใส่ร้ายข้า ข้าไม่เคยทำ และข้าก็ไม่รู้จักหลินเซียว”
อ๋องฉีเห็นนางยังคงดื้อดึง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “เจ้าคิดว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับหลินเซียว สามารถปิดบังใครได้? มีคนจับตาดูพวกเจ้าแต่แรกแล้ว พวกเจ้าแอบคบชู้กันกี่ครั้ง ข้ารู้เป็นอย่างดี ซุนฉวนหวู่ก็เป็นคนของเขา ตั้งใจหลอกให้เจ้าไปยืมเงิน ให้ผลประโยชน์แก่เจ้าก่อน กลับคิดไม่ถึงว่า เจ้าจะสามารถรวบรวมเงินได้หลายล้านตำลึง เพื่อกระทำการกบฏ หลินเซียวใช้เรื่องนี้ข่มขู่เจ้า พี่ชายใหญ่ก็ถูกคนของพวกเขาฆ่า จุดประสงค์ก็คือต้องการให้เจ้ากลับมายังตระกูลฉู่ ให้เจ้าลงมือทำร้ายท่านปู่ เจ้ายังไม่คิดสำนึก จะรอถึงเมื่อไหร่? เมื่อถึงตอนที่รับโทษ ใครจะสามารถปกป้องเจ้า”
ในใจฉู่หมิงหยางกระวนกระวายไปแล้วกว่าครึ่ง จ้องมองดูเขา คิดอยู่อย่างวุ่นวาย นี่เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับซุนฉวนหวู่ เขากำลังช่วยนางตามหาซุนฉวนหวู่มาตลอด อยากที่จะช่วยเอาเงินกลับคืนมาให้นาง
คำสาบานต่อทะเลและภูเขา ยังดังก้องอยู่ในหู จะเป็นเท็จได้อย่างไร?
จะต้องเป็นอ๋องฉีขี้ขลาด ไม่กล้าชี้ตัวว่าอ๋องผิงหนานเป็นคนร้าย ดังนั้นจึงสร้างเรื่องพวกนี้มาขู่นาง จะต้องเป็นเช่นนี้แน่
เมื่อคิดเช่นนี้ นางเบิกตาโต พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าคิดว่าเอาบทการรับโทษมาขู่ แล้วข้าจะกลัวเจ้า ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่กลัวที่จะถูกลงโทษ เจ้าพูดว่าข้าวางยาพิษท่านปู่ งั้นเจ้าต้องเอาหลักฐานมา เจ้าไม่มีหลักฐานเท่ากับเจ้าใส่ร้ายข้า อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าน้องสาว ข้าเป็นเสด็จพี่สะใภ้ของเจ้า ถึงแม้หยู่เหวินจุนตายแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะตาย ความเป็นสามีภรรยาระหว่างข้ากับเขายังไม่ขาด เจ้าจะเสียมารยาทกับข้าไม่ได้ ยิ่งไม่ควรที่จะมาใส่ร้ายข้า”
อ๋องฉีผิดหวังในตัวนางอย่างมาก เห็นฉู่หมิงหยางเป็นเช่นนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงฉู่หมิงชุ่ย จนถึงตายฉู่หมิงชุ่ย ก็คงไม่เคยที่จะสำนึกผิด
“เห็นที เจ้าไม่ยินยอมที่จะสารภาพ” อ๋องฉีค่อยๆพูดขึ้น ความโกรธบนใบหน้ากลับจางหายไป
ฉู่หมิงหยางกลับพูดว่าเขาไม่มีวิธีแล้ว ก็ยิ่งอวดดีขึ้นมา เงยคางขึ้น สายตาฉายแววดูถูกเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่คนทำ ทำไมข้าต้องยอมสารภาพ เจ้ามีปัญญาก็ไปจับตัวคนร้ายตัวจริงสิ สร้างความลำบากใจให้กับข้า ไม่มีประโยชน์ต่อการปิดคดีของเจ้าเลย”
พูดเสร็จ ก็จะฝ่าออกไปอีกครั้ง
แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ถอย ฉู่หมิงหยางโกรธจนยกมือขึ้นมาจะตบพวกเขาอีกครั้ง มือยังไม่ทันตบลงไป อ๋องฉีก็มีคำสั่งว่า “จับตัวนางไว้ ขังไว้ในจวนก่อน ข่าวทุกอย่างจวนฉู่ เก็บเป็นความลับทั้งหมด ห้ามใครพูดเพ่งพายออกไป”
เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่ง ในขณะเดียวกันก็ลงมือจับไหล่ฉู่หมิงหยางไว้ ฉู่หมิงหยางไม่คิดไม่ฝันว่า เจ้าหน้าที่ต่ำต้อยสองคนจะกล้าจับตัวนาง ด้วยความโกรธโมโห ตะคอกก่นด่าออกมา คำด่านั้นหยาบคายชั่วร้ายอย่างที่สุด
เจ้าหน้าที่โกรธในความปากคอชั่วร้ายของนาง หลังจากจับตัวแล้วก็ลากออกไปข้างนอก คนในจวนฉู่ต่างก็เห็น ต่างก็ตกใจ ไม่มีใครกล้ามาถาม นายท่านใหญ่ตระกูลฉู่รีบมาอย่างร้อนใจ ได้ยินฉู่หมิงหยางยังก่นด่าพูดสาปแช่งอย่างชั่วร้าย เขาตกใจรีบเข้าไปในห้องหนังสือ พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง นี่เกิดอะไรขึ้น? หยางเอ๋อล่วงเกินเจ้าหรือ? เจ้ายกโทษให้นางเถอะ ปกตินิสัยของนาง….”
“น้า” อ๋องฉีพูดตัดบทเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “นางเป็นคนวางยาพิษทำร้ายท่านปู่”
นายท่านใหญ่ตระกูลฉู่ได้ยินเช่นนี้แล้ว นิ่งอึ้งไปสักพักพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงเบิกตาโตจ้องมองดูอ๋องฉี เนิ่นนานค่อยพูดขึ้นว่า “นี่…. นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
อ๋องฉีพูดขึ้นด้วยสายตาเย็นชาว่า “ข้าก็หวังอยากให้ไม่ใช่ แต่ความจริงก็คือนาง ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดออกไป ไม่เช่นนั้น เมื่อเรื่องที่นางลอบฆ่าท่านปู่เป็นที่ล่วงรู้ออกไป ชื่อเสียงของน้าก็จะเสื่อมเสีย”
นายท่านใหญ่ตระกูลฉู่มีนิสัยรักสงบจนแทบจะอ่อนแอ แทบไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้ แต่เห็นสีหน้าที่ปวดร้าวของอ๋องฉี ไม่เหมือนเป็นการใส่ร้าย
จู่ๆนายท่านใหญ่ตระกูลฉู่ก็รู้สึกเวียนหัว รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นลมล้มลงพื้นไป
อ๋องฉีประคองเขาไว้ ถอนหายใจเบาๆ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไมท่านปู่ถึงรีบร้อนถอนตัว เพราะตระกูลฉู่ นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถแบกรับดูแลตระกูลใหญ่นี้ได้